กลางเมืองกรุงอันแสนวุ่นวาย ประกอบกับสิ่งเร้าที่น่ารำคาญอย่างแตรรถ คนแอบตดในบีทีเอส กลิ่นควันรถยนต์ที่ไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาหลายปี รวมถึงพี่ๆ ไร้มารยาทที่ชอบแทรกคิวตามสถานที่สาธารณะต่างๆ พอทีกับสิ่งแวดล้อมจันทร์ถึงศุกร์ที่ต้องปล่อยให้นาฬิกาปลุกมาดึงวิญญาณที่ต้องการพักผ่อนยาวๆ ออกจากร่าง เอาล่ะ เรามาทำตัวให้ว่าง หยิบปฏิทินบนโต๊ะที่วางข้างๆ มาดู… พอจะมีสักวีคให้ได้ไปใช้ชีวิตชีคๆ ในสถานที่ลับๆ กันหรือเปล่า… ถ้าเจอแล้วก็กากบาทจองวีคนั้นไว้ แล้วไปกับพวกเราได้เลย…
ทริปนี้จริงๆ ก็ไม่ใช่เฉพาะคนโดนเท หรือหัวใจมันพังที่ไปได้อย่างเดียวหรอกครับ แต่ที่จั่วกระทู้ไปแบบนั้น เพราะสถานที่ที่เรากำลังจะไปเนี่ย มันสงบมาก แล้วที่ที่เราจะแนะนำก็เป็นสถานที่ลับสุดๆ เราจะไปเกาะใกล้กรุงที่หลายคนขับผ่าน เกาะนี้อยู่ในจังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวกรุงเทพราวๆ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เรานัดเจอกันที่สถานที่ BTS หมอชิต เหมารถไปหนึ่งคัน เป็นรถตู้ 10 ที่นั่งสบายๆ ในสายวันเสาร์ ล้อจะหมุนเวลา 7 นาฬิกา เรากำลังจะไปเกาะสีชัง…
ทริปนี้เป็นทริปสนิทคนใกล้ตัว ผมเอาทีมงานไปลองของแปลก ของลับที่สีชัง โดยไม่บอกว่าจะพาไปทำอะไร บอกแค่ว่า จะไปสีชัง จะพาไปเลี้ยงที่ช่วยเหลือเกื้อกูล คอย Support งานและอีเว้นท์ต่างๆ ของ PALAPILII มาเป็นอย่างดี บนรถมีทั้งคนหลับ ทั้งคนกำลังจาม ทั้งคนถ่ายรูป และกูดีดกีต้าร์ จบไปประมาณ 4-5 เพลง แม่งก็มาถึงท่าเรือแล้ว…
ใครที่เอารถมาก็จะหาที่จอดยากหน่อย เพราะช่วงนี้เกาะลอยของที่นี่กำลังปรับปรุง และเปลี่ยนมาใช้อีกท่าเรือหนึ่งแทน สำหรับสถานที่จอดนั้นแนะนำให้ถามคนแถวนั้นน่าจะเหมาะกว่า หรือจอดตามวัดตามวาก็ว่าไป โชคดีที่เราเช่ารถมา ปัญหาตรงนี้เลยไม่มี แต่ก็มีบางคนที่ขับรถมา ก็ต้องนั่งพี่วินมาเจอกันที่ท่าเรือแบบร้อนๆ หน่อย
เมื่อ 4 ปีที่แล้วที่มาสีชัง บอกกับตัวเองว่า กูจะไม่มาที่นี่อีก ๕๕๕ นี่คือคำพูดที่ผมพูดกับหลายที่ที่ไม่ประทับใจ แต่เป็นห่าอะไรก็ไม่รู้ ได้กลับมาทุกครั้งกับสถานที่ที่พูดแบบนั้น เอาน่าาาา มันมีของดี เลยต้องมา ค่าเรือเมื่อสี่ปีที่แล้ว 20 บาท ตอนนี้กลายร่างเป็น 50 บาทแบบมองหน้าคนขาย (หาเรื่อง) นี่มันแพงกว่าท่าเรือไปเกาะล้านอีกนะ (30 บาท) แต่ก็นั่นแหละ ต้องซื้อ ไปกลับ 100 เชดโด้ เรือมีทุกรอบ รอบละ 1 ชั่วโมงห่าง แต่หากเต็มเมื่อไหร่ เรือแล่นเมื่อนั้น เหมือนพวกเราขานี้
น้ำทะเลไม่ฟ้า ไม่ใส ไม่คราม ออกแนวมากตแบบไม่ต้องไปเข้าถ้ำที่ จ.ตรัง เชดแหม่ Unseen Thailand ระหว่างเดินเรือจะเห็นเรือน้ำมัน เรือสินค้าเต็มไปหมด อากาศร้อนอบอ้าวมากๆ แต่นี่คือเสน่ห์ของการไปเที่ยวเกาะของตะวันออกจริงๆ ดูวิว ฟังเพลง เม้ามอย จนหลับไป ตกใจนิดหน่อยกับเวลาเดินเรือจากฝั่งถึงเกาะ ใช้ไป 45 นาที แบบน้ำลายย้อย
เกาะสีชัง ยังคงทำให้ทุกคนเกลียดชังในความเป็นตัวของมันอยู่ บนเกาะมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก สังเกตุจากป้ายแนะนำหลังจากที่เอาเท้ามาแตะบนท่าเรือฝั่งเกาะ แต่ให้ตายเถอะ วันนี้ไม่ใช่จุดหมายของเราที่จะมาเก็บแต้มหรือถ่าย Landmark บนเกาะนี้ แต่สถานที่ที่เรากำลังจะไปนั้น มันไม่มีอยู่ในแผนที่หรือแพ็คเก็จทัวร์ใดๆ เลยต่างๆ หาก ว่าแล้วก็ออกเดินทางไปหลังเกาะกัน
ลับไม่ลับ ใครจะคิดว่าหลังรถตักดินแม่งมีท่าเรือเล็กๆ ซ่อนอยู่ ให้ตายเถอะ เรานั่งรถสองแถวจ่ายคนละ สิบยี่สิบสามสิบมาถึงที่นี่ มีเรือลำเล็กมารับ โดยมีสัญลักษณ์ลับคือเจ้ารถขุดดินสีเหลือที่ใช้งานไม่ได้แล้วคันนี้ กูว่า Landmark ที่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ขากลับขอถ่ายรูปชิคๆ คู่กับรถถังบังเก้อนี้หน่อยแล้วกัน
ระหว่างเดินเรือก็เห็น Landmark อีกจุดที่คิดว่าจะมาถ่ายลกุ่มกัน นั่นคือเศษซากปลัดหักพังเรือจับปลาที่เกยตู้นยังกับพะยูนแก่ชายฝั่งตรงนั้น เอาล่ะ อากาศกำลังดี เพลงก็มา กีต้าร์ก็โดน จิบน้ำผลไม้เย็นๆ สักแก้ว ไม่นานนัก ความลับก็เกิดขึ้น…
มีแพไม้ไผ่ลอยอยู่กลางทะเล หลังเกาะสีชัง ที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นของใคร ให้ตายเถอะ และนี่คือสิ่งที่ผมจะเอามานำเสนอให้เพื่อนๆ พี่ได้รู้จักกับสถานที่แห่งนี้ ที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักแต่น่ารู้จัก ให้เพื่อนๆ ได้เข้าไปสัมผัสกับแพกลางทะเล รวมถึงบุฟเฟ่์อาหารทะเล และกิจกรรมอื่นๆ มากมายบนแพลำนี้ ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย!!!
ที่นี่คือแพทะเล “ฎามาฬา” ครับ เป็นแพที่ใช้บริการดำน้ำดูปะการัง พายคายัค เล่นน้ำ ตกปลา แบบส่วนตัวสุดๆ จะมีเรือเล็กๆ ลากเราไปตามเกาะต่างๆ รอบเกาะสีชังอย่างเกาะค้างคาว สามารถขึ้นไปหาดไหนก็ได้ที่คุณต้องการจะขึ้น ซึ่งทีเด็ดที่จะพูดมาทั้งหมดนี้แล้ว คงจะขาดสิ่งนี้ไม่ได้ นั่นก็คือ อาหารทะเลปิ้งย่างแบบไม่อั้นนั่นเอง
พอเราไปถึง อาหารช่วงแรกที่พี่เค้าเอามาเสิร์ฟให้คือปูนึ่งครับ ปู่แบบ ทานยังไงก็ไม่หมด ประมาณ 2 ถาดกับคนไม่ถึงสิบคน บ้าไปแล้ว เรือก็ล่องไปเรื่อยๆ พวกเราเอาเครื่องเล่นแผ่นมาเปิดเพลงบนแพด้วย เรียกได้ว่ามา inspect เตรียมจัดงานปาร์ตี้ส่วนตัวหากมีโอกาสครั้งหน้านั่นแหละ ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของ อยากทานไรก็ทำกันครับ ส้มตำก็มี ตำคู่กับเนื้อปูนุ่ง หรือกุ้งก็แซ่บเข้าไปใหญ่
หรือจะตกปลาแล้วเอามาย่างกันสดๆ ก็ได้ บนแพมีบริการคันเบ็ด แบบพื้นบ้าน ที่เอาเอ็นมาม้วนใส่ขวด เหมือนการตกปลาในเรือท่องเที่ยวทั่วๆ ไป ตกง่ายกว่าน้ำจืด เพราะปลาที่นี่เยอะมาก ปลาเล็กปลาน้อยก็มี และที่พีคสุดคือปลาหมึกนั่นเอง
อีกสิ่งที่พลาดไม่ได้ และเป็น Highlight ของที่นี่เลยคือ Sashimi ครับ จะเป็นปลาเนื้ออ่อนหรือกุ้งที่ทางเจ้าของแพเตรียมมา หรือเป็นปลาหมึกที่เราตกได้ ก็เอามาแร่ ล้าง แล้วก็เฉือนกันทานสดๆ เอาผงวาซาบิผสมน้ำ และหยดซอลโชยุไปนิดๆ อื้อหือออออออ หวานมากกกกกกกกกก สดมากกกกกกกกกก แงงงงงงงงงง
ต้องขอโทษที่มีภาพน้อยมาก เพราะตอนทาน แย่งกันทานครับ ถ้ามัวแต่ถ่ายภาพคงไม่ทันเพื่อนๆ จริงๆ เพื่อนๆ จะทานก่อน หรือเล่นน้ำก่อนก็ได้ แล้วแต่เราเลย เราสามารถบอกความต้องการกับทางแพได้ครับ หลังจากท้องเราเริ่มอิ่ม และนั่งย่อยกันสักพัก ก็เริ่มกิจกรรมต่างๆ ที่กระชับความสัมพันธ์กันขึ้น ใครอยากพายเรือก็ไป อยากเล่นน้ำก็เล่น อยากนอนก็นอน เอาที่ถนัดเลย ฮาๆๆ
ภายในแพขนาดไม่เล็กไม่ใหญ๋ครับ แต่ก็สามารถจุดคนได้มากสุดที่ 30 คนแบไม่แน่นจนเกินไป ตรงกลางแพจะมีที่ดูปะการังด้วย สามารถให้อาหารปลาได้ตรงบริเวณนั้นเลย แต่เสียดายที่ช่วงเราไปน้ำขุ่น เลยทำให้ความฟินไม่เต็มระดับสิบเท่าที่ควร
เราพกเอาเครื่องเล่นมาเปิดด้วยครับ อย่างที่บอกว่า บนเรือมีเครื่องปั่นไฟครับ เพลงเพลงให้ฟัง ใครอยากจะเช่าเหมาแพมาตื็ดหรือจัดงานฉลองส่วนตัวก็ย่อมได้ แถมไม่รบกวนใครอีกด้วย
เอาล่ะ ได้เวลาอันสมควร ๕ โมงเย็น เราก็จะขึ้นฝั่งกันครับ พนักงานจะเอาแพไปเก็บไว้ในที่ลับที่หนึ่ง จากนั้นเราก็จะขึ้นเรือลำเดิม แล่นไปยังท่าเรือรถตักดิน ฮาๆๆ นึกแล้วก็ขำ อ่อ ลืมให้ข้อมูลติดต่อเจ้าของแพไปเลย เจ้าของแพแกเคยทำแบบนี้เมื่อหลายปีก่อนครับแล้วก็เลิกไป คราวนี้แกเลยอยากเอากิจกรรมแบบนี้งัดขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักอีกครั้ง เบื้องต้นเฮียแซม (เจ้าของแพ) แจ้งมาว่า ค่าบริการเนี่ย ถ้าเป็น Day Trip จะคนละ 1,800 บาท แต่ถ้าแบบ 2 Days 1 Nights ก็จะตกอยู่ที่ 3,300 บาทครับ ซึ่งก็จะรวมทัวร์รอบเกาะเพิ่มขึ้นมาด้วย สำหรับที่พักในส่วนโปรแกรม 2 Days 1 Night ก็จะเป็นที่นี่ครับ ที่ๆ เรากำลังจะไปพักนี่แหละ เอาล่ะ อ่านมาถึงตรงนี้ ใครสนใจจองเหมาแพ หรือเลือก Package แบบไหน ติดต่อเฮียแซมได้ที่ 095-628-9628 หรือ 062-248-8979 โทรไปเท่านั้นครับ เพราะว่ามันส่วนตัวจริงๆ : )
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตอนแรก มีอยู่สองที่ที่หลังจากกลับมาจากแพ ผมอยากจะถ่ายเป็น Set ภาพเก๋ๆ ตรงนั้น เอาให้เป็น Landmark แปลกๆ ของที่นี่ไปเลย และภาพที่ออกมาสองภาพ ก็เป็นประมาณนี้ครับ ฮาๆ
เอาล่ะ เมื่อถ่ายเสร็จแล้วพี่คนขับรถก็บีบแตรด่านิดหน่อย เพราะใช้เวลาค่อนข้างนาน คืนนี้เราจะไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ที่เรียกได้ว่ าใหม่ที่สุดบนเกาะแล้วล่ะผมว่า เป็นโรงแรมโทนฟ้าขาว สไตล์ซานโตรินี่ผสมตะวันออก โรงแรมกระทัดรัดมี 20 ห้อง แต่ละห้องก็จะคูลๆ แบบไม่ซ้ำ มีสระว่ายน้ำ แล้วก็มี Cafe และ Restaurant ที่น่าดึงดูดมากๆ
ที่นี่คือ Somewhere Koh Srichang ครับ เป็นโรงแรมเครือเดียวกับพวก Kantary หรือ Cape Spa ที่ใครหลายๆ คนคงคุ้นหู แต่ที่นี่จะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็กหน่อย และมีห้องให้เลือกไม่มากนัก แต่ควาสะดวกสะบายและการบริการต่างๆ เรียกว่าครบครันเลยที่เดียว รวมถึงการรกัษาความปลอดภัยด้วย
คลายร้อนด้วยการเอาตัวที่ตากแดดอุ่นๆ มาแช่น้ำเย็นๆ จิบ Cocktail คูลๆ กับสนามที่ Cozy Cozy แบบนี้ก็ดีไม่น้อย เรานัดเวลากันอาบน้ำแต่งตัว และเตรียมทานข้าวกันที่ห้องอาหาร The Veradah ตอนหนึ่งทุ่มครับ ตอนนี้ก็เลยพักผ่อนแยกย้ายกันไปก่อน ฮาๆ
ห้องอาหารมีพื้นที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปครับ มีทั้งด้านนอกด้านใน แต่วันนี้ขอเข้ามาด้นาในตากแอร์เย็นๆ นะครับ ซึ่ง The Verandah Restaurant เนี่ย เปิดให้บริการแก่คนนอกด้วยนะ ไม่ใช่เฉพาะแต่คนที่เข้าพัก เปิดบริการตั้งแต่ หกโมงเช้า ถึงสี่ทุ่มครับ บริเวณด้านนอกนั่งได้ 14 ที่นั่ง และด้านใน 18 ที่นั่งครับ
อาหารที่นี่อร่อยครับ และที่พลาดไม่ได้และอย่าลืมสั่งถึงแม้ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม นั่นคือ พิซซ่าครับ พิซซ่าที่นี่เค้านวดแป้งกันสดๆ และปรุงแต่งกันหลังร้าน อบมาแบบร้อนๆ เซิร์ฟให้เพื่อนได้ทานกับแบบ Italian เลย ซึ่งหน้าของพิซซ่าก็จะมีหลายแบบหลายสไตล์ให้เข้ากับปากเรานี่แหละฮ้ะ ยังไงห้ามพลาด
และนี่คือหน้าตาอีกหน้าหนึ่งที่ผมชอบมากๆ คือหน้า Salmon รมควันครับ อันนี้ถาดที่สอง คือสั่งเบิ้ลมาเลย อร่อยมาก ๕๕๕๕
มาถึงถิ่นโรงแรมในเครือ Kantary ก็ห้ามพลาดที่จะสั่งของหวานเด็ดขาด เพราะที่นี่เค้ามีชื่อเสียงเรื่องของหวานมานานแล้ว อาจจะมีเมนูให้เลือกน้อยหน่อย แต่เมนูที่นี่ก็คงคุณภาพตามแบบฉบับเครือ Kantary จริงๆ ครับ
และนี่เป็นห้องนอนของผมเอง ห้องน่าอยู่ สะอาด และยังมีกลิ่นใหม่ๆ อยู่เลย ฮาๆๆ เตียงดูดวิญญาณใช้ได้ บวกกับความกว้างของห้องที่เหมาะแก่การพักผ่อนสุดๆ กลิ่น Lotion และเจลอาบน้ำของที่นี่ชวนให้อยากอาบน้ำแล้วทาโลชั่นหลายๆ รอบมาก ฮาๆๆ เอาล่ะ วันนี้ผมขอนอนพักก่อนแล้วกัน เพื่อที่จะไปลุยเช้าวันพรุ่งนี้ต่อ และสำหรับคนที่สนใจจะเข้ามาพักที่ Somewhere แห่งนี้ สามารถติดต่อเข้าพักได้ที่ http://www.somewherehotel.com/th เลยครับผม : )
DAY 2
ตื่นสายมากเพราะเมื่อคืนเล่นกันเยอะไปหน่อย เอาล่ะ ได้เวลาไปเที่ยวรอบเกาะสีชังกันแล้ว แต่ก่อนที่จะออกไปรอบเกาะ ก็ต้องเติมพลังด้วยมื้อเช้าก่อน ที่สำคัญ มื้อเช้านั่นเป็นมื้อที่ขาดไม่ได้เลย ต้องทานให้ครบ ๕ หมู่ด้วย และอาหารเช้าของที่นี่ก็ตอบโจทย์สุดๆ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเราก็รวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อที่จะเดินทางรอบเกาะครับ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เราเลยไปไม่หมดอย่างที่ใจหวังครับ แต่เราก็สรุปมาคร่วาๆ ให้เพื่อนๆ แล้วนะ ว่าเกาะสีชังนั่น มีอะไรให้เพื่อนๆ ไปเที่ยวบ้างงงงศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
1. ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ตั้งอยู่บนเขาห่างจากท่าเรือเทววงศ์ไปทางด้านเหนือของเกาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถาน ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทย บริเวณศาลมองเห็นทิวทัศน์บ้านเรือนด้านหน้าเกาะได้ชัดเจน
2. มณฑปรอยพระพุทธบาท อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเล ได้โดยรอบ
3. เรือนวัฒนา เป็นเรือนสีขาวตัวอาคารทำด้วยปูน สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่พักฟื้นสำหรับชาวไทยและต่างประเทศ ต่อมาก็ใช้เป็นที่ประทับของพระราชวงศ์ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐานในพ.ศ. 2435 ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบนเกาะสีชัง
4. เรือนไม้ริมน้ำ(เรือนเขียว) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเสด็จมายังเกาะสีชังเป็นประจำโดยเรือกลไฟ และประทับแรมบนเรือ พระที่นั่งโดย มิได้สร้างพลับพลาที่ ประทับ แต่ในเวลานั้นก็มีเรือนไม้พักผ่อนริมทะเล ปลูกสร้างอยู่แล้วหลังหนึ่ง คือ “เรือนเขียว” ปัจจุบันยังอยู่และมีสภาพที่เรียบร้อย สมบูรณ์และได้จัดตกแต่งเป็นร้านกาแฟสำหรับบริการนักท่องเที่ยว
5. สะพานอัษฎางค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานทอดลงไปในทะเลบริเวณแหลม มีพระราชดำริว่า ที่เกาะสีชังเวลาน้ำขึ้นลงเป็นที่ลำบาก บางครั้งถูกกาบหอยบาด สะพานที่โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นนี้ชื่อสะพานอัษฎางค์ ตัวสะพานทำด้วยไม้สักทาสีและตรึงเหล็ก เหมาะสมแก่การท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
6. เป็นพระราชวังบนเกาะแห่งเดียวในประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 โดยเริ่มก่อสร้างอาคารที่พักต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432 และใช้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ ปัจจุบันภายในเป็นสถานที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเกาะสีชัง
7. น้ำพุหินอ่อนในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้นำเข้าจากประเทศอิตาลี ปัจจุบันได้บูรณะแล้วนำมาเก็บไว้ให้ชมในเรือนวัฒนา
8. ระมหาโนดาดต์ เป็นสระขนาดใหญ่ที่สุด สร้างขึ้นเพื่อเป็นสระส่วนพระองค์รัชกาลที่ 5 เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นเป็นรูปหัวใจ ด้านก้นสระจะเป็นรูปหยดน้ำกลับหัวผิวฉาบปูนเรียบทั้งสระ มีบันไดฉาบปูนแนบไปกับผนังสระ
9. วัดอัษฎางคนิมิตวัดไทยที่สร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลมาจากงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิก และแบบคลาสสิค ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานอุทิศที่เขตพระอุโบสถ เพื่อให้พระสงฆ์ใช้ประกอบสังฆกรรม
10. หินระฆังเป็นอีกจุดที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ โดยการนำก้อนหินเล็กๆมาเคาะที่หินระฆัง จะมีเสียงใสกังวานใสเหมือนระฆังจริงๆ
11. พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 สร้างเพื่อรำลึกและเป็นเกียรติแก่พระองค์ โดยตั้งอนุสรณ์ไว้ด้วยท่าทรงนั่ง ประทับในศาลาทรงไทย ด้านหลังเป็นหินขนาดใหญ่ ร่มรื่นมาก ประชาชนที่มาเที่ยวได้กราบสักการะ ด้วยดอกกุหลาบสด ชมพู แดง
12. ช่องอิศริยาภรณ์หรือช่องเขาขาด มีลักษณะที่งดงามและโดดเด่นมองเห็นทัศนียภาพรอบๆเกาะ และเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการชม พระอาทิตย์ตกดิน
13. หาดถ้ำพัง มีลักษณะเป็นอ่าวโค้งมีชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำและพักผ่อน
14. เช่าจักรยาน ท่องเที่ยวชมวิว โดยสามารถชมทัศนียภาพได้ทั่วทั้งเกาะใช้เวลาเพียงครึ่งวัน
และนั่นก็เป็นกิจกรรมบนเกาะสีชังทั้งหมดที่พวกเรารวบรวมมาไว้ให้ครับ พวกเราอาจจะเก็บไม่ครบ เพราะมีเวลาไม่มาก แต่หากเพื่อนๆ มีเวลา อย่าลืมจดใส่ bucket list และไล่กาทับให้ครบทุกที่ที่เราแนะนำนะครับ แล้วเพื่อนๆ จะหลังรักสีชังมากกว่าเดิม แล้วเจอกันระหว่างทางครับ
:: follow us ::
Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/
#palapilii
#wanderlust
#YOLO