หลังจากเมื่อปีที่แล้ว ไมได้พาที่บ้านไป Road Trip รูท Nagoya – Tokyo มา พ่อแม่ก็ติดใจมากกก เลยรู้สึกดีที่ทำให้พ่อแม่ได้กลายไปเป็นเด็กอีกครั้ง ถ้าชอบญี่ปุ่นขนาดนี้แล้ว เกาะ Hokkaido คงเป็นอีกที่หนึ่งที่พ่อกับแม่คงจะชอบมากไม่แพ้กัน ทริปนี้จึงเกิดขึ้น…
ปล.เพื่อนๆ สามารถชมวีดีโอทริปที่แล้วได้ที่นี่ คลิ๊ก!!
ผมจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นผ่าน Traveloka เจอตั๋วไปกลับ ดอนเมือง – ซัปโปโร แบบถูกสุดๆ ที่ 9,000 กว่าบาท แต่วันไม่อำนวย เลยย้ายราคามาได้ที่ 14,000 บาท อย่างน่าเสียดาย แต่ก็นั่นแหละครับ สำหรับผม traveloka ถือเป็นเว็บไซต์จองตั๋วบินที่ง่ายมากกกก สะอาดตา พร้อมไล่ราคาจากถูกไปแพงให้เราได้เปรียบเทียบกับตังค์ในกระเป๋าได้ตรงตาม budget ที่ตั้งไว้ได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญสะดวกสุดๆ กับการจ่ายค่าตั๋ว เพราะมีช่องทางที่เยอะเว่อร์กว่าชาวบ้านเค้า
แผนเที่ยวคร่าวๆ คือจะไปในที่ที่ไม่เคยไป และไปเพื่อที่จะไป re-skill snowboard แค่นั้นเลย ซึ่งถ้าพ่อแม่อยากแจมในช่วงตอนเล่น Ski หรือ Snowboard ก็มา
DAY 1
- เดินทางตอนดึก กับสายการบินปีกแดง ถึงเช้าๆ ของวันที่สอง
DAY 2
- เช่ารถที่สนามบิน
- ไปหุบเขานรกจิโงคุดานิ (Jigokudani Noboribetsu) เมือง Noboribetsu
- ซึ่งที่ Noboribetsu เป็นแหล่ง “ออนเซ็น” ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น
- ขับยาวไป Niseko เตรียมเล่น Snowboard วันรุ่งขึ้น
DAY 3
- ตื่นเช้า หาข้าวกิน แล้วไปเช่าอุปกรณ์
- เล่น Snowboard ครึ่งวัน
- เดินทางไป Asahiyama
DAY 4
- ตื่นเช้าเดินทางไป Aoiike Blue Pond
- ใกล้ๆ กันมีน้ำตก Shirahige ** ซึ่งในวันที่อยู่เมือง Asahiyama เพื่อนๆ สามารถเข้าสวนสัตว์ หรือขึ้น Rope way ขึ้นไปชมภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตอยู่ข้างบนเขาเทือกนั้นต่อได้**
- เดินทางกลับมาที่ Chitose ไปชมพระอาทิตย์ตกดินปิดท้ายทริปที่ทะเลสาบ Shikotsu
DAY 5
- บินกลับไทยอย่างปลอดภัย
และนี่คือแพลนที่วางไว้หลวมๆ สำหรับทริปนี้ ซึ่งก็ยังไม่รวมร้านอาหารขึ้นชื่อที่ห้ามพลาดในแต่ละเมืองที่เรากำลังจะรีวิวอยู่ในรีวิวตัวนี้ด้วยนะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปลุยกับพวกเราทั้งห้าคนกันเลยยยยย!!!
D A Y 1
จริงๆ อย่าเรียกว่าเป็น D A Y 1 เลย เพราะเวลาบินแม่งบิน 23:55 น. ที่ดอนเมือง คือบินตรงไปถึงเช้าที่นู้นราวๆ 8 โมงกว่าๆ ก็ตามสไตล์ ไม่ได้จองอะไรเลย กะว่าจะจองเอาหน้างาน ทั้งรถเช่า และที่พัก รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจุดหลักที่แพลนมาคร่าวๆ กับระหว่างทางที่อาจจะบังเอิญไปเจอด้วย
และด้วยความที่มันไปตายเอาดาบหน้านี่แหละ ประกันเดินทางจึงสำคัญ ครั้งนี้ใช้ของ ทิพยประกันภัย เลือก Package 3 จ่ายหลักร้อย ครอบคลุมอย่างราชา ก็จะไม่พูดมาก ดูเอาข้างบนนี้เลย หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและซื้อประกันเองออนไลน์ง่ายๆ ได้ที่ www.tipinsure.com
สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก
- ค่าเครื่องไปกลับ 13,800 บาท
- ค่าประกันเดินทางคนละ 415 บาท
D A Y 2
เดินทางมาถึงสนามบิน New Chitose แบบหลับๆ ตื่นๆ เมื่อคืนนี้ หลังจากออกจาก ตม. ก็หาป้าย Car Rental เลย ซึ่งใครที่จองมาแล้ว หรือยังไม่ได้จองเหมือนผม ยังไงก็ต้องจุดเดียวกันครับ คือเดินลงมาชั้นล่าง (สนามบินเล็ก) เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ หลังจากติดต่อกับเจ้าหน้าที่เสร็จ ก็จะมี shuttle bus ของทางบริษัทนั้นๆ มารับครับ ก็จะเรียกตามใบคิวที่แจกเรามาเลย นั่งไปจากสนามบินแค่ 10 นาทีเท่านั้น จากนั้นก็เข้าไปติดต่อใน Office ของบริษัทที่เราเช่ารถ ซึ่งต้องดูด้วยว่าเราจะเดินทางไปที่ไหน บอกเจ้าหน้าที่เลยครับ เจ้าหน้าที่จะช่วย แล้วดูว่า ทางที่เราจะไปจำเป็นต้องซื้อ ETC แบบเหมาหรือเปล่า จะได้คุ้มค่า ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางเป็นครั้งๆ ไป อย่างของเราในทริปนี้ ซื้อ ETC Card แบบเหมาวันไปเลยคุ้มกว่า นั้นก็คือ 3 วันเดินทางแค่นั้น
ดูแลกันจนเสร็จถึงขั้นตอนสุดท้าย เค้าก็จะพาไปดูรถ เช็ครถ และก็เซ็นรับรถ ที่นี่ล่ะ ถึงคราวที่เราจะลุยละ ซึ่งการขับรถที่ญี่ปุ่นเนี่ย ตอนนี้ จำเป็นต้องมีใบขับขี่สากลแล้วนะครับ และที่ง่ายคือพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา
เบ็ดเสร็จค่ารถตกราวๆ 12,000 บาท ค่า ETC card 2,000 กว่าบาท จากสนามบินขับไปจุดแรกคือหุบเขานรก Jigokudani หรือถ้าพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษคือ Noboribetsu hell valley ก็ขับไปราวๆ สองชั่วโมงกว่าครับ ไปถึงบริเวณนั้นเค้าว่ากันว่า มีร้านโซบะห้ามพลาดอยู่ร้านหนึ่ง คือร้าน Soba dokorofukuan แนะนำให้สั่งเมนูที่ 15 นะครับ ฟินเว่อร์
ภายในร้านก็แบบญี่ปุ่นๆ เลยนี่แหละ สะอาด บริการดี ยิ้มแย้ม แจ่มใสตามสไตล์ หนาวๆ เข้าไปถูกเซิร์ฟด้วยชาเขียวร้อนๆ ก็รักตายเลยล่ะ ซึ่งราคาต่อจานตกอยู่ที่จานละ 980 Yen เท่านั้น ก็จะมาเป็น set อย่างที่เห็น
หลังจากอิ่มแล้ว ก็ขับรถไปหาที่จอดตรงหุบเขานรกครับ ซึ่งหุบเขานรกเนี่ยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Shikotsu-Toya เมือง Noboribetsu และที่เรียกว่าหุบเขานรกเนี่ย เพราะที่นี่มีทั้งบ่อโคลนและบ่อน้ำร้อนที่เดือดตามธรรมชาติกระจายไปทั่วบริเวณยังกับนรกตามที่ใครหลายคนบอกในจินตนาการนั่นเอง หรือมันมีอยู่จริง หรือยังไง งือออ กลัว แต่ที่นี่ถือเป็นแหล่งกำเนิดน้ำแร่และออนเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะฮอกไกโด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เชิญ google
สำหรับที่นี่ถ้าจะเดินให้หมดต้องใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงนะครับ เพราะมีรูทเส้นทางธรรมชาติให้เดินค่านข้างเยอะเลย นี่ก็มีโอกาสได้เดินไปในบางช่วง ชอบไอเดียของที่นี่ เดินไปหน่อยๆ ก็จะเจอป้ายคำถามเกี่ยวกับสถานที่ เช่นแบบ สระชื่อนี้ลึกกี่เมตร ส่วนคำตอบ ทุกคนจะต้องเดินต่อไปข้างหน้าในทางที่จะไปสระนั้นครับ อะไรแบบนี้ คือถามตอบถามตอบ ได้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ จนไปเห็นด้วยตาของตัวเอง
ที่นี่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นะครับตอนผมไป ค่าจอดรถก้ไม่มี ค่าเข้าก็ไม่มี คือเดินเล่น เดินดูสบายๆ เลย แต่กลิ่นอาจจะแรงหน่อย ใครที่ไม่อยากดมกลิ่นแนวๆ กำมะถัน ก็หา Mask ไปด้วยก็ดีครับ
ช่วงที่เราไป ไม่มีอารมณ์จะมาออนเซ็นครับ เลยขอผ่านไปก่อน เพราะคิดว่าออนที่ไหนก็เหมือนกัน แค่ออนที่นี่น้ำมีกลิ่นกำมะถันแรงหน่อย กับแร่ธาตุเยอะดี อะไรประมาณนี้ //ประเด็นคือจะให้กูออนเซ็นตอนบ่ายก็ไม่ใช่ ๕๕๕๕ เอาล่ะ ขับกันต่อดีกว่า Destination หน้าคือ Niseko
ระหว่างทางจาก Noboribetsu ไป Niseko ค่อนข้าสวยงามมาก เพราะลัดเลาะตามเทือกเขาหิมะเรื่อยๆ เลย ยังไงอย่าพึ่งนอนหลับกันไปก่อน เตรียมกล้องถ่ายรูปเยอะๆ แต่ที่นี่ขึ้นชื่อมากๆ อะไรที่เกีี่ยวกับนมวัว หรือซูครีมเนี่ย พวกเราก็ไม่พลาดที่จะแวะเหมือนกัน ก่อนเข้า Niseko มีอยู่ร้านหนึ่งตั้งอยู่ริมถนนอย่างเด่นเลย บวกกับวิวภูเขาด้านหลังที่กั้นเป็นฉากหลังสวยๆ ด้วย ยังไงก็ต้องจอด ๕๕๕
ในร้านชิลมากกกก มีเมนูทั้งบริเวณเคาน์เตอร์และบนโต๊ะ อาหารก็สามารถสั่งทานได้แบบ fusion แต่ทีเด็ดคงหนีไม่พ้นการสั่งซูครีมอย่างที่บอกไปนั่นแหละ คือรสชาติดีมากกก เนื้อนิ่มมมม กรอบนอก นัวใน คือก็สั่งมากินกันเล่นประมาณสามชิ้นแล้วแบ่งกัน คือฟินเว่อร์ หมดแล้วแต่ก็ต้องจัดเพิ่มอีก ๕๕๕
บริเวณหลังร้านวิวก็ไม่ธรรมดา คือสวยมาก เลยให้พ่อแม่เดินออกไปด้านหลัง เด๋วลูกจะถ่ายรูปโดยมีกระจกเป็น filter ให้ ๕๕๕๕
พอไปถึง Niseko ก็ยังไม่ได้เข้าที่พักนะ ไปที่ Rhythm ก่อน ซึ่งที่นี่คือที่สำหรับเช่าอุปกรณ์การเล่นกิจกรรมหิมะ ก็พวก Ski/Snowboard นั่นแหละ แต่พึ่งมารู้ทีหลังว่าแพง แพงกว่าของที่เค้ามีให้เช่าที่หน้างาน แต่ความดีของมันก็คือ ได้ของดี สีสันลวดลายสวย เล่นกันสามคน หมดค่าเช่าเบ็ดเสร็จสำหรับ 1 day ไปคนละราวๆ 1,800 บาท
สำหรับ Niseko เป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงพอสมควร ฉะนั้น อาหารเย็นมื้อนี้ Lawson คือที่ที่ดีที่สุด แต่ Lawson ที่นี่ก็ฝากท้องให้กับเราได้ดีมากไม่แพ้กับร้านอาหารทั่วไปในญี่ปุ่นเลย และคืนนี้พวกเราเองก็พักกันที่ Trailside Chalets ครับ เป็นอีกที่พักหนึ่งที่แนะนำเลย ถูกและดี มีอยู่จริง
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สอง
- ค่าเช่ารถ + บัตร ETC 13,349 บาท
- กิน Soba 10,000 YEN
- ไอติม 522 YEN
- เช่าอุปกรณ์เล่น Snowboard 17,250 YEN
- ที่พัก Trailside 16,000 YEN
- กินเที่ยง + เย็น 3,629 YEN
** 1 บาท เท่ากับ 3 เยนโดยประมาณ **
D A Y 3
ตื่นเช้ามาแบบงงๆ กับความสว่างตอนตีสี่ อิบ้า…. ญี่ปุ่นตอนนั้นเร็วกว่าไทยสองชั่วโมง แถมดวงอาทิตย์ยังขึ้นตั้งแต่ตีสี่อีก คือกูทำตัวไม่ถูก ตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ ฮาๆๆๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็นอนต่อปนคุยกันเบาๆ สุดท้ายตื่นแม่งเลย และนี่คือที่พักของเราสำหรับคืนนี้ครับ เป็นที่พักราคาถูกที่สุดใน Niseko ที่เราหาเจอ คือ 16,000 Yen
ที่พักดีนะไม่ใช่ไม่ดี เป็น Apartment มีห้องสี่ห้อง แต่วันนั้น ทั้งบ้านเป็นของเรา อุปกรณ์เครื่องใช้เครื่องครัวเครื่งอาบน้ำครบครันอย่าให้บอก มีฟูกนุ่มๆ ให้ปูนอน พร้อมหมอนและผ้าห่มหนาๆ กันหนาวให้เรา พูดแล้วก็ดีงาม สามารถตามมานอนที่นี่ได้เลย
ขอถือโอกาสเช้านี้ เอารถแล้วก็บ้านคืนแรกให้เพื่อนๆ ดูหน่อยละกัน ว่าอารมณ์ประมาณไหน รถก็เป็นของ SUBARU คือขับนุ่มอ่ะ ดี ส่วนบ้านก็ตามภาพเลย สวยงาม วิวดีด้วย ออกมานอกบ้านก็เห็นภูเขาไฟโยเตเลย (ภูเขาที่คล้ายๆ ฟูจิ)
ขับเข้าไปที่เดิม Lawson หาข้าวเช้ากิน จะกินอะไรก็เลือกได้เลย มีเยอะแบบบุฟเฟ่ห์แต่จ่ายเองนะ ฮาๆๆ ซึ่งสิ่งที่จะไม่พลาดสำหรับทุกมื้อหรือทุกครั้งที่จอดรถคือ ไอติม ของที่นี่ ฮาๆๆ คืออร่อยมากกก ซอร์ฟครีมละมุน นุ่มมมม นุ่ม
เอาล่ะ ถึงเวลามาลุยต่อแล้ว ที่ Niseko มีที่เล่น Snowboard อยู่หลายที่ครับ แต่ช่วงที่พวกเราไปนั้น เหลืออยู่ที่เดียวที่เปิดให้เล่น ที่อื่นปิดหมดเพราะหิมะน้อยเหลือทนแล้ว รีสอร์ทที่พวกเราไปเล่นคือ Ice Coast ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า แต่อยู่แถวๆ อ่อ…. ชื่อ Grand Hirafu Ticket Office ครับ อยู่ด้านหลัง Niseko Alpen Hotel
สำหรับค่าใช้จ่ายผมว่าถูกมากๆ เมื่อเทียบกับแคนาดา ค่าลิฟท์ ถ้าเล่นทั้งวันก็ 3,600 Yen ถ้าเล่น 5 ชั่วโมง 3,000 Yen ถ้าขึ้นรอบเดียว 1,800 Yen และเท่าที่เห็นคือ ค่าเช่าอุปกรณ์ถูกมากๆ ยังไงใครจะมาเล่น แนะนำให้มาตรงสถานที่เล่นเลยนะครับ ราคาจะถูกกว่า แต่อุปกรณ์ก็ไม่ได้ดีเท่ากับ Rhythm เท่าไหร่ แต่ก็พอได้
ห้าชั่วโมงสำหรับ Snowboard ของคนที่บ้านไม่มีหิมะ ถือว่าเพียงพอโคตรๆ ครับ เล่นจนปวดเนื้อปวดตัวหมดเลย เสร็จจากเล่น Snowboard ก็เดินทางไป Asahikawa กันต่อครับ ระหว่างทางจะต้องผ่านร้านไอติมนมสดร้านหนึ่งชื่อ Yamanaka Dairy Farm ยังไงห้ามพลาดเลยนะครับรู้สึกว่าจะอร่อยที่สุดเท่าที่กินมาตั้งแต่วันแรกเลย ฮาๆๆๆ
ระหว่างทาง พระอาทิตย์ตกดินพอดีครับ ขับตั้งแต่บ่าย ลากเย็น จนไปมืดที่ Asahikawa
จาก Niseko เข้า Asahikawa ใช้เวลาราวๆ 4-5 ชั่วโมงเลย เรียกได้ว่าถึงเย็นๆ มืดๆ หน่อย ที่พักก็เล่นแบบเดิม คือเปิดแอพระหว่างทางแล้วจองกันสดๆ ก่อนเข้านั่นแหละ แต่ที่พักคืนนี้ของเราดีหน่อย และอยู่กลางเมือง มีที่จอดรถอัตโนมัติ มี Hot Spring ที่พักเป็นแบบญี่ปุ่น มีห้องน้ำส่วนตัว มีเครื่องอาบน้ำ ผ้าเช็ดตัวให้ บลาๆ คือพร้อมอยู่ ราคาคืนละ 2,700 บาทเท่านั้น ที่พักชื่อ Premier Hotel Cabin Asahikawa นะครับ
หลังจาก check in แล้ว Drop กระเป๋าเสร็จก็ถามพนักงานครับ ว่าอยากกิน sashimi เนี่ย ต้องไปร้านไหน พนักงานชี้มาให้ในแผนที่ 2 ร้าน ซึ่งร้านที่ใกล้ที่สุดคือ Sushi House ครับ เดินจากโรงแรมไปราวๆ 1 km ก็ถึงครับ ซึ่งภายในร้านวันนั้น ไม่มีใครเลย มีแต่กลุ่มเรา เอ๊ะ สรุปคือ เมิงอร่อย หรือหนาว หรือยังไง ทำไมไม่มีคน
เอาเป็นว่าภายในร้านบรรยากาศเหมือนเป็นบาร์ Sushi เลยครับ นั่งสั่ง แล้ว Chef ก็หั่นให้ทานกันสดๆ ตอนนั้นเลย ไม่มีเป็นจานๆ มาเซิร์ฟนะ คืออย่างสั่ง Salmon Sashimi ก็หั่นแล้ววางลงตรงบาร์เลย ส่วนรสชาตินั้น ใช้ได้เลยทีเดียว แต่ที่ใช้ไม่ได้คงจะเป็นราคานี่แหละ เพราะแพงมากกก เบ็ดเสร็จตกไปคนะล 1,000 กว่าบาท แม่เจ้า ฮาๆๆๆ ดีนะอิ่มก่อน ไม่งั้นสั่งต่อเนื่องละแย่เลย
กลับมาที่พักอยากหลับจะตายห่า แต่แม่ก็บอกว่า… “ อุส่าห์มาแล้ว ทำไมไม่ไปออนเซ็น “ โอเค ไปก็ไป คือดีมากกกก ดีฝุดๆๆ ดีแบบ ดียยยยยยยยยย ตรงนี้ถ่ายรูปมาให้ดูไม่ได้เลย แต่ขอการันตีว่าดีมาก ละก็ที่นี่มีชุด Local ให้ใส่กันด้วยนะ มีตัวใน //สีเขียว กับตัวนอก //ไม่ได้ใส่ คือแบบ อารมณ์แบบ เหมือนเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ และครั้งเป็นครั้งแรกที่ถอดหมดอาบน้ำกับพ่อตัวเอง ฮาๆๆ พ่อก็เขิล กูก็เขิลลลลลล ๕๕๕๕๕
สรุปรายจ่ายวันที่สาม
- ค่า Lift คนละ 3,000 YEN
- มื้อเที่ยงคนละ 680 YEN
- ที่พัก 10,550 YEN
- Ice cream คนละ 300 YEN
- Sushi House 18,500 YEN
D A Y 4
จริงๆ เมืองนี้มีที่เที่ยวเยอะนะ แต่พอวันหลังๆ เราเริ่มเหนื่อยกันละ และตัดการนั่ง rope way ขึ้นไปดูวิวข้างบนทิ้ง เพราะพึ่งไป Niseko มา คิดว่าน่าจะวิวเดียวกัน วันนี้เรานัดน้องค่ายที่เจอกันตอนปีหนึ่งพาเที่ยวด้วย น้องได้ทุนมาเรียนที่นี่ แต่เช้านี้ เราซื้อ Buffet Breakfast กับทางโรงแรมไว้หัวละ 1,200 YEN พร้อมกับวิว บนชั้นเกือบ roof top ยังไงไปดูบรรยากาศกัน
คือบุฟเฟ่ต์คือคุ้มที่สุดเท่าที่กินมาทุกมื้อสำหรับทริปนี้แล้ว ดีตรงมีแซลมอนย่าง ดีที่มีซุปร้อนๆ แบบเติมเท่าไหร่ก็ได้ มีนม Hokkaido มีแบบ มีเยอะมากกกกก คือกินกันแบบกินกันจริงๆ เลยมื้อนี้ ๕๕๕ เอาให้คุ้มไปเลยยย!!!
จากนั้นขับไปรับน้อง แล้วก็พากันไปที่แรกเลยคือ Blue Pond ระหว่างทางไปคือวิวสวยมากกกก อารมณ์เหมือนขับมุ่งหน้าเข้าชนภูเขาน้ำแข็งอะไรประมาณนั้น คือถ้าหน้าหนาวคงสวยอีกแบบ หน้าร้อนคงสวยกว่านี้ แต่ขนาดหน้านี้ที่มา ก็ยังฟินแบบเอาอยู่
ในการมาญี่ปุ่นทุกครั้งของไมหรือของครอบครัวไม เราจะใช้ pocket wifi ครับ คือมีตัวเดียว ปล่อยสัญญาณได้หมดทั้งบ้านเลย ถ้าจำไม่ผิดคือได้ถึง 10 devices ด้วยกัน แต่จะได้เท่าไหร่ก็ตามแต่ บ้านเรามีกันไม่ถึงสิบหรอก ยังไงก็พอ แต่ทีเด็ดอยู่ที่ ราคาถูก เน็ตแรง เหมือนตอนนี้มีโปรค่าเช่าวันละ 150 บาทแค่นั้นเอง ยังไงลองเข้าไปดูที่หน้าเว็บนะครับ นี่ https://www.tripizee.com/th
ขับมาไม่ไกลมากก็ถึงทางเข้าน่าตกใจมาก ขับไปถึงตรงลานจอดรถไม่มีใครจอดรถเลยอิดอกกก มีแค่กู ๕๕๕๕ นี่ก็หนักใจตั้งแต่หลายๆ คนทักมาละ ว่า ไม่สวย อย่าไป ไปจริงอ่ะ แต่เชื่อมั้ยว่า…..
ก็นั่นแหละ ตามที่เห็น สำหรับผม ผมว่าสวยและสุดยอดมาก มาถึงตรงนี้ผมขอให้ความรู้จากการที่ได้ไปเที่ยวมาหลายๆ ที่หน่อย คือน้ำสีฟ้าๆ เนี่ย สังเกตไหม ส่วนใหญ่จะเจอในเมืองที่มีหิมะ ใช่ มันเกิดจากการละลายของหิมะเนี่ยแหละ ซึ่งผมไม่รู้ว่าหิมะมันมีอะไร หรือภูเขาในหิมะมันมีอะไร แต่ที่สังเกตได้ส่วนใหญ่คือเป็นเขาหินปูนละลายมาพร้อมกับหิมะ อาจมี Calcium Carbonate ผสมปนอยู่ และเกิดสีฟ้าจากการกระเจิงของแสง ยิ่งแสงแรง สีฟ้ายิ่งเห็นชัด จะจริงไม่จริง Google
จบจากตรงนั้นผมเดินทางไปต่อที่น้ำตก Shirahige ซึ่งไม่ไกลจากกันมากครับ เป็นน้ำที่เกิดจากการละลายตัวของหิมะบนยอดเขานั่นแหละ ก็ตกแล้วก็ไปรวมกับ Blue Pond ด้านล่างนั่นแหละ แต่ทว่า… ด้วยความที่มีสะพานให้เดิน มีออนเซ็นใกล้ๆ น้ำตก จึงทำให้น้ำตกแห่งนี้อยู่ในจุดที่ลงตัวสุดๆ น้ำนี่ฟ้าเชียว
ภาพข้างล่างนี้คือภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีเวลา สามารถนั่ง rope way ขึ้นไปชมทัศนียภาพข้างบนได้ ถ้าหน้าร้อนก็จะเป็นการเดินชมดอกไม้ ถ้าหน้าหนาวก็จะเป็นกิจกรรม snow shoe ซึ่งวันนี้สำหรับผมขอพักก่อน เพราะเมื่อวาน ลุยหิมะมาเกือบวันเต็มๆ ฮาๆๆ
สำหรับพวกเรากับเมืองนี้คงพอแค่นี้ครับ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีเวลา อย่าลืมไปเที่ยวกันต่อนะ แต่พวกเราในครั้งนี้เมืองนี้อิ่มตากับธรรมชาติสุดๆ เรียกได้ว่าสวยจนไม่รู้จะถ่ายรูปยังไงต่อ เลยกลับเข้าเมืองไปกินซูชิชื่อดังของที่นี่กัน นั่นก็คือ Susa sushi
Susa sushi เป็นร้านที่มีชื่อมากๆ ในเมือง Higashikawa ที่มาเมืองนี้เพราะต้องมารับและมาส่งน้องนั่นแหละครับ แต่มันก็ทางผ่านไปจุดท่องเที่ยวพอดี เข้ามาในร้านก็ต้องบอกว่าชอบเลย เพราะนี่แหละ ญี่ปุ่นแท้ๆ และสำหรับอาหารต้องบอกว่าราคาถูกกว่า Sushi House มากๆ ที่สำคัญ รสชาติอร่อยเว่อร์
หลังจากทานเสร็จอย่าลืมที่จะไปร้านตรงข้ามครับ เป็นตึกตรงข้ามเยื้องๆ ไปทางซ้ายเมื่อหันหน้าออกหน้าร้าน เป็นร้านขายของฝาก แต่ที่นั่นมีไอติมขายอยู่ น้องบอกว่าอร่อยมากกก เราก็ไม่พลาดที่จะไปชิม รสชาตินิคือสูสีกับร้านทางไป Otaru ในวันที่สองมากกก ซอร์ฟครีมนุ่มเว่อร์ รสนมกลมกล่อมมากๆ หึ้ยยยยย > <
เอาล่ะ ถึงเวลาต้องลาจาก ส่งน้องกลับหอเสร็จก็เดินทางกลับไปที่ Chitose เลย จะกลับไปที่พักเลยก็เกรงว่าจะจบทริปเร็วเกินไป เลย google หาที่ท่องเที่ยวใน Chitose ก็มีภาพหนึ่งเด้งขึ้นมา เป็นทะเลสาบมีแบ็คกราวน์เป็นภูเขารูปสามเหลี่ยมอยู่ข้างหลัง เอาล่ะ ไปกัน…
เวลากว่าสองชั่วโมงก็ทำให้เราเอาเท้ามาแตะอยู่ ณ จุดชมวิวที่นี่ ที่นี่สวยมากครับ เรามาถึงกันเย็นไป ร้านค้าปิดหมด จักรยานน้ำก็ปิด นิถ้ามาเร็วกว่านนี้ คงได้ปั่นจักรยานน้ำกันแน่นอน แต่ที่นี่ ก็เป็นจุดจบทริปที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนเลย ทะเลสาบ Shikotsu
แต่ที่สุดของที่สุดในทริปนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นความหวานของพ่อกับแม่ ที่ไม่แพ้ใครเลย ยังดูแลกันเหมือนตอนจีบกันใหม่ๆ การได้พาพ่อแม่มาเที่ยว มันทำให้เราได้เห็นว่าท่านแก่ลงเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มไม่ไหวเหมือนสมัยหนุ่มๆ ตอนที่ยังถือไม้เรียวตีเราอยู่ มันแปลกดีที่เวลามันกับหวนย้อนบทบาทของลูกและพ่อแม่ จากตอนที่เรายังเด็ก พ่อแม่จะเป็นคนดูแลและสอนเราในเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ กลับมาตอนนี้ที่เราต้องดูแลท่าน และสอนท่านให้ก้าวทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทุกคนทุกวัยจำเป็นต้องใช้อย่างทุกวันนี้ นี่คือจะบอกเป็นอีกนัยว่า พ่อกับแม่ ติด facebook มากกกก หึ้ยยย…
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สี่
- ค่ากิน 6,000 YEN
- เติมน้ำมัน 7,717 YEN
- กิน 6,800 YEN
- ไอติม 1,000 YEN
- กิน 2,350 YEN
- ที่พัก 10,040 YEN
- เติมน้ำมัน 2,000 YEN
DAY 5
เมื่อคืนเราพักกันที่ Air Hostel LCC ครับ คือสำหรับผม ผมว่าดีมากเลย ราคา 5 คน นอนกันแค่ 9,000 Yen เช่าผ้าเช็ดตัว 50 Yen ค่าจอดรถ 500 Yen มี Living Room มี Kitchen ให้ ห้องน้ำรวม และที่นอนคือดีอ่ะ สะอาด ไม่ได้กากขนาดนั้น สำหรับใครที่จะมาแค่นอนพักรอบินอะไรทำนองนี้ แนะนำที่นี่เลย ห่างจากสนามบิน 5 km. เท่านั้น
ตื่นเช้า Check out หาอะไรตบท้ายก่อนกลับไทยด้วยไอติมอีกสักครั้ง และก็เอารถไปคืน ซึ่งการเอารถไปคืนก็จะต้องเติมน้ำมันให้เต็มนะครับ แต่หากใครที่เติมน้ำมันมาไม่เต็ม ที่นั่น เค้าก็จะมีที่เติมให้ แล้วก็จะคิดราคาให้เราตอนสุดท้ายทีเดียว พร้อมให้ใบเสร็จรับเงินเรามา
Shuttle bus ก็จะมารับเราไปสนามบิน เพื่อเตรียมพร้อมเดินทางกลับบ้านด้วยแรงและพลังที่จะทำงานต่อในโลกแห่งความจริงที่ประเทศไทยครับ หวังว่าทริปนี้จะเป็น Guide Line ให้กลุมแก๊งค์เพื่อนสนิท หรือครอบครัวได้เดินทางรอยบวกประยุกต์ให้แมทกับ Life Style ของแต่ละคนนะครับ อ่อ… จะบอกว่า ไอติมภาพข้างบนอร่อยมากนะ ไปลอง แล้วเจอกันระหว่างทาง : )
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป
ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ตรงไหนที่ใช้คำว่า ** คนละ ** แสดงว่า ค่าใช้จ่าย รายบุคคล แต่ถ้าเป็นราคาเพียวๆ มาเลย นั่นคือราคารวมทุกคนแล้ว ซึ่งทริปนี้เราไปกัน 5 คน ก็จะขอรวมสรุปค่าใช้จ่ายเป็นหมวดหมู่ตอนท้ายที่เดียวตามตัวเลขด้านล่างนี้เลย
- ค่าเช่ารถ + บัตรทางด่วน 13,349 บาท
- ค่าน้ำมันทั้งทริป 3,286 บาท
- ค่าที่พักทั้งทริป 3 คืน 10,977 บาท
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 5 คน ไป-กลับ ทั้งหมด 68,990 บาท
- ค่าเช่าอุปกรณ์ Snowboard/Ski ราคา 6,093 บาท //พึ่งสังเกตุว่าค่าเช่าแพงสัส อิดอกกกก
- ค่า Life ขึ้นไปเล่นกิจกรรมหิมะ 2,646 บาท
- ค่ากินทั้งทริป 10,450 บาท