Backpack มอสโก – เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ด้วยเงิน 50,000 บาท
ตู้วหูววววว ไม่คิดว่าเวลาเพียง 5 วัน 4 คืน จะเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของสองเมืองนี้ได้ ให้ตายเถอะ เคยเห็นแต่รุ่นพี่แล้วก็ใครหลายๆ คนโพสต์รูปคู่กับปราสาทลูกอมที่มียอดอมชมพูหวานแหวว (มหาวิหารเซนต์เบซิล) ไม่คิดไม่ฝันว่าเราจะได้เอาเท้าทั้งสองข้างของเรามาแตะที่เมืองมอสโกได้เร็วขนาดนี้
การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางกับสายการบินไทยครับ ซึ่งมีเที่ยวบินตรงจาก สุวรรณภูมิไปยังกรุงโมสโกแบบไม่ต้องแวะพักที่ไหนเลย ใช้เวลาในการบินราวๆ 8 ชั่วโมง (บวกลบขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) ซึ่งการบินอย่างพรีเมียมและหย่อนก้นลงเบาะนั่งคูลๆ อย่างสายการบินสุดคลาสสิค Thai Airways ก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด เข้าไปที่หน้าเว็บ Thai Airways เพื่อ Booking Flight เจอตั๋วนั่งไปกลับเพียง 30,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าการนั่งชั้นประหยัดสุดพรีเมียมกับการบินไทย จะได้ราคาที่ถูกใจขนาดนี้ ซึ่งหลังจากที่เข้าไปหน้าเว็บไซต์ของทางสายการบิน เลือกช่วงเวลาที่เราเดินทางเสร็จเรียบร้อย หน้าเว็บจะทำการจัดแจงราคาเป็นตารางเปรียบเทียบวันเวลาการเดินทาง แล้ว Match ราคาให้เราเห็นกันไปเลยว่า เดินทางช่วงไหน วันไหน ถูกที่สุด อย่างช่วงไหนมี Promotion ก็จะมี Tag ติดฝั่งบนขวา เหมือนในรูปตัวอย่างด้านล่างครับ
ซึ่ง Thai Airways เค้าก็มีหลายเที่ยวบินด้วยกัน แต่สำหรับรูทบินตรงจากไทยไปมอสโกจะมีวันละสามถึงสี่เที่ยวบินครับ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปจองตั๋วบินได้ที่ Thai Airways โดยตรงอย่างง่ายๆ และสะดวกอีกด้วย
ขอต้อนรับสู่สายการบินเอื้องหลวง (การบินไทย) //เสียงพนักงานสายการบินฯ เส้นทางการบินรูทนี้ เป็นเส้นทางบินตรงระหว่างสุวรรณภูมิถึง Domodedovo International Airport โมสโก ใช้เวลาเดินทางเพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น สะดวกสบายตามมาตรฐานของสายการบินไทยที่ถูกการันตีไว้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก
เราบินด้วยเครื่องบินลำใหญ่ Boeing 777E – 200 ได้รับชื่อพระราชทานนามว่า “ปทุมวัน” ภายในเครื่องบินดูโอ่งอ่าง มีสามคอลัมน์ใหญ่ๆ ซ้าย กลาง ขวา คอลัมน์ละสามแถวตอน ภายในดูดีมีระดับ บริการประทับใจ เหมือนมีผู้ใหญ่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
นอกนั้นยังไม่พอ ภายในเครื่องยังมี In-flight Entertainment ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเพลง เกมส์ ภาพยนต์ ที่ทำให้เราได้ผ่อนคลายสำหรับการนั่งเครื่องบินนานๆ ณ จุดนี้ เรื่องไหนที่ค้างไว้ยังไม่ได้ดู ก็ถือโอกาสแงะออกมาดูกันบนเครื่องฆ่าเวลานี่แหละ บนเครื่องมีบริการอาหารให้สองรอบ รวมไปถึงเครื่องดื่มที่สามารถเรียกเติมได้ไม่อั้น
แต่ก็มีเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับตัวผมเองที่จะต้องบินนานๆ นั่นก็คือสั่งไวน์มาสักสองแก้ว ดื่มให้ตัวเองอีกที กับรักที่เพิ่งผ่าน พ้นไป //เพลงก็มา แล้วแกะผ้าห่มนอนไปอย่างคูลๆ ซะ ฮาๆๆ
ไม่นานนักเราก็เดินทางมาถึง Domodedovo International Airport โมสโกแล้ว อากาศที่นี่ในเช้าวันแรกของทริปนี้ มีฝนโปรยปรายบวกกับอากาศที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ที่ 11 องศา แม่จ๋าหนาวจัง เรื่องราวทั้งหมดข้างใต้นี้ เป็น How to สลับกับ Story ของผมนิดหน่อย ลองถามตัวเองว่ามีเวลาสักครึ่งชั่วโมงไหม… ถ้ามี scroll bar ลงมาเลย!!!
C H A P T E R 00
ข้อควรรู้ และการเตรียยมตัวเตรียมใจก่อนมา
1. ช่วงเวลาที่ควรมาและสภาพอากาศ
ประเทศรัสเซียมี 4 ฤดูคือ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ
ฤดูร้อน จะเริ่มประมาณเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม โดยจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15 องศา ในเดือนมิถุนายน สภาพอากาศจะเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในปี (ผมไปกลางเดือนกรกฎาคม) โดยมีอุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาซึ่งชาวรัสเซียจะถือว่าร้อนมากเพราะสภาพภูมิอากาศในประเทศรัสเซียจะมีความชื้นน้อยมาก ต้นไม้จะเริ่มเขียวขจีและชาวรัสเซียนิยมที่จะมาอาบแดดกัน และในเดือนสิงหาคม อากาศจะเริ่มลดลงเหลือที่ 15-20 องศา
ฤดูใบไม้ร่วง จะเริ่มในเดือนกันยายน – เดือนพฤศจิกายน โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10 องศา ในเดือนกันยายน น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งและจะมีฝนตกบ้างในบางวัน บ้านเมืองจะสวยงามเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง เมื่อต้องกับแสงแดดจะเป็นสีเหลืองทองอร่ามงามตา อุณหภูมิจะลดลงไปเรื่อยๆ จนถึง -5 องศาในเดือนพฤศจิกายนและจะมีหิมะตกบ้าง ซึ่งเป็นอีกช่วงที่น่าไปมากกกก > <
ฤดูหนาว จะเริ่มในเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ โดยมีอุณหภูมิประมาณ -10 องศาในเดือนธันวาคม หิมะจะเริ่มตกหนักในช่วงกลางเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ในเดือนกุมภาพันธ์จะมีอากาศหนาวที่สุดแห่งปี อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ -15 ถึง -30 องศา สภาพบ้านเมืองจะปกปิดไปด้วยหิมะทุกแห่ง การสัญจรไปมาค่อนข้างลำบาก เป็นช่วงที่ไม่แนะนำเท่าไหร่นะครับ
ฤดูใบไม้ผลิ จะเริ่มเดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคม โดยมีอุณหภูมิประมาณ 5 องศา ในเดือนมีนาคมน้ำแข็งที่ปกคลุมในตลอดฤดูหนาวจะเริ่มละลายและสภาพภูมิอากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้น แต่ต้องระวัง เนื่องจากสภาพถนนจะเปียกแฉะและสกปรกอาจทำให้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน และในเดือนพฤษภาคมจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15 องศาและเริ่มมีแดดส่องบ้างในบางวัน
2. ปลั๊ก และรูเสียบ
รัสเซียใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ เหมือนบ้านเราครับ แต่มีข้อแตกต่างตรงที่เครื่องไฟฟ้าทุกชนิดจะเป็นปลั๊กขากลม 2 ขาและเต้าเสียบจะเป็นรูกลม 2 รู ซึ่งขนาดของรูกลมและความกว้างระหว่างขาปลั๊กและรูเต้าเสียบจะเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทยแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทยบางประเภท ปลั๊กเสียบเป็นขาแบน 2 ขาฉะนั้นต้องเตรียมตัวดีๆ นะครับ
3. แลกเงิน สกุลเงิน และบัตรเครดิต สะดวกกว่า
รัสเซียใช้เงินสกุลรูเบิลครับ ซึ่ง 100 RUB มีค่าประมาณ 60 บาทไทย แนะนำให้แลกที่ Super Rich สีเขียวตรงสนามบินเลยครับ ได้เรทดีสุดๆ และควรแลกจากไทยไปครับ จะได้ไม่เป็นภาระตอนไปถึงที่นั่น สิ่งสุดท้ายและสำคัญสุดๆ ควรติดบัตรเครดิตไปด้วย เพราะจะทำให้อะไรหลายๆ อย่างง่ายขึ้น และหากเป็นบัตร ATM ก็ควรพกของ VISA ไป เพราะบัตร VISA สามารถกดเงินที่ไหนก็ได้ทั่วโลก แต่เป็นเงินในบัญชีธนาคารเรานะ ฮาๆๆ
4. โหลด Metro Map และการเดินทาง
ควรมีแผนที่ Subway ของที่นี่ครับ ถ้าคุณคิดว่าญี่ปุ่นวุ่นวายแล้ว ที่นี่วุ่นวายกว่าเยอะมาก ซึ่งแอพที่แนะนำก็จะเป็นตัวนี้ครับ App Metro Moscow and Metro St. Petersburg ซึ่งดูได้ทั้งสองเมืองเลย สำหรับที่ Download สามารถโหลดได้ตรงนี้เลย IOS และ Andriod
ซึ่งการเดินทางจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย คือเมืองสองเมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีรถไฟใต้ดินลึกเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยล่ะครับ แล้วรถไฟใต้ดินแต่ละสถานีก็สวยเกินงาม โดยเฉพาะสายวงในของ Moscow ที่ขอบอกว่าห้ามพลาด มันคือเส้นวงกลมสีน้ำตาล ตามรูปด้านล่างนี่เลยครับ
โดยการเดินทางแต่ละครั้งอยากให้เพื่อนๆ หาข้อมูลมาให้ดีๆ นะครับ ว่าแต่ละที่อยู่ตรงไหน สถานีอะไร เราก็ค่อยๆ มีสติ แล้วก็ลากเส้นจากจุด A ไปจุด B แล้วเดินไปทางเชื่อมของจุด B ไปจุด E จากนั้นขึ้นจุด E ไปจุด G อะไรแบบนั้นครับ คือให้ชื่อสถานีเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ แล้วเราก็ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ตามจุดที่เราตั้งไว้ แค่นี้ก็จะเดินทางไปถึงที่หมายอย่างง่ายได้ครับ
5. ศึกษาสถานที่ท่องเที่ยวมาเยอะๆ เพื่อความอิน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหลวงสองเมืองใหญ่เมืองนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโบสถ์ พระราชวัง วิหาร จะออกแนวชมสถาปัตยกรรม ระลึกถึงศาสนา และย้อนรำลึกประวัติศาสตร์เสียส่วนใหญ่ครับ เพราะฉะนั้น หากเพื่อนๆ เดินทางมาหวังจะมีกิจกรรมโลดโผน หรืออะไรก็ตามที่ Adventure ขอบอกเลยว่าเฟล เพราะฉะนั้นมาที่นี่ ให้เน้นแบบอยู่ให้เป็น ชุบตัวเป็น Russian ไปเลยตลอดทั้งทริป และศึกษาประวัติของสถานที่ต่างๆ ที่เราจะเดินทางไป จะทำให้การเดินทางครั้งนี้ฟินแบบโคตรๆ
อย่างเช่นมหาวิหารแห่งนี้ในรูปด้านบน ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) และด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมจึงทำให้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันว่า ซาร์อีวานที่ 4 ทรงพอพระทัยในความงดงามของมหาวิหารแห่งนี้มาก จึงมีคำสั่งให้ปูนบำเหน็จแก่สถาปนิกผู้ออกแบบด้วยการควักดวงตาทั้งสอง
ใช่ครับ ” ค วั ก ด ว ง ต า ทั้ ง ส อ ง ข้ า ง ”
เพื่อไม่ให้สถาปนิกผู้นั้นสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามกว่านี้ได้อีก และมหาวิหารแห่งนี้คือ “มหาวิหารเซนต์บาซิล” กรุงมอสโก รัสเซีย ที่ผมพึ่งเอาเท้าทั้งสองข้างไปเหยียบมาเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว บระเจ้าาาา!!! หากอยากดูภาพเต็มๆ โปรดจงเลื่อนลงมาเรื่อยๆ อ่ะ ไปต่อ!!!
6. ไม่เหมาะสำหรับการ walk in ควรจองโรงแรมก่อนมา
ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับ Backpacker แบบหวังไปตายเอาดาบหน้ามากเท่าไหร่ครับ เพราะมันเป็นเมืองที่ค่อนข้างคูลหน่อยๆ จะให้แบกเป้แล้วไปเดินเคาะตาม Hostel หรือสอบถามกับ Receptionist ตามโรงแรมมันก็คงจะไม่ใช่ เอาเป็นว่า ไปทริปนี้ทั้งทีก็ทำตัวให้ดูคูลเต็มที่ไปเลย จองโรงแรมมาก่อน จะได้สะดวก เพราะทริปแบบนี้ พร็อพมันต้องมีครับ ฮาๆ
7. ย่านโจรและขอทาน
ย่านโจรและขอทานสำหรับสองเมืองนี้ จริงๆ แล้วก็แทบจะทุกที่นะครับ แต่แปลกที่ขอทานบ้านเค้าทำไมดูดีจังวะ ๕๕๕๕ แต่ก็นั่นแหละครับ ซึ่งจากประสบการณ์ในครั้งนี้ของผม ผมโดนขอทานรุมที่สถานีรถไฟ Leningradsky สถานีที่จะเดินทางจาก Moscow ไป St.Petersburg และอีกสถานที่หนึ่งที่อันตรายในเมือง St.Petersburg นั่นคือย่าน Nevsky ครับ ผู้คนเยอะแบบเดินชนกัน จะโดนชนและฉุดเอาของไปนิก็ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ ยังไง Mark แดงๆ สองที่นี่ไว้ด้วย
8. บัตร Metro ของ Moscow และ St.Petersburg ที่ควรซื้อ
เรื่องบัตร Metro หรือ Subway นี่ควรค่ามากๆ ถ้าไม่รู้เรื่องนี้ถือว่าฟาวล์ตั้งแต่เริ่มเดินทางครับ เพราะถ้าจะให้ไปจ่ายเงินทุกครั้งที่จะขึ้นรถไฟก็คงไม่ใช่ เลยแนะนำแบบนี้ ทั้งสองเมืองจะมีบัตรเติมเงินครับ ซึ่งอย่างที่ Moscow จะเป็นบัตรสีฟ้า (ด้านบน) บัตรใบนี้ราคา 50 RUB ครับ จากนั้นจะเติมกี่บาทก็ได้ แต่ทุกครั้งที่เราขึ้นจะซื้อเพิ่มแค่ 35 RUB เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ซื้อบัตรสีฟ้า เราจะต้องจ่ายครั้งละ 55 RUB ครับ *** ที่สำคัญอยู่ตรงนี้ บัตรเดียว สามารถใช้ด้วยกันได้ทั้ง 10 คนเลย คือไปกี่คนก็สามารถใช้บัตรเดียวกันได้ *** เรียกว่าคุ้มค่าสุดๆ
มาดูบัตรของเมือง St.Petersburg ของเมืองนี้จะเป็นบัตรขาวเขียว ราคา 60 RUB จะบังคับให้ซื้อเหมา 10 เที่ยว ราคา 300++ RUB (จำไม่ได้) และที่สำคัญคือ ใช้ได้แค่คนละใบเท่านั้น ไม่เหมือนกับที่เมือง Moscow ครับ
9. ตู้ Locker ฝากกระเป๋า หรือ Clock Room
Clock Room ที่นี่ จะอยู่ตามสถานีที่เดินทางแบบ Long Distance หรือเดินทางเข้าสนามบินครับ คือไม่ได้มีทุกสถานีเหมือนที่ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น หากใครจำเป็นจะต้องเดินทางไปอีกเมืองแต่ต้องเที่ยวตอนเช้าก่อน ก็เหมาะสมที่สุดที่จะฝากของไว้ที่นี่ ซึ่งราคาต่อตู้จะอยู่ที่ 190 RUB เท่านั้น ฝากได้ 24 ชั่วโมงยาวๆ เลยซึ่งเราก็ฝากไม่ถึงหรอก
ซึ่งก็มีทั้งแบบหยอดเหรียญ กับแบบฝากพนักงาน ในราคา 190 RUB ที่ผมแจ้งไป เป็นแบบฝากพนักงานครับ ไม่มั่นใจว่าแบบ Locker จะมีค่าใช้จ่ายเท่ากันไหม แต่เอาเป็นว่า สะอาด ปลอดภัย สะดวก แล้วก็ประหยัดแรงสุดๆ
10. การเดินทางระหว่างเมือง Moscow – St.Petersburg
การเดินทางระหว่างสองเมืองใหญ่ Moscow – St.Petersburg นั้น หลักๆ มีสองวิธีครับ คือบิน กับรถไฟ แต่เมื่อเปรียบเทียบราคาและเวลาแล้ว เราแนะนำให้ไปรถไฟครับคุ้มกว่า เพราะนอกจากราคาจะไม่ถูกไม่แพงต่างกันแล้ว ยังประหยัดเวลาในการเดินทางของเราได้อีกด้วย ในที่นี้หมายถึงเวลาที่เสียไปโดยใช่เหตุ นั่นคือการเดินทางไปสนามบิน การเช็คอิน และยังไม่รวมเครื่องดีเลย์ แต่ถ้ารถไฟน่ะหรอ ยาวๆ เลยครับ ไปถึงขึ้นเลย จองรอบดึก ได้นอนไปยาวๆ ประหยัดค่าที่พักไปอีกแบบสองต่อ
ในรถไฟก็จะมีส้วม อ่างล่างหน้า ที่นอน อาหารให้ครับ ภายในสะอาด ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นเลย คล้ายๆ กับ รฟท.ตัวใหม่บ้านเรา แต่อาจจะเก่ากว่านิดหน่อยจากการใช้งาน นั่งไปยาวๆ ครับ ใช้เวลาเดินทาง 7-8 ชั่วโมง ก็กะเวลาขึ้นเวลาลงกันดีๆ แล้วกัน ส่วนสถานีที่จะขึ้นจาก Moscow นั่นคือสถานี Leningradsky ครับ ส่วนจะไปลงปลายทางที่ไหน ก็เลือกเอาเลย แต่คนส่วนใหญ่จะลงสถานี Ploshchad Vosstaniya กันครับ ค่ารถไฟเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,000 RUB
11. เอกสารและสิ่งจำเป็นอื่นๆ
สิ่งของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็นพาสปอร์ตครับ และโชคดีที่รัสเซียสำหรับประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า เพราะฉะนั้นพกเพียงแค่พาสปอร์ตมาเล่มเดียว ก็สามารถเดินทางเข้าออกรัสเซียได้อย่างสบายใจ และที่ขาดไม่ได้สำหรับการท่องเที่ยวก็คงจะเป็นกล้องดีๆ สักตัว เพื่อเก็บบันทึกความทรงจำของเราครับ ครั้งนี้ผมใช้ Canon EOS 77D ตัวใหม่ของ Canon เป็น Main หลัก เพราะมีขนาด Body บางกว่า Canon EOS 70D ที่เอาไปด้วยอีกตัว ถึงแม้จะเป็นรุ่นน้องแต่ยังมีคุณสมบัติเทพๆ ติดตัวกล้องมาเพียบไม่แพ้รุ่นพี่ครับ ส่วนเลนส์ ก็จะมี Canon EF-S 18-135 mm f/3.5-5.6 IS STM แล้วก็เลนส์ wide อีกตัวคือ Canon EF-S 10-22 mm f/3.5-4.5 USM เรียกได้ว่า เก็บช่วงความประทับใจได้ทุก Moment เลยล่ะ ซึ่งสำหรับทริปนี้ ภาพทุกภาพไม่มีการแต่งแต้มเติมสีใดๆ เพิ่มเติม จบมาจากหลังกล้องทุกใบ 100%
12. การติดต่อสื่อสารและอินเตอร์เน็ต
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากขาดอุปกรณ์สื่อสารที่ไร้อินเตอร์เน็ต ก็คงจะทำให้การเดินทางลำบากมากขึ้น ในการหาข้อมูลหน้างาน จองโรงแรม จองร้านอาหาร เช็คข้อมูลข่าวสาร บลาๆ ทุกอย่างมันจำเป็นครับ ทีนี้ผมขอแนะนำแบบนี้ ให้เราพกมือถือไปเครื่องหนึ่ง เพื่อที่จะเอาไปใส่ Sim Internet ที่นู่น โดย Sim Internet ก็สามารถหาได้ทั่วไปครับ แต่ที่สนามบินจะแพงกว่าปกตินิดหน่อย อย่างของเราตัวนี้ ใช้ของ MTC 4G 10 GB ราคารวมซิม 600 RUB คืออยู่ 5 วันใช้ยังไงก็ไม่หมดครับ 10 GB เลยซื้อมาซิมเดียวแล้ว Share Hotspot กัน เรียกได้ว่าคุ้มค่ามากๆ เน็ตแรงด้วยนะ ไม่ใช่ไม่แรง ที่สำคัญก่อนซื้อ ควรถามเค้าด้วยว่า สามารถเล่นได้ทั้งสองเมืองเลยใช่มั้ย อย่าลืม Make sure เรื่องนี้
13. เครื่องพริ้นท์รูปสาธารณะ
สำหรับเมืองท่องเที่ยวสองเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นมอสโกหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อนๆ ลองสังเกตุดูนะครับ ว่ามีตู้พริ้นท์รูปฟรีบริการหรือเปล่า คือขั้นตอนง่ายมากๆ ครับ ตู้นี้เรียกว่า Boft ใช้งานโดยการต่อ wifi หรือ Bluetooth เชื่อมบัญชี instagram แล้วสั่งพริ้นท์รูปฟรีผ่านตู้เลย เพียงแค่ทำตามที่เงื่อนไขบอกเท่านั้น ยังไงลองดูครับ
C H A P T E R 01
สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำในแต่ละเมือง
ต้องบอกก่อนว่า ถ้าจะให้เราหาวิธีเดินทางแต่ละที่จากที่นั่นไปที่นี่ ก็คงจะใช้ไม่ได้กับทุกคน เพราะแต่ละคนวางแผนการท่องเที่ยวไม่เหมือนกัน บางคนอาจไป Vostok Rocket ก่อน แล้วค่อยไปปราสาทลูกอมทีหลัง บางคนอาจจะไป Red Square ก่อน แล้วไป boshoi Thatre ต่ออะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็จะตัดปัญหาโดยการ ไม่บอกวิธีการไปครับ และคิดว่าหลังจากที่เพื่อนๆ อ่านวิธีการเดินทางและโหลดแอพแผนที่ Metro ไปแล้ว ก็คงจะช่วยในการเดินทางได้อีกเยอะเลย จะให้ไว้แต่ว่าสถานีนี้ ลงสถานนี้ไหน แค่นั้น แต่ส่วนบางที่ที่มันต้องต่อรถตู้ออกไปนอกเมือง เดี๋ยวอันนั้นมีบอกแน่นอนครับ
MOSCOW
มอสโก เป็นเมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน การศึกษา และการเดินทางของประเทศ โดยตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำมัสกวา ซึ่งในตัวเมืองมีประชากรอยู่อาศัยกว่า 1 ใน 10 ของประเทศ ทำให้เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในยุโรปและเมื่อสมัยครั้งที่สหภาพโซเวียตยังไม่ล่มสลาย กรุงมอสโกก็ยังเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียตอีกด้วย ซึ่งนั่นแหละ เลยทำให้มอสโกมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ให้เพื่อนๆ ได้มาศึกษาเพียบเลย มาเริ่มกันเลยดีกว่า!!!
Monument to the conquerors of space
ที่แรกสำหรับเมืองมอสโกที่เราจะแนะนำคือ Monument to the conquerors of space ครับ ซึ่ง Monument to the conquerors of space ตั้งตระหง่านเหนือท้องฟ้ากรุงมอสโกในรูปลักษณ์ที่น่าประทับใจ อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อฉลองความสำเร็จของนักบินอวกาศยูริ การ์การินในการโคจรรอบโลกเมื่อปี 1961 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ออกไปอวกาศรอบนอกและนำมาซึ่งชัยชนะครั้งใหญ่ของรัสเซีย ผู้นำโซเวียตตั้งใจที่จะตอกย้ำความสำเร็จของตนเองมากถึงขนาดวางแผนสร้างอนุสาวรีย์ล่วงหน้าถึง 3 ปีก่อนที่การ์การินจะออกจากโลก ภายในพิพิธภัณฑ์ ดำดิ่งลงสู่เรื่องราวการผจญภัยทางอวกาศของรัสเซีย
ประติมากรรมอันยิ่งใหญ่ที่สูง 100 เมตรนี้เป็นรูปกระสวยอวกาศที่ยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า อนุสาวรีย์นี้สร้างโดยสถาปนิก A.N. Kolchin และ M.O. Barsch ลองมองหาอนุสาวรีย์ขณะที่ยังมาไม่ถึง คุณน่าจะเห็นได้จากระยะไกลเพราะประติมากรรมนี้ทะยานสูงเหนือต้นไม้และอาคารที่อยู่รอบๆ สังเกตว่าส่วนใหญ่ของประติมากรรมนี้เป็นส่วนของควันที่ออกมาจากจรวด ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายานพาหนะเหล่านี้ทรงพลังมากเพียงใด
ถนนคนเดินอารบัต
ถนนนี้ปรากฏมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ในประวัติเมืองมอสโก บันทึกว่าเคยเกิดเพลิงไหม้ครั้งหนึ่งเมื่อปี 1493 ในสมัยศตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยกษัตริย์อีวานจอมโหด ถนนสายนี้เป็นที่อยู่อาศัยของตำรวจลับ ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 17 เป็นที่อยู่ของชนชั้นขุนนาง และศิลปินที่มีผู้อุปถัมภ์ พอมาถึงศตวรรษที่ 20 มีการสร้างตึก 2 ชั้นและ 3 ชั้นดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน ปี 1917 ตึกเหล่านี้ใช้เป็นอพาร์ทเมนท์ที่อยู่ร่วมกันหลายครอบครัวของชนชั้นกรรมกร แต่พอมาถึงสมัยสหภาพโซเวียต ถนนอารบัตก็กลายมาเป็นย่านที่พักของชนชั้นใหม่ นั่นก็คือ สมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ และประมาณปี 1985 ถนนอารบัตได้กลายเป็นถนนคนเดิน ซึ่งต่อมาก็เป็นถนนที่ใครๆ ก็รู้จัก และคึกคักที่สุด เพราะเป็นแหล่งชุมนุมศิลปิน จิตรกร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ศูนย์วัฒนธรรม โรงละคร เป็นต้น
ซึ่งถนนสายนี้ จะคึกคักมากในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ จะมีของขายเก๋ๆ ของกินอร่อยๆ นักดนตรีเปิดหมวก รวมถึงผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศมาเดินกันให้พล่านในถนนสายนี้ เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ห้ามพลาด แต่เสียดายที่เรามีเวลาน้อย จึงใช้เวลาอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน และเป็นตอนค่ำเสียแล้วด้วย : )
พระราชวังเครมลิน (Большой Кремлёвский дворец)
พระราชวังเครมลินก่อสร้างระหว่าง ค.ศ. 1837 ถึง 1849 ในมอสโก ประเทศรัสเซีย บนที่ดินกรรมสิทธิ์ของแกรนด์ปรินซ์ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 บนเนินโบโรวิตสกี ออกแบบโดยทีมสถาปนิกภายใต้การบริหารจัดการของคอนสแตนติน ธอน พระราชวังเครมลินมีเจตนาที่จะตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของระบอบอัตตาธิปไตยรัสเซีย คอนสแตนติน ธอนยังเป็นสถาปนิกของเครมลินอาร์มรี และมหาวิหารพระคริสต์ผู้ไถ่
พระราชวังเครมลินเดิมเคยเป็นพระตำนักของซาร์ในมอสโก การก่อสร้างพระราชวังรวมไปถึงขั้นตอนการระเบิด อดีตพระราชวังสถาปัตยกรรมบาโรกในบริเวณดังกล่าว ซึ่งออกแบบโดยรัสเตรลลี และคริสตจักรนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ ซึ่งก่อสร้างขึ้นตามโครงการของอโลอีซิโอเดอะนิวแทนที่โบสถ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นในมอสโกอีกด้วย
ภายในพระราชวัง แห่งนี้ประกอบด้วยปราสาท โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์ คลังแสง อาวุธยุทธภัณฑ์ หอคอย ป้อมปราการ หอสูง ยอดแหลม และโดมมากมาย มีกำแพงสูง 65 ฟุตรอบพระราชวัง มีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร พระราชวังจักรพรรดิอยู่ตรงกลาง หอคอยอิวานเวลิกี้สูง 270 ฟุต เป็นที่แขวนระฆัง ของพระเจ้าโบริสดูนอฟ ผู้อยู่บนหอคอย จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพ กรุงมอสโก ที่สวยงาม ได้อย่างชัดเจน บรรดาหอคอย หอสูง โดม ป้อมปราการเหล่านี้ เมื่อแสงพระอาทิตย์สาดมาต้อง จะเห็นเป็นสีทอง เปล่งปลั่ง สุกอร่าม งามตื่นตาตื่นใจสุดๆ
ซึ่งสิ่งสำคัญในพระราชวังแห่งนี้คือประตูโปรดชำระบาป ซึ่งพระเจ้าซาร์อะเล็กซิส โปรดให้สร้างเมื่อปีค.ศ. 1491 โปรดให้ติดโคมใหญ่ไว้บนยอดดวงหนึ่งประตูนี้เคยมีพระบรมราชโองการรับสั่งให้ผู้ผ่านเข้าออกต้องถอดหมวก แสดงความเคารพ ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกจับประหารชีวิต ถัดไปไม่ไกลมีมหาวิหารอัครเทวทูตซึ่งมีที่ตกแต่งไว้อย่างงดงาม เพื่อใช้เป็นสุสานฝังพระศพของพระเจ้าซาร์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์อัสสัมชัญซึ่งสร้างไว้อย่างประณีตบรรจงเป็นพิเศษอีกด้วย
ระฆังพระเจ้าซาร์สร้างขึ้นในสมัยพระนางแอนนา ทรงประสงค์จะสร้างระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อนำไปติดบนหอระฆัง แต่เกิดความผิดพลาดระหว่างการหล่อทำให้ระฆังแตก
Boshoi Theatre
โรงละครบอลชอย (Большой театр) เป็นโรงละครบัลเล่ต์ และโอเปร่า ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ที่กรุงมอสโก ของรัสเซีย เปิดการแสดงเฉพาะบัลเล่ต์ และโอเปร่าเท่านั้น ซึ่งการวางรากฐานของโรงละครบอลชอยเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1776 ภายใต้การมอบหมายโดยสมเด็จพระราชินีเยคาเทอริน่า มหาราชินี เจ้าชาย ปโยตร์ อูรุสนอฟ จัดตั้งคณะละครขึ้นโดยการสนับสนุนทางด้านการเงินจากนาย ไมเคิล แม็ดด็อกซ์ ชาวอังกฤษ ในเบื้องต้นคณะละครนี้จะไปเปิดการแสดงตามบ้านเรือนคหบดี และในปี 1780 คณะละครได้เข้าซื้อโรงละคร เปตรอฟก้า และเริ่มผลิตละครและโอเปร่าเป็นของตัวเอง
ปี ค.ศ. 1805 โรงละครเปตรอฟก้าถูกไฟไหม้และเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ โดยขณะนั้นแมดด็อกซ์หมดเงินทุน สิทธิในโรงละครจึงถูกโอนมาเป็นของรัฐ และต่อมาก็ตกเป็นของมอสโกไปโดยปริยาย
จัตุรัสแดง (Красная площадь, Krásnaya plóshchad) เป็นจัตุรัสกลางเมืองของของกรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย จัตุรัสแดงมีขนาดกว้าง 70 เมตร ยาว 695 เมตร มีขนาดพื้นที่รวม 23,100 ตารางเมตร ถือได้ว่าเป็นจัตุรัสกลางกรุงมอสโกและทั้งประเทศรัสเซียเพราะถนนสายสำคัญทุกสายของกรุงมอสโกจะวิ่งตรงออกจากจัตุรัสแดงแห่งนี้ นอกจากนี้ จัตุรัสแดงยังเป็นสถานที่ตั้งของมหาวิหารเซนต์เบซิล และสุสานวลาดิมีร์ เลนินอีกด้วย ชื่อจัตุรัสแดงมักเข้าใจผิดว่า คำว่า “แดง” ในชื่อจัตุรัส มาจากสีของคอมมิวนิสต์ หรือสีของอิฐในบริเวณนั้นที่เป็นสีแดง แต่แท้จริงแล้วชื่อจัตุรัสแดง มาจากภาษารัสเซียคำว่า красный (krásnyj) ซึ่งในภาษารัสเซียดั้งเดิมมีความหมายว่า สวยงาม ในขณะที่ภาษารัสเซียสมัยใหม่ แปลว่าสีแดง
การสร้างจัตุรัสแดงนี้มีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยของพระราชวังเครมลินโดยการสร้างพื้นที่นอกกำแพงวังสำหรับใช้ยิงเพราะตำแหน่งที่จัตุรัสแดงตั้งอยู่นั้นขาดแนวป้องกันทางธรรมชาติ โดยพื้นที่ของจัตุรัสแดงในสมัยนั้นถือเป็นศูนย์กลางของการค้าขาย ต่อมาในสมัยของพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 มหาวิหารเซนต์เบซิล มหาวิหารที่ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของจัตุรัสแดงในปัจจุบันก็ได้ถูกสร้างขึ้น หลังจากนั้นจัตุรัสแดงก็ถูกปรับปรุงพื้นที่เรื่อยมา จนกระทั่งหลังจากการรุกรานของฝรั่งเศสโดยนโปเลียน มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น อาคารบางหลังและสิ่งปลูกสร้างสำหรับการค้าขายซึ่งถูกไฟไหม้ได้ถูกรื้อถอนออกและมีการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นแทน อาทิเช่น รถราง การประดับด้วยโคมไฟ ห้างสรรพสินค้า GUM เป็นต้น
ซึ่งการนำเพลง “ผู้สาวขาเลาะ” ไปเปิดฟังกลางจตุรัสแดง ก็ดูคูลไม่น้อยเหมือนกัน ฮาๆๆ กลับมาต่อดีกว่า โดยสมัยสหภาพโซเวียต จัตุรัสแดงใช้เป็นที่สำหรับการเดินสวนสนามแสดงแสนยานุภาพทางทหาร โดยจะมีการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารสำหรับวันเมย์เดย์, วันแห่งชัยชนะ และการปฏิวัติเดือนตุลาคม การเดินขบวนสวนสนามที่เด่น ๆ มีอยู่ 2 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมหาสงครามรักชาติ คือ การเดินขบวนในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งในเวลานั้น สหภาพโซเวียตกำลังถูกรุกรานโดยนาซีเยอรมนี ทหารที่มาเดินขบวนนั้น หลังเสร็จสิ้นการเดินขบวนก็ถูกส่งตรงจากจัตุรัสแดงไปแนวหน้าทันที และ อีกครั้งคือการเดินขบวนใน ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นการเดินฉลองชัยชนะหลังจากที่นาซีเยอรมนียอมแพ้ต่อสหภาพโซเวียตแล้ว
ในปัจจุบัน จัตุรัสแดงถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการจัดแสดงของศิลปินและวงดนตรีชื่อดังหลายกลุ่มเช่น ชากีรา วงสกอร์เปียนส์ พอล แม็กคาร์ตนีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 รัสเซียได้ประกาศว่าจะกลับมาเดินขบวนอีกครั้งและในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ก็ได้มีการเดินขบวนเป็นครั้งแรกหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ล่าสุดในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 ในโอกาสครบรอบ 65 ปีของการยอมรับความพ่ายแพ้ของเยอรมนี กองทหารจากฝรั่งเศส โปแลนด์ และสหราชอาณาจักรได้ร่วมกันเดินสวนสนามในวันแห่งชัยชนะที่มอสโกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
GUM Department Store
Gum Department Store เป็นอีกห้างสรรพสินค้าหนึ่งที่เรียกได้ว่าเก่าแก่สุดๆ เป็นอันดับต้นๆ ของกรุงมอสโก ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ บวกกับตั้งอยู่ในสถานที่สำคัญๆ หลายจุด จึงทำให้ห้างสรรพสินค้าตรงนี้กลายเป็นจุด Shopping ที่มีคนพลุกพล่านมากกก และที่สำคัญหากเข้าไปแล้ว อย่าลืมหยิบไอติมกินสักโคนนะครับ
มหาวิหารเซนต์บาซิล (Saint Basil’s Cathedral | Собор Василия Блаженного)
มหาวิหารเซนต์บาซิลเป็นอาสนวิหารของศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ตั้งอยู่ที่จัตุรัสแดง กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย สร้างโดยซาร์อีวานที่ 4 แห่งรัสเซีย หรือซาร์อีวานจอมโหด เพื่อฉลองชัยชนะเหนือพวกมองโกลที่กรีธาทัพมาเมืองคาซาน เมื่อปี ค.ศ. 1552 ผลจากชัยชนะครั้งนี้ทำให้รัสเซียสามารถรวมชาติได้เป็นปึกแผ่น จึงสร้างมหาวิหารแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1555
มหาวิหารเซนต์บาซิลมีรูปทรงที่ไม่เหมือนโบสถ์อื่น คือมีโดม 8 โดมล้อมรอบโดมที่ 9 ที่อยู่ตรงกลาง ทำให้อาคารมีรูปทรงแปดเหลี่ยม ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียโบราณอันได้รับอิทธิพลมาจากไบแซนไทน์ที่เป็นโดมทรงหัวหอมกับสถาปัตยกรรมที่เรียกกันว่ารัสเซียนกอธิก หอคอยสูงรูปกระโจมเป็นอิทธิพลจากยุโรปตะวันตก ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นหอคอยสูงรูปแท่งเทียนกำลังลุกไหม้บนปลายลำเทียน ส่งความโชติช่วงชัชวาลย์เป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าบนสวรรค์
มหาวิหารนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) และด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมจึงทำให้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันว่า ซาร์อีวานที่ 4 ทรงพอพระทัยในความงดงามของมหาวิหารแห่งนี้มาก จึงมีคำสั่งให้ปูนบำเหน็จแก่สถาปนิกผู้ออกแบบด้วยการควักดวงตาทั้งสอง เพื่อไม่ให้สถาปนิกผู้นั้นสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามกว่านี้ได้อีก การกระทำในครั้งนั้นของพระเจ้าอีวานที่ 4 จึงเป็นที่มาของสมญานามอีวานผู้โหดร้าย (Ivan The Terrible) บริเวณใกล้กันกับมหาวิหารเซนต์เบซิลขนาบข้างด้วยกำแพงเครมลิน เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานเลนินหรือสุสานเลนิน ซึ่งเก็บรักษาร่างของวลาดีมีร์ เลนิน ผู้นำคนสำคัญของคอมมิวนิสต์ และเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปเคารพศพได้ ดูจากประวัติแล้ว พีคสุดๆ ไปเลย ไปดูบรรยากาศข้างในกันดีกว่า ว่าสวยงามเพียงใด
สองภาพข้างบนเป็นบางส่วนที่ถ่ายมาได้เท่านั้น เพราะภายในมหาวิหารเซ็นต์บาซิล ไม่อนุญาตให้ใช้กล้องถ่ายรูปครับ ยังไงไปมอสโกก็ต้องเข้าไปในนี้นะครับ ครั้งหนึ่งในชีวิต
ตลาดอิซเมโลฟสกายา Izmailovsky Souvenir Market
มาเที่ยวแดนไกลถึงมอสโก ประเทศรัสเซียทั้งที อย่าพลาด Izmailovsky Souvenir Market ตลาดของฝากและของที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุดในมอสโกครับ มีของขายมากมายและหลากหลาย แถมราคาไม่แพงอีกด้วย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ผ้าพันคอ นาฬิกา ภาพวาด ของชำร่วย หรือเมื่อเดินช็อปเหนื่อยๆหิวๆ ก็มีของกินขายทำกันสดๆร้อนๆ เลยล่ะ
และที่นี่ขึ้นชื่อด้านงานศิลปะหัตถกรรม คือ ตุ๊กตาแม่ลูกดก เป็นตุ๊กตาไม้เขียนลวดลายสวยงามและซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีตั้งแต่จากตัวใหญ่ไปตัวเล็ก จนถึงเล็กจิ๋วววววเลย น่ารักมากๆ หมวกขนสัตว์และผ้าพันคอขนสัตว์ก็เป็นที่นิยม หยิบขึ้นมาดูส่วนใหญ่มาจากมองโกเลีย มีให้เลือกหลายแบบ หลายสี เลือกกันได้ตามใจชอบเลย เชื่อว่าซื้อของฝากหรือของที่ระลึกจากนี่ที่ไป จะถูกใจผู้รับอย่างแน่นอน ฮาๆ
พระราชวังซาริซิน่า Tsaritsino Palace
พระราชวังซาริซิน่า เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลย เป็นพระราชวังฤดูร้อนของพระนางแคทเธอรีน และเป็นพระราชวังเพียงแห่งเดียวในกรุงมอสโก สร้างตั้งแต่ปี 1775 แต่ไม่เสร็จ เนื่องจากงบประมาณไม่พอ จนกระทั่งหลายร้อยปีถัดมา รัฐบาลได้ดำเนินการสร้างต่อจนเสร็จในปี 2007 สถาปัตยกรรมภายนอก มีความสวยงามและใหญ่โต มีสวนสาธารณะด้านหน้าที่กว้างขวางและร่มรื่น ส่วนภายในโดยเฉพาะในส่วนของ Grand Palace มีการตกแต่งอย่างหรูหรา ด้วยสีทองและสีขาว
เอาล่ะ เชื่อว่าเพื่อนๆ คงเต็มอิ่มกับ มอสโก ไปไม่มากก็น้อย ยังไงขอย้ำอีกทีนะครับว่า หากมาเที่ยวเมืองแบบนี้ เราจะต้องทำความรู้จักกับประวัติของแต่ละสถานที่ให้มากๆ เพื่อให้การท่องเที่ยวของเรามันอินยิ่งขึ้น แล้วระหว่างทางของการเดินทางแต่ละที่ที่ย้ายไป หรือการทานอาหาร บรรยากาศตรงนั้นเป็นอีกเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองนี้ครับ แต่หากจะเอามานำเสนอก็คงจะเกลื่อนเกินไป เอาเป็นว่ากระทู้นี้ ขอเอาแน่เนื้อๆ ให้เพื่อนๆ เลยแล้วกัน
เสร็จจากมอสโกก็ถึงเวลาที่จะต้องย้ายเมืองไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้วครับ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ของเรา เราเดินทางด้วยรถไฟข้ามเมืองครับ มาขึ้นที่สถานี Leningradsky เวลาราวๆ ห้าทุ่ม เดินทางราวๆ 8 ชั่วโมงก็ถึงครับ และนี่เป็นบรรยากาศขณะที่นั่งรถไฟตีตั๋วจากมอสโกไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ก่อนที่จะเดินทางไปถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อนๆ คงจะได้เห็นภาพหลายๆ ภาพที่ถ่ายทอดมาจาก Canon EOS 77D กันบ้างแล้วใช่ไหม เป็นยังไงกันบ้าง โทนสีของภาพ ความชัด และภาพรวมต่างๆ ของกล้อง บวกกับมุมมองของผมที่สื่อออกมา มันสามารถเล่าเรื่องภายในภาพเดียวโดยไม่ต้องบอกอะไรได้อย่างสมบูรณ์หรือเปล่า ฮาๆๆ
ขอใช้เวลาอีกไม่กี่นาทีก่อนจะถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กตรงนี้ พูดถึงเรื่องกล้อง Canon EOS 77D หน่อยแล้วกัน ภายนอกดูเบาและบางกว่า DSLR ทั่วไป จอสามารถหมุนพับออกมาได้ สะดวกเวลาถ่ายภาพมุมพิสดารแปลกๆ มี wifi สั่งถ่าย และอัพโหลดรูปเข้าโทรศัพท์ได้ทันที พร้อมมีระบบ บลูทูธและถ่าย vdo ได้ทั้ง Time-Lapse
ซึ่งสเปคทั่วไปของกล้อง Canon EOS 77D ก็จะมี
– ระบบโฟกัส Dual Pixel CMOS AF
– ระบบเซนเซอร์ขนาดความละเอียดสูงถึง 24.2 ล้านพิกเซล
– หน่วยประมวลผลภาพ DIGIC 7
– จุดออโต้โฟกัส 45 จุด
– ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง 6 ภาพ ต่อ 1 วินาที
– ความไวแสง (ISO) เริ่มต้นตั้งแต่ 100 – 25600
– ความละเอียดวีดีโอ Full HD 1080 / 60 เฟรม
– ขนาดจอ LED 3 นิ้ว แบบสัมผัสได้ จอพับได้
– การเชื่อมต่อไร้สายที่มี NFC และ Bluetooth LE
– ขนาดตัวกล้อง 131x100x76 มม.
– น้ำหนัก 540 กรัม
สเปคที่โชว์ขึ้นมาขนาดนี้ ผมว่ามันเป็น DSLR อีกตัวหนึ่งของโลก ที่ร้ายกาจไม่เบา แต่เนื่องด้วยความที่ว่าทริปนี้ ผมไม่มีเวลามานั่งตั้งค่า ปรับแสง หรือเอาขาตั้งมาตั้งถ่ายแบบใช้เวลานานๆ ด้วยข้อจำกัดของเวลาและสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงความพร้อม ทริปนี้ผมเลยปรับโหมด Auto ถ่ายภาพทุกภาพเก็บมาให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน
จากการใช้งานจริงผมชอบนะ กล้องตัวนี้มีปุ่มเปิด wifi สำหรับการควบคุมหรือถ่ายโอนภาพแยกออกมา ทำให้ง่ายและประหยัดเวลามากขึ้น และที่พีคสุดๆ คือตัวโฟกัส ตัวโฟกัสมีอยู่ 45 จุด แล้วทุกครั้งที่เราถ่ายภาพ อย่างที่บอกว่าปรับโหมด Auto ตลอด จึงทำให้เห็นความสามารถของ Auto Focus ไปเต็มๆ โฟกัสสามารถจับจุดที่สำคัญได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ภาพดูมีการเล่าเรื่องราว เน้นความสำคัญของบุคคลหรือวัตถุที่อยากเล่าเรื่อง แต่หากครั้งไหนที่เราต้องการเน้นบางจุดแบบตั้งใจ ก็แค่เอามือไปทัชบริเวณจุดนั้น ผ่านจอ LDC ด้านหลังที่มีมาให้อย่างง่ายได้ นั่นและครับ ภาพทุกภาพของผมในทริปนี้
ไม่ช้าไม่ทันไร เราก็เดินทางมาถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอย่างปลอดภัย ทำไมรู้สึกว่ามันจะมีความคลาสสิคอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้ มองไปข้างนอก เห็นต้นไม้ของเมืองนี้ ก็รู้สึกคูลอย่างบอกไม่ถูก ฮาๆๆ เอาล่ะ ยินดีต้อนรับสู่ ” เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ” ครับ
SAINT PETERSBURG
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองท่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสหพันธรัฐรัสเซีย ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเนวา ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กสร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช เมื่อ พ.ศ. 2246 เป็นเมืองที่มีความนุ่มละมุนของตึกรามบ้านช่อง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม หรือแม้กระทั่งผู้คนที่นั่นก็ดูสง่า เป็นเมืองที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มเก็บสถานที่แรกของเมืองนี้กันเลยดีกว่า ตามมาครับ…
พระราชวังเปเตียร์กอฟ หรือ พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Петерго́ф)
เป็นพระราชวังในเทศบาลเปเตียร์กอฟ ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของประเทศรัสเซีย สร้างขึ้นตามบัญชาของซาร์ปีเตอร์มหาราช ภายในพระราชวังประกอบด้วยพระที่นั่งหลายองค์และอุทยานหลายแห่ง ตกแต่งสถาปัตยกรรมบาโรก ด้วยความงดงามของมันทำให้มีสมญาว่าเป็น “วังแวร์ซายแห่งรัสเซีย” พระราชวังแห่งนี้และบริเวณใจกลางเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ความโดดเด่นของพระราชวัง ที่ใช้เป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนของพระเจ้าซาร์ เริ่มมาตั้งแต่ที่ตั้ง ที่เป็นเนินสูง 16 เมตร ห่างจากเขตฝั่งทะเลแค่ไม่ถึง 100 เมตร สวนตอนล่าง หรือ นิชนึย สาด เป็นส่วนสำคัญที่สุด และสวยงามที่สุดของพระราชวัง สวนมีพื้นที่ 1.02 ตารางกิโลเมตร ที่นี่เป็นที่ตั้งของน้ำพุมากมาย รวมถึงน้ำพุที่ดีและสวยที่สุด รวมถึงพระตำหนัก และสวนอีกมากมาย
ความโดดเด่นอีกอย่างของพระราชวังแห่งนี้ที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือน้ำพุทั้งหมดของที่นี่ ไม่มีการใช้ปั้มในการสูบฉีดน้ำ น้ำที่นี่มาจากตาน้ำธรรมชาติ และเก็บไว้ในบ่อเก็บที่สวนตอนบน จากนั้น ด้วยหลักการการยกระดับที่ช่วยเพิ่มแรงดันน้ำ ก็ทำให้น้ำสามารถพุ่งขึ้นไปได้ สำหรับน้ำพุแซมซัน ที่พุ่งได้ไกลถึง 20 เมตรนั้น ต้องใช้ระบบท่อพิเศษที่ยาวถึง 4 กิโลเมตรในการสร้างแรงดันน้ำ เรียกได้ว่าสมควรเป็นมรดกโลกสุดๆ ครับ
พระราชวังแคทเธอรีน CATHERINE PALACE
เป็นพระราชวังที่งดงามและล้ำค่าแห่งนี้อยู่ที่เมือง Pushkin ห่างจากตัวเมือง St.Petersburg ประมาณ 25 กม. ก่อสร้างขึ้นในปี คส. 1717 โดยพระนางแคทเธอรีนที่ 1 พระมเหสีองค์โปรดของปีเตอร์มหาราช ซึ่งได้ครองราชย์หลังจากสวรรคต จึงสร้างวังแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อน โดยสถาปนิกชาวเยอรมัน ในสไตล์สถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค ซึ่งพระราชวังก็ถูกต่อเติม และตกแต่งใหม่มาหลายยุคหลายสมัย ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดว่ากันว่า ทั้งพระราชวัง รูปปั้น รวมถึงหลังคา ได้ตกแต่งด้วยทองคำแท้เลยล่ะครับ
ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคนถึงยอมต่อคิวยาวเป็นกิโล ย้ำ เป็นกิโลจริงๆ ครับ คือยอมตากแดดเพื่อให้ได้เข้าไปในพระราชวัง จนผมกลับมาและค้นหาข้อมูลอีกที ปรากฎว่าข้างในพระราชวังมีสิ่งนี้ครับ สิ่งที่เรียกว่า ” ห้องอำพัน ”
ห้องอำพัน (Amber Room | Янтарная комната Yantarnaya komnata) ตั้งอยู่ภายในพระราชวังแคทเธอรีนที่หมู่บ้านซาร์สโคเยอเซโล เป็นห้องที่ผนังทำด้วยอำพันทั้งห้องตกแต่งด้วยทองคำเปลวและกระจก ความงามของห้องนี้ทำให้บางครั้งได้รับสมญาว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์ที่แปดของโลก” เลยทีเดียว พระเจ้าจอร์จ มันยอดสุดๆ
อย่างไรก็ตาม หากเพื่อนๆ จะเดินทางไปพระราชวังแคทเธอลีน รบกวนเช็ควันเวลาทำการด้วยนะครับ ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นที่ผมจำได้คือ ราคาตั๋ว 400 รูเบิ้ล เวลาทำการ 10:00-16:45 หยุดวันอังคาร และจันทร์สุดท้ายของเดือนครับ
Chesmenskaya tserkov svyatogo Ioanna Predtechi
ตรงนี้เป็นโบสถ์อะไรไม่รู้ ที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่ท่องเที่ยวครับ แต่ทว่า มองมาแต่ไกลแล้วมันสวยเหลือเกิน เลยตัดสินใจเดินเท้าจากจุดขึ้นรถมาดูครับ และซึ่งเมื่อหาประวัติ ก็ไม่พบ เห็นเพียงภาษารัสเซียให้ดูต่างหน้าเท่านั้น เชื่อว่าหาไม่ยากหากเพื่อนๆ อยากตามรอย ก๊อปชื่อโบสถ์นี้ แล้วตามหาเส้นทางใน Google map ได้ไม่อยากครับ หากมีเวลาเหลือก็จัดเลย
The Church of our savior on the spilled blood
โบสถ์แห่งหยดเลือดแห่งนี้ เป็นโบสถ์ที่สวยงาม แต่แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความเศร้าครับ เป็นอนุสรณ์ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระบิดา หรือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์บริเวณนี้ ในปี คส. 1881 จากประวัติ ก็เล่ากันว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 พยายามที่จะปลดปล่อยชาวนาและกรรมกร ทำให้เหล่าขุนนางที่เสียประโยชน์เกิดความไม่พอใจ ถึงลอบปลงพระชนม์ บางแหล่งก็เล่าว่าชาวนาไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงทำให้ไม่พอใจ อะไรทำนองนี้
ซึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โบสถ์ได้รับความเสียหายจากระเบิด หลังสิ้นสุดสงครามจึงได้มีการบูรณะใหม่ ปัจจุบันตั้งโดดเด่นด้วยสีสันสวยงามสะดุดตา อยู่ริมคลอง Griboyedov ด้วยรูปแบบศิลปะยุคฟื้นฟู ที่ทุกคนจะต้องตะลึงกับความอลังการตั้งแต่ด้านนอกจนเข้ามาด้านในด้วยความวิจิตรบรรจงจากฝีมือจิตกรกว่า 30 คน สะกดสายตามากๆ ตั้งแต่เดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ทั้งงดงามและเต็มไปด้วยมนต์ขลัง น่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
สามารถซื้อตั๋วได้จากตู้อัตโนมัติด้านหน้าครับ ราคาตั๋ว 250 รูเบิ้ล เวลาทำการ 10:30-18:00 หยุดวันพุธ และช่วงวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 กันยายน จะเป็นช่วงที่เมืองพระอาทิตย์ตกราวๆ สี่ทุมครับ เลยมีการเพิ่มรอบ โดยมีรอบเย็น 18:00-22:30 น. เพิ่มเข้ามา แต่หยุดวันพุธเหมือนเดิม ฮาๆ
Nevsky Prospect
ย่านนี้เป็นย่านที่พลุกพล่านสุดๆ เรียกได้ว่าเป็นย่านธุรกิจ แฟชั่น อาหาร โบสถ์ และอื่นๆ มากมายที่น่าสนใจ เป็นถนนสายหลักผ่ากลาง และมีสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก เป็นอีกสถานที่ที่หนึ่งที่ผมชอบ แต่ก็แฝงไปด้วยความอันตราย เค้าบอกว่า มาที่นี่ต้องระวังโจรครับ คือดูจากสภาพแวดล้อมที่ไป ก็แหงล่ะ ใครจะเข้ามาทำอะไรเราเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่รู้ตัวแน่นอน ช่วงที่ผมไป ก็ไปนั่งสั่งอาหารทานตามร้านที่มีพื้นที่ยื่นออกมาบนถนน มองดูผู้คนแล้วจิบเบียร์เย็นๆ ไปพลางๆ เรียกได้ว่าฟินสุดๆ
River Viewpoint
จุดนี้จะไปหรือไม่ไปก็ได้ ผมไม่รู้จะแนะนำอะไร แต่ภาพที่ถ่ายออกมาก็บรรยายบรรยากาศในตัวของมันเองในระดับหนึ่งไปแล้ว ว่าเพื่อนๆ ควรจะเดินผ่านไปแถวนั้นหรือไม่ พวกเราเดินจากโบสถ์หยดเลือดแล้วดิ่งไปที่ริมน้ำเลย ผมว่าเดินก็ดีเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวเราเดินไป The Hermitage ต่อไปในทางเดียว
อีเจ้ากล้อง Canon EOS 77D มันถ่ายภาพได้สวยไม่เบาเลยแฮะ พอแสงเริ่มลดความจ้าลง มันก็โชว์ความเก่งในการปรับสมดุลแสงสีออกมาได้อย่างลงตัวสุดๆ ถ่ายโดยไม่ต้องปรับแต่งอะไรมากมาย ก็ได้ภาพที่บอกเล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดี
แล้วความเร็วชัตเตอร์ของเค้าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน สามารถถ่ายภาพนกนางนวลที่กำลังบินถลาในช่วงเย็นๆ แสงน้อยๆ อย่างนี้ได้ขนาดนี้ ก็คงไม่ห่วงแล้วล่ะ เพื่อนๆ คนไหนที่กำลังมองหา DSLR ที่มีขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่ ไม่หนักจนเกินไป เราว่าตัวนี้เป็นอีกตัวที่น่าเก็บไว้ครอบครองและเอาไปลองใช้ครับ : )
เดินเรียบแม่น้ำมาในระยะหนึ่ง เพื่อนๆ จะเริ่มปลงกับการท่องเที่ยวทริปนี้ครับ เพราะเดินเยอะมากกกก เยอะแบบเยอะมากจริงๆ ญี่ปุ่นชิดซ้าย สิงคโปร์ชิดขวากันเลยทีเดียว แต่เอาล่ะ เราเดินกันจนมาถึงหลัง The Hermitage แล้ว เดี๋ยวอ้อมไปดูข้างหน้ากัน
พิพิธภัณฑ์แอร์มิทาช หรือ พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ (Hermitage Museum | Государственный Эрмитаж, Gosudarstvennyj Èrmitaž😉
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในประเทศรัสเซีย พิพิธภัณฑ์แอร์มิทาชเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งที่มีงานศิลปะในความครอบครองเป็นจำนวนราวสามล้านชิ้น และพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก่าที่สุดในโลก งานศิลปะจำนวนมหาศาลตั้งแสดงอยู่ในอาคารหกหลัง อาคารเอกคือพระราชวังฤดูหนาวที่เคยเป็นที่ประทับของซาร์ แอร์มิทาชมีสาขาที่อัมสเตอร์ดัม, ลอนดอน, ลาสเวกัส และแฟร์ราราในอิตาลี พิพิธภัณฑ์แอร์มิทาชได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ว่าเป็นหอศิลป์ที่มีงานสะสมมากชิ้นที่สุดในโลก
และกลิ่นอายอย่างหนึ่งของคนที่นี่คือ ช่วงฤดูร้อน จะมีวัยรุ่นหรือกลุ่มคนที่มีความสามารถมาแสดงความสามารถกันในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น Subway ข้างถนน หรือแม้แต่หน้าสถานที่สำคัญๆ แบบนี้ ก็ยกเครื่องดนตรีมาเป็นวงอย่างกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้ครับ คือที่นี่ดูเหมือนเค้าเปิดให้แสดงผลงานกันมากๆ เลยนะ แล้วก็เหมือนได้รับการสนับสนุนจากคนในชาติด้วย ทุกคนเหมือนพร้อมใจกันมานั่งดู แล้วก็ให้เงินบริจาคเป็นกำลังใจแก่นักดนตรีเหล่านั้น โคตรรรร ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ฟินสุด
และอีกเหตุผลหนึ่งที่อาจจะทำให้ผมแอบรักเมืองสองเมืองนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นผู้คนที่นี่ครับ คือเค้าค่อนข้างมีน้ำใจกันนะ เหมือนแบบเวลาหาอะไรไม่เจอ หรือโรงแรมไม่เจอ เดินเข้าไปถาม เค้าก็พาเดินไปเจอครับ ทั้งๆ ที่เค้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ช่วยกันหาจนเจอ เรียกได้ว่าซึ้งใจมากๆ และที่สำคัญคือ สาวๆ ที่นี่หุ่นดี ผิวขาว และสวยในระดับที่เรียกว่าเป็นนางแบบในไทยได้สบายๆ : )
จัตุรัสพระราชวัง
จัตุรัสแห่งนี้ออกแบบโดย คาร์โล รอสซี และก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 1829 จัตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์สำคัญมากมาย รวมถึงวันอาทิตย์ทมิฬ ซึ่งเป็นการสังหารหมู่ผู้ประท้วงที่ไร้อาวุธโดยกองกำลังของซาร์ในปี 1905 รวมถึงการโจมตีพระราชวังฤดูหนาวโดยกลุ่มบอลเชวิกในปี 1917 เมื่อเดินทางมาถึงจัตุรัสแห่งนี้ อย่าลืมแวะชมพระราชวังฤดูหนาวที่ตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่ปี 1762 อาคารสีเขียวและขาวอันหรูหราแห่งนี้มีห้องกว่า 1,057 ห้อง และหน้าต่างกว่า 1,945 บาน วังซึ่งเคยเป็นสถานที่พำนักของแคทเธอรีนมหาราชินีแห่งนี้ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์แอร์มิทาชที่รวบรวมงานศิลปะไว้มากมาย
เดินข้ามจัตุรัสไปยังอาคารเจเนอรัลสตาฟ ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยอาคารมีหลังคาโค้งสีเหลืองขนาดมหึมาที่จะนำคุณไปสู่ถนน เนฟสกี ปรอสเปคต์ (Nevsky Prospect) ซึ่งเป็นถนนสายหลักแห่งหนึ่งของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในอดีตนั้น อาคารเจเนอรัลสตาฟเป็นสถานที่ทำการของกองทัพ แต่ก็ได้มาเป็นอาคารของรัฐในปัจจุบัน อาคารแห่งนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน โดยปีกของอาคารทั้งสองด้านมีความยาวโอบล้อมตลอดทั้งแนวจัตุรัสเลยล่ะครับ
มหาวิหารนักบุญไอแซค (Исаа́киевский Собо́р)
โบสถ์หรือมหาวิหารที่ผมขอร้องให้เพื่อนๆ ซื้อบัตรเข้าไปชมมีไม่กี่ที่ครับ และที่นี่เป็นอีกที่ที่ผมร้องขอให้เพื่อนๆ จงเข้าไปให้ได้ ที่นี่เป็นมหาวิหารของศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ที่ตั้งอยู่ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของประเทศรัสเซีย มหาวิหารนักบุญไอแซคเป็นมหาวิหารออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นมหาวิหารคริสต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ตั้งชื่อตามนักบุญไอแซคแห่งดัลเมเชีย ผู้เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของซาร์ปีเตอร์มหาราช ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้ใช้เวลาสร้าง 4 ทศวรรษตั้งแต่ปี 1818 ถึง 1848 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ออกุสเต เดอ มอนแฟร์แรนด์ ผู้ซึ่งร่ำเรียนมาจากหอศิลป์ของ ชาร์ล เปอซิแอร์ นักออกแบบคนโปรดของนโปเลียน โบนาปาร์ต เอาล่ะ เราไปดูข้างในกัน…
คือข้างในต้องบอกว่าอลังการงานสร้างมากๆ ครับเพื่อนๆ คือเป็นคนที่ไม่ค่อยอินกับสถาปัตยกรรมเท่าไหร่ แต่ ณ จุดนี้ เจอส่ิงแบบนี้เข้าไป หยิบกล้องมาถ่ายรัวๆ จริงๆ แล้วเฉพาะสถานที่แห่งนี้ ผมลั่นชัตเตอร์ไปกว่า 70 ภาพแน่นอน แต่เอามาถ่ายทอดให้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น มากไปกว่านั้น ที่มหาวิหารแห่งนี้ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกและวิวเมืองด้านบนอีกด้วย…
เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่โรแมนติกสุดๆ และนี่คือภาพปิดท้ายในรีวิว ช่วงที่ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินบนโบสถ์ issac ตอนสี่ทุ่ม ลองนึกภาพตาม พอพระอาทิตย์ตกไปในฝั่งทิศตะวันตก เดินอ้อมกลับไปหน้าโบสถ์ฝั่งทิศตะวันออก เพื่อนๆ จะได้เห็นท้องฟ้าเป็นสีชมพู เห้ออออ ดีจัง
C H A P T E R 02
ความรู้สึกสุดท้ายก่อนก้าวขากลับบ้าน
สำหรับผมแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้นั้นถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้แปลกใหม่เท่าไหร่ เพราะจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มออกมาเดินทางท่องเที่ยวจริงๆ ก็คือเมือง New York แห่งสหรัฐอเมริกา หลังจากจบจากทริปนั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ระหว่างทางที่ได้ค้นพบตัวเองมากว่าสี่ปี ก็ทำให้ผมรู้และเข้าใจว่าตัวเองเป็นสายธรรมชาติ แต่กระนั้นแล้ว สายธรรมชาติก็ไม่ลืมป่าปูนและรอยประวัติศาสตร์สำคัญๆ ของโลก ยังคงหาโอกาสที่จะได้เดินทางมาในสถานที่ที่แปลกใหม่ ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นตึกรามบ้านช่องที่นี่บอกเลยว่าอึ้งมากๆ เค้าสร้างได้อย่างไร ตึกใหญ่โต หินสลัก บวกกับแผนผังเมืองที่ดูมั่นคงเอามากๆ ที่อึ้งหนักหน่อยๆ ก็เห็นจะเป็นรถไฟใต้ดินที่ซับซ้อน แต่ยังคงสภาพและใช้งานได้อยู่ (คือไม่รู้ว่าผ่านมากี่ปีแล้วอ่ะนะ แต่แบบยังเปิดใช้งานอยู่) นั่นแหละครับ มันคงไม่ได้มีโอกาสบ่อยๆ ที่เราจะได้มาเดินดูบ้านเมืองมหาอำนาจแบบนี้
เก็บทุกโมเม้นท์เท่าที่จะเก็บได้ผ่านทั้งหลังเลนส์ ใส่กล่อง และความทรงจำ หาโอกาสที่จะเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ถ้าโอกาสมีมาให้ โบสถ์เอย พระราชวังต่างๆ เอย ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ทางนี้เค้ารักษาเอาไว้ มีความประทับใจในความไม่ประทับใจก็มากโข แน่นอนล่ะ ทุกที่ย่อมมีดีและไม่ดี แต่ก็ยังอึ้งๆ กับคนที่นี่ที่ไม่พูดปะกิดกับเรา ขอทานที่เข้ามาชาร์จจะเอานาฬิกาข้อมือ รวมถึงย่านฉาวอย่าง Nevsky ที่ต้องระวังตัวกันสุดๆ ทุกอย่างคือประสบการณ์อันล้ำค่ามากๆ
ถ้าถามว่าผมอยากกลับมาที่นี่อีกไหม ถ้าตอนนี้ก็ขอตอบว่าไม่ เพราะเอียนกับปูน ตึก โบสถ์ ผู้คน และพระราชวัง แต่หากถามว่า เพื่อนๆ ควรไปไหม เราก็การันตีในความยิ่งใหญ่และความน่ามาของที่นี่ว่า ควรมา 1000% และหากใครที่ชอบประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ชอบสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว ชอบความรุ่งเรืองของอาณาจักรในดินแดนที่เคยเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าคุณจะหลงรักที่นี่โดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ
และนั่นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนก้าวขากลับบ้านของผม สุดท้ายท้ายสุดอยากบอกว่า คนที่นี่ดูผ่านๆ หน้าตาไม่น่าไว้ใจนะ แต่หากลองเข้าไปคุยด้วยแล้ว คุณจะพบว่าเค้า Nice ไม่แพ้ชาวเอเชียเลยล่ะ นี่ถามทาง ก็ช่วยเราหา และจูงมือเราเดินพาเราไปที่ที่เราอยากไป ยังไม่เห็นมีใครไม่ช่วยเราเลย และที่สำคัญที่สุด ผู้ชายหล่อ ผู้สาวสวย ดูรวมๆ ทั้งเมืองแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน เห้ออออ…. ทำไมพอพิมพ์เสร็จอยากกลับไปอีก ๕๕๕๕ เอาน่าาาา…แล้วเจอกันระหว่างทางครับ : )
กำลังจะไปวันที่ 25 นี้ค่ะแต่แค่มอสโคว ขอบคุณสำหรับวีวิวนะคะ