ชีวิต Slow life หมู่บ้านบางพลับ ด้วยเงิน 300 บาท
:: กิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมของ สสส. ภายใต้ชื่อของ SOOK TRAVEL จะเป็น event ที่เปิดรับคนทั่วไป ไปเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดต่างๆ ที่มีของดี และมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งทาง สสส. เค้าก็ได้ทำตารางกิจกรรมออกมาได้อย่างน่าสนใจมากๆ (รูปข้างบน)
:: เผอิญว่าเดือนกรกฏาคมว่างพอดี ก็เลยขอเสียบทริปในช่วงเดือนนี้ไปด้วยเลย นั่นก็คือ “ทัวร์หมู่บ้านบางพลับ”:: เพื่อนๆ สามารถเข้าไปส่อง ทริปต่อๆ ไปได้ที่ http://goo.gl/R6epBE รวมถึงส่งใบสมัครด้วย ทาง Sook travel Team เค้าจะนัดให้เรามาเจอกันที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อนสามารถเอาไปเซิร์ชใน google map ได้เลย ไปถึงเค้าก็จะให้เราลงทะเบียนตามปกติ มีอาหารว่างให้ในช่วงเช้า แล้วก็เมื่อถึงเวลาตามกำหนด ก็ขึ้นบัสไปยังสถานที่ของเราในวันนั้นเลย หรือเพื่อนๆ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 095 – 569 – 1231 ซึ่งในตารางกิจกรรมของผมในทริปนี้ มีประมาณนี้ครับ
07.30 – 09.30 : เดินทางสู่ “บ้านบางพลับ”
09.30 – 10.00 : ฟังบรรยายประวัติ ความเป็นมาของชุมชน
10.00 – 12.00 : สนุกกับการปั่นจักรยานเรียนรู้และลงมือทำ “น้ำตาลมะพร้าว” และ “ผลไม้กลับชาติ”
12.00 – 13.00 : รับประทานอาหารกลางวันที่ทางหมู่บ้านเตรียมไว้ให้
13.00 – 15.00 : สนุกกับการปั่นจักรยานเรียนรู้ลงมือทำ “ถ่านผลไม้” และ “สวนส้มปลอดสารพิษ”
15.30 – 16.00 : สรุปกิจกรรม และเดินทางกลับบ้าน
:: เป็นไงบ้างครับ ฟังดูกิจกรรมแล้วน่าสนใจมั้ย สำหรับผม เป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ามากๆ สำหรับ 1 วันในวันนั้น เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้วิถีชาวบ้านแล้ว เรายังได้ลองทำในสิ่งที่ชาวบ้านเค้าทำกันด้วย อาจจะไม่ได้นอนค้างคืน แต่ก็เข้าถึงได้พอสมควร และมากไปกว่านั้น ใกล้กรุงเทพนิดเดียว
:: ค่อนค้างจะตามเวลามากๆ หลังจากที่ล้อหมุนจาก สสส. ก็มาถึงหมู่บ้านบางพลับตามเวลาเป๊ะ เราเข้าไปในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ เพื่อฟังบรรยายจากหัวหน้าโครงการ แกพูดดีและสอนดีมากเลยนะ ถ้าจะให้เล่ามันยาวมาก เอาเป็นว่า ได้มาแลกเปลี่ยนความคิดกันระหว่างมุมเค้ามุมเรา ทุกที่แม่มมีดี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นมันรึป่าว และสิ่งสำคัญที่สุด หมู่บ้านที่นี่ ยึดหลักการใช้ชีวิต ตามพระราชดำริของในหลวงแทบจะทุกหลัง เลยกลายให้คนในหมู่บ้าน ช่วยกันทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังพอสมควร ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ต่างประเทศก็สนใจเข้ามาดูงานเหมือนกัน:: แล้วก็มาถึงกิจกรรมแรก คือการทำตาลน้ำมะพร้าว อาจารย์เค้าจะสอนเราตั้งแต่วิธีเริ่มแรกจนวิธีสุดท้ายที่ออกาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เอามาขายกันเลยหละ ไม่มีหวงสูตร หรือปิดบังอะไรทั้งนั้น แกบอกหมดเลย ถ้าจะให้มาบอกวิธีทำ ก็เกรงว่าจะละเอียดไป หากใครสนใจคงต้องติดต่อทางหมู่บ้านกันเอง ส่วนของผมทางนี้ จะขอเล่าเรื่องด้วยภาพกิจกรรมแต่พอสังเขปแล้วกัน มาเริ่มกันเลย สำหรับการทำน้ำตาลมะพร้าว:: สิ่งแรกหลังจากได้น้ำตาลมะพร้าวมาคือการเคี่ยว เคี่ยวจนมันเกิดฟอง แล้วสังเกตุ หากกำลังจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงให้เบาไฟ แล้วยกกระทะออกจากเตา แล้วมาเคี่ยวต่อ ทำให้ความร้อนมันระเหยออกจากน้ำตาลมะพร้าวราวๆ 15 นาที
:: จากนั้น ก็ใช้ช้อนตักน้ำตาลมะพร้าว มาหยอดใส่แม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ ตามที่เราต้องการ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เราก็จะได้น้ำตาลมะพร้าวที่ดูน่ากิจ แถมรสชาติเรียกได้ว่าคูลสุดๆ ไม่มีอะไรเจือปนทั้งนั้น มีแต่กลิ่นของธรรมชาติ กับรสชาติของธรรมชาติเท่านั้น
ตัวอย่างการทำน้ำตาลมะพร้าว
:: แผนถูกเปลี่ยนิดหน่อย โดยทางทีมงานอยากให้เราได้เห็นสภาพวิถีชุมชนมากขึ้น ใช้ชีวิตช้าลงโดยการเดินดูชุมชนหมู่บ้านบางพลับ ระหว่างทางเดินหรือทางจักรยาน ก็จะมีจุดจอดเป็นสัญลักษณ์บอกว่า ที่นี่แหละ คือที่ที่เราจะเข้ามาเก็บความรู้ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนที่นี่:: ตรงนี้จะเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเลาะคลองขนานข้างต้นไม้ อาจารย์แกให้ความรู้ดีมากเลยนะ มีเหตุ มีผล ธรรมชาติมันตอบโจทย์ของมันเองได้อย่างสมบูรณ์ทีเดียว:: แกเล่าคร่าวๆ ว่า เหตุที่ปลูกมะพร้าวแทรกกับต้นไม้ก็เพราะว่า ที่ตรงนี้เป็นดินเหนียวมากก่อน รากมะพร้าวมันเป็นฝอย มันจะไปทลายดินเหนียวให้กลายเป็นดินร่วน ความรู้ของแกในบ้างครั้งดูเหมือนจขะเป็นอะไรที่พื้นๆ มาก แต่มันไม่ธรรมดาเลยนะ เพราะบางที คนเมืองหลายคนก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน
:: กลิ่นควันรถ กลิ่นอะไรเสียๆ ที่เคยดม ผมนิลืมไปเลย เพราะที่นี่ธรรมชาติโคตรๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ยึดอาชีพเกษตรกรเป็นหลักครับ แล้วมันสามารถสร้างรายได้ให้คนที่นี่จริงๆ ถ้าชุมชนเหล่านั้น แข็งแกร่งและสามัคคีกัน ซึ่งหมู่บ้านบางพลี ก็พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้ว ว่าแม่มทำได้จริง
:: ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว บนโต๊ะมีอาหารที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้เราทานกันอย่างเยอะแยะเต็มไปหมด ที่นี่อยู่ใกล้แม่กลอง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือปลาทู และมันก็มาจริงๆ อร่อยสมชื่อ เสียเงิน 300 บาท ได้มากินแค่มื้อนี้ ผมคิดเล่นๆ ยังไงก็คุ้ม ๕๕ เอาหละ เติมพลัง ก่อนที่จะถึงกิจกรรมในช่วงบ่ายกัน
:: เอาหล่ะ คราวนี้ก็ต้องเคลื่อนที่กันหน่อย ด้วยจักรยานที่ทาง สสส. เค้าเตรียมมาไว้ให้เรา เชื่อมั้ยว่า จักรยานมีเยอะมาก ตอนแรกก็คิดนะ ว่าจะเอาจักรยานที่ไหนมารองรับพวกเราในจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้ แต่ที่นี่แม่มไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ ททท. ก็เข้ามาสนับสนุนและส่งเสริมอีก เรียกได้ว่า เค้าดังมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมเราเพิ่งมารู้นักวะ ๕๕๕:: ทีมงานเค้าจัดให้เราปั่นไป 3 สถานี มีผลไม้คืนชีพ ถ่ายผลไม้ และก็สวนส้นไร้สารพิษ และที่แรกที่เราปั่นจั๊กไปคือ ผลไม้คืนชีพ ที่นี่จะเป็นการนำผลไม้ทีถูกคัดเกรดตกต่ำมาระดับหนึ่ง เอามาคืนชีพให้มันมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทำเป็นเล่นไปครับ อิมะละกอที่พี่เค้าทำอยู่ จากปกติลุกละไม่กี่บาท โลไม่กี่บาท พอทำเป็นผลไม้คืนชีพ มีราคาถึงกิโลละ 300 บาทเลยนะ ผมละทึ่งเค้าจริงๆ
:: คือไม่ใช่แค่ผลไม้นะ ผัก พืช หรือสมุนไพร ก็ถูกมาชุบชีวิต ทำให้มีรสชาติหวานขึ้น ด้วยกระบวนการที่พิถีพิถันมากๆ ผมฟังแกเล่าคร่าวๆ แล้วก็แบบ ป้าสุดยอดมากครับ เพราะกว่าจะได้ ผลไม้ชุบชีวิตมาแต่ละอย่าง จะต้องใช้เวลาราวๆ 1 อาทิตย์ครับ
:: เผื่อใครสนใจ ผมจะเล่ากระบวนการมาตรฐานคร่าวๆ ของการทำผลไม้คืนชีพให้ฟัง มันจะเป็นประมาณนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกปลอกเปลือกออก แล้วเอาไปแช่กับน้ำปูนขาว ถึงจุดนั้นซักพัก ก็เอาไปต้นจนสุก แล้วรอให้มันเย็นลง จากนั้นก็เอามาแช่กับน้ำเชื่อมในอัตรา ผลไม้ 1 kg/น้ำเชื่อม 2 kg ครับ ก็แช่มันไปทั้งคืน อย่างมะละกอต้องทำแบบนี้ถึง 7 ครั้งครับ ถึงจะได้ ผลไม้ที่มีรสชาติอมหวานมันอร่อยขนาดนี้ เป็นไงหล่ะ จะบอกว่าอร่อยมั๊ก > <
:: สถานนีต่อไปคือ “ถ่านผลไม้” ให้ตายเถอะ เอาผลไม้มาทำเป็นถ่าย ฟังดูตลกนะครับ ตอนแรกผมก็ตลกเหมือนกัน แม่แม่มเอ้ยยยยย ไอ่เจ้าผลิตภัณฑ์ตัวนี้นี่แหละ ที่มันขายได้หลายอย่างในตัวมันเองเลย เด่วเล่าให้ฟัง:: วิทยาการฐานนี้ตลกมาก มาถึงแกก็จะเล่าประวัติความเป็นมาของแกแบบฮาๆ ตามประสาแก แต่บทสรุปสำคัญมันอยู่ตรงนี้ ถ่านผลไม้ ได้มาค่อนข้างง่าย ถ้ารู้จักวิธีทำ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ ระหว่างกระบวนการทำถ่ายผลไม้นั้น เราจะได้ผลิตภัณฑ์เพิ่มมาอีก 4 – 5 อย่างเลย
2. ขี้เถ้า เอาไปใช้เป็นน้ำล้างผลไม้โดยการปล่อยให้ตกตะกอนแล้วเอาน้ำข้างบนมาล่างผักผลไม้ แกบอกว่า เป็นเบสดีมาก ช่วยในการชำระล้างสารเคมี และก็เอาไปทำไข่เค็มได้ด้วยอีกนะ
3. น้ำมันผลไม้ น้ำมันผลไม้เกิดจาก ไอน้ำที่มันระเหยออกไปด้านนอก แล้วพอมันเจอกับอากาศข้างนอก เกิดการกลั่นตัวแล้วหยดลงมาเป็นน้ำมัน เราก็เอาภาชนะไปรองไว้ ซึ่งเจ้าตัวนี้ สามารถขายได้ลิตรละ 100 บาทเฉยๆ เลย เห็นมะ สร้างมูลค่าเพิ่มได้เฉย
4. บริเวณเตา พอถึงจุดหนึ่งจะมีความร้อนมาก แกก็ใช้จังหวะนั้นแหละ เอากระทะไปวางไว้ คั่วผัก คั่วพริก ทำไข่เจียว ลดการใช้พลังงานธรรมชาติได้เฉยเลย
5 สุดท้าย ถ่านผลไม้ ที่ขายได้ในราคาเริ่มต้นที่ ลุกละ 30 บาท โอ้วมายกอดดดดดดดดดด ส่วนใหญ่เค้าซื้อไปดุดกลิ่นอับในรถ หรือตู้เสื้อผ้า
:: อันนี้เป็นตัวอย่างจำลองที่แกทำไว้ใช้ประการสอน วิธีทำค่อนข้างง่ายมาก ก็ทำเตาขึ้นมาอันหนึ่ง เอาฟินวางรอบๆ ให้เกิดความร้อน เคล็ดลับสำคัญมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่เอาปี๊บหรือภาชนะมาใส่ผลไม้ก่อน แล้วค่อยเอาไปอบ ซึ่งมีมีช่องว่างเกิดขึ้นไม่ให้ไฟกับผลไม้สัมผัสกันโดยตรง แล้วบริเวณช่องว่างนี่เอง ที่จะทำให้ผลไม้ถูกดูดน้ำออกจากตัวของมันจนหมด แล้วเชื่อมั้ย เงาะแม่ม ยังทำได้เลย
:: แกบอกว่า ช่วงวาเลนไทน์ ขายดีมาก คนเอาดอกกุหลาบมาให้ทำ และมันก็ทำได้จริงๆ ครับ เออ พูดถึง คนคงสงสัยว่าตอนสัมผัสมันจะเป็นยังไง อารมณ์ประมาณนี้เลย เคยจับถ่านปกติมั้ย มันจะเบาๆ อะ และดูเหมือนมันสามารถแตกหักง่าย ซึ่งถ่านผลไม้ก็เหมือนกัน แม่มทำได้ไงวะ เก่งจริงๆ และนี่ก็เป็นภาพตัวอย่าง ถ่านผลไม้ที่แกทำไว้ให้พวกเราได้ดูกันครับ เชดแหม่ ทะเรียน ขนุน ลำยงลำไย แกใส่หมด ๕๕๕
:: ปั่นๆๆๆ ปั่นจนมาถึงสถานีสุดท้าย “ส้มโอไร้สารพิษ” ตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการดีๆ ที่นี่เลยครับ ทำให้ชาวบ้านสร้างรายได้ได้เยอะเลย แกมีเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับส้มโอเต็มไปหมด สิ่งแรกที่ได้สัมผัสคือ ความหอมของดอกส้มโอ… >///<:: เราจอดจักรยาน แล้วเดินเท้าเข้าไปไมีกี่สิบเมตร ก็เจอดงส้มโอที่เยอะจนแทบมองไม่เห็นวิวข้างนอกเลย ช่วงที่เราไป ส้มโอยังไม่เป็นผลครับ ดอกกำลังขึ้น ซึ่งทำให้กลิ่มของบรรยากาศที่นั้น อบอวลไปหมด เรียกได้ว่าหอมมากๆ อาจารย์แกอธิบาย เทคนิคหลายอย่างของการปลูกส้มโอ แต่รู้มั้ย… เทคนิคที่ผมชอบมากที่สุดคืออะไร มันคือ การแกล้งธรรมชาติ!!!:: การแกล้งธรรมชาติ คืออะไรหรอ มันเป็นแบบนี้ครับ ช่วงแรกๆ ตอนที่แกเริ่มปลูกส้มโอ แกพยายามสังเกตุ ว่าส้มโอมันจะออกดอกตอนไหน เป็นผลตอนไหน และนั่นก็ทำให้แกเห็นว่า หลังจากฤดูแล้ง ส้มโอถึงจะออกดอก แล้วแกก็สังเกตุไปต่อ ว่าหลังออกออก อีกกี่เดือนจะเป็นผลทานได้ แกก็ได้ตัวเลขมาที่ 8 เดือน รู้แล้วยังไงครับที่นี่ แกก็เลยบอกว่า เออ เมิงจะออกตอนที่เมิงไม่มีน้ำใช่มั้ย เมิงจะออกหลังจากที่ฝนตกเทฮ่าใหญ่ลงมาใช่มั้ย คราวนี้แกก็แกล้งโดยใช้วิธีการ ไม่รดน้ำต้นไม้ เอาจนมันเกือบตาย ตายน้ำจนใบแห้ง แล้วหลังจากนั้นก็แกล้องอีกรอบ โดยการรดน้ำมันทุกวัน เอาให้เหมือนฝนตกฮ่าใหญ่เลย สุดท้าย บทพิสูจน์ของแกเป็นจริงครับ สัส! พิมพ์แล้วขนก็ลุก
:: แต่หลายคนยังไง รู้แล้วไงต่อ ก็พอเรารู้ว่า ว่าวัฏจักรมันจะเป็นแบบนี้ เราก็สามารถแกล้งให้มันออกลูกได้ตอนไหนก็ได้ และคนฉลาดอย่างแก ก็เลยวางแผนให้มันออกทุกฤดูกาลไปเลย ทั้งสงกรานต์ ปีใหม่ เข้าพรรษา โหหหหหห รับไปดิทรัพย์อะ ใครว่าเกษตรกรจน ผมเถียงขาดใจ ๕๕๕ จริงๆ มันมีเรื่องราวเยอะแยะกว่านี้อีกครับ แต่ผมคงเอามาเล่าไม่หมดหรอก เพื่อนๆ ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเอง