สืบเนื่องมาจากเสาร์อาทิตย์มันว่าง มีความรู้สึกอยากขึ้นเหนือ แต่ก็ยังไม่รู้จะไปไหนน่ะ ก็เลยจองตั๋วเครื่องบินไปตอนเช้า แล้วก็บินเย็นวันนั้นเลย บินไปถึงก็โชคดีที่มีเพื่อน (อิแนน Happy Nancy) มันไปถ่าย Promote สินค้าของ Diamond Thailand ก็เลยจับพัดจับถูได้ไปนอนที่เดียวกับมัน แล้วก็ไปปีนาผาที่ Crazy Hoses กับมันตอนเช้าอีกวัน ประเด็นตรงนั้นยังไม่พีค เพื่อนช่วยเพื่อนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่พีคคือ เราไปแบบไม่รู้อะไร แล้วคือไปถึงสนามบินสี่ทุ่ม ร้านเช่ามอไซต์แถวนั้นมันปิดหมดแล้ว เราเลยขอความช่วยเหลือในเพจเรา (PALAPILIII Thailand) เผื่อมีลูกเพจใจดี ให้ความช่วยเหลือ และก็มีมาจริงๆ
ชีวิตเราในเชียงใหม่คืนนั้นสนุกมาก เปิ้ล (ลูกเพจ) พาไปดื่มชิมบรรยากาศกลางเมือง ตื่นเช้ามาเราก็ไปปีนผากับอิแนนตั้งแต่ตีห้า ช่วงบ่าย เราปลีกตัวออกมา แล้วโบกรถไปที่แม่กำปอง จากนั้นเราโบกรถกลับเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ มานอน Hostel คืนละ 73 บาท ใกล้ถนนคนเดิน ชีวิตของเราช่วงนั้น เราจะเล่าให้ฟังอีกที แต่ระหว่างที่นอนนิ่งอยู่ในที่พัก สมองก็คิดว่า… ” พรุ่งนี้ กูขับรถไปบ้านระเบียงดาวดีกว่า ” ทริปนี้แม่ง เกิดจากการนอนตายห่าอยู่ที่ Hostel แห่งนั้นจริงๆ…
เราตั้งปลุกตีสี่ แต่ตื่นตีห้า ลีลาจนถึงตีห้ากว่าๆ แล้วขับรถออกมาจาก Hostel ยอมรับว่ากลัวผีมาก เพราะวันก่อนไปถ่ายรูปกับศาลทงาขึ้นแม่กำปองมา แบบเป็นหมู่บ้านศาลพระภูมิเลย ถ้าใครตามเรา จะรู้ว่าน่ากลัวสุดๆ นั่นแหละ ระหว่างขับเราสวดมนต์ตลอดทาง จนสุดท้ายไม่กลัวผี แต่กูกลัวขับรถล้ม เพราะหมอกเยอะมาก มันเปียกมาถึงด้านใน เช้าวันนั้นอากาศ 14 อาศา ขับปะทะลมที่ความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องบังคับจิตใจให้บ้าสุดๆ บางช่วงโค้งเยอะ ถนนลื่น หมอกจัด ตำรวจทัก จ่ายค่าปรับไปสิ ใบขับขี่หมดอายุ ๕๕๕ ความคิดเราตอนนั้นคือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่บ้านระเบียงดาว แล้วจะยังไงต่อค่อยว่ากัน
ผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่า แม่งก็ยังไม่ถึง และที่เหี้ยคือขับเลยมาจนถึงทางขึ้นดอยอ่างขาง เรานิตลกตัวเอง หนาวก็หนาว ยังเสือกขับเลยอีก แต่ก็ไหวตัวทันเพราะรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่าดอยอ่างขางมันอยู่ก่อนเชียงดาวได้ไง ฮาๆ สุดท้ายก็วนรถกลับไปกว่า 10 กิโล เพื่อเข้าไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ระหว่างทางที่ขับผ่านเข้าไปยังถ้ำเชียงดาว เราเจอม้า เราก็จอดถ่ายรุปกับม้า แล้วเอามะละกอ feed ให้มันด้วยย แล้วเราก็ขับไปเจอพระกำลังบิณฑบาตร เราก็จอดใส่บาตรตามกำลังที่เรามี แปลกที่หลังจากใส่บาตรแล้ว พระที่นี่ ไม่สวดอะไรให้เราเลย เราได้แต่ยืนมองพระสองรูปนั้นเดินจากไปด้วยคำถามที่ว่า ” ทำ ไ ม ไ ม่ ส ว ด ใ ห้ ห นู ” ฮาๆๆ ไม่ช้าไม่นานนัก เจ้าปุยสองตัวก็ขึ้นมาเล่นบนรถเรา เสื้อผ้าเราเปียกและเปื้อนหมด แต่มันก็เปียกไปดด้วยความรู้สึกดี เปื้อไปด้วยความน่ารักจริงๆ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมก็ได้เห็นวิว เหมือนภาพตรงหน้าที่เพื่อนๆ เห็น ผมสั่งโกโก้ร้อน มาจิบ พร้อมกับถอดแว่นสายตาออกมาดูบรรยากาศด้วยตาเปล่า ใช้ความรู้สึก สงบนิ่งสักพัก ให้เราได้รู้สึกว่า เราได้มาอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่ได้มาเพื่อเพียงแค่ถ่ายรูป แล้วก็เอาไปโพสต์ลงเฟสบุ๊ค ผมอยู่ตรงนี้ จนกระทั่ง แสงพ้นเขาลูกนั้นออกมา ผมยกมือซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกา Samsung Gear S3 ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว (ขายของนิดหน่อยก็เอา ฮาๆ) ตอนนั้นเวลากำลังสวยที่ 8 โมงกว่าๆ ในใจคิดเล่นๆ ว่า อยากขึ้นไปยอดดอยหลวงเชียงดาว
ชีวิตมันไม่ยากจริงๆ อยากทำไรก็ทำ ผมขับลงไปที่หน่วยฯ แล้วติดต่อขอขึ้นดอยหลวงเชียงดาว พี่เค้าก็บอกว่าไม่ได้ จริงๆ เราควรจองมาก่อน 7 วัน ผมแม่งเฟลมาก ใจมันตัดสินไปแล้ว ว่าขาของเราต้องไปอยู่บนนั้น แต่ผมลืมบอกเจ้าหน้าที่ไปว่า
” พี่ครับ ผมไปกลับ วันเดียว แบบ Day trip อ่ะครับ ”
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมได้ขึ้นดอยหลวงเชียงดาวแบบไม่ต้องจองมาก่อนล่วงหน้า 7 วันครับ พี่เค้าก็หาเจ้าหน้าที่ให้ รถให้ เพราะการจะไป One Day Trip จะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยตลอดทางครับ ระหว่างนั้นฝรั่งก็มาพอดี เราก็คุยกัน และลงขันกันครับ ทุกอย่างจะแชร์ 3 คน
ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่พวกเพื่อนต่างชาติมาเจอกันในตอนนั้น เพราะหากไม่มาเจอกัน ผมคงต้องจ่ายคนเดียวแบบหนักๆ แน่ๆ รายจ่ายคร่าวๆ ก็จะเป็นประมาณนี้ครับ ค่าเจ้าที่นำทาง 1,000 บาท ค่ารถกระบะ 1,200 บาท (จริงๆ ตรงนี้ผมว่าไม่จำเป็นนะ เอารถตัวเองขึ้นไปสะดวกกว่า ไม่เสียเงินด้วย แต่ด้วยความที่ว่าผมเอามอเตอร์ไซต์ไป แล้วก็มีของมีค่าเยอะ จึงจำเป็นที่จะต้องเอาของมาฝากไว้ที่อุทยาน และก็กลัวรถมอไซต์จะหายด้วย เพราะคิดว่ามันสามารถยกไปได้ง่ายๆ ฮาๆ) ค่าเข้าพื้นที่ 50 บาท หลักๆ ก็ประมาณนี้ หลังจากหารกันแล้ว ตกคนละ 750 บาทครับ แต่ผมลองคำนวนราคาแบบถ้าเราไป Day Trip แบบ 10 คนแล้วละก็ จะเสียค่าใช้จ่ายเพียงคนละ 300 บาทเท่านั้นเอง
ผมเป็นคนง่ายๆ ของที่เอาไปก็เลยง่ายๆ ด้วย และส่วนใหญ่จะเป็นของที่ติดตัวไปประจำ ไม่ว่าจะเป็น Gopro Hero 4 session, Iphone 6, Samsung S7 Edge, Micro SD, Power Bank, น้ำเปล่าขวดเล็กหนึ่งขวด ข้าวสำหรับทานตอนเที่ยงที่ยอดดอย และที่ขาดไม่ได้คือน้ำตาลหรือเครื่องดื่มที่ทำให้เรามีแรงครับ ครั้งนี้พก Smirnooff กลิ่นมะนาวโฉมใหม่มาด้วย 2 กระป๋องเลย อันนี้เพิ่งซื้อก่อนขึ้นเลย จาก Tesco Lotus express คิดว่าน่าจะช่วยได้เยอะ ตอนเดินขึ้นจะได้กลึ่มๆ อารมณ์ดีด้วย ฮาๆ
ช่วงแรกเป็นป่ารกครับ และชันมาก ขึ้นทางปางวัวจะมีระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ไม่ไกล แต่ชันมาก คิดดูแล้วกัน ความสูงจุดสูงสุด 2,200 เมตรจากระดับน้ำทะเลอ่ะ คือสูงมากนะ เดินไปสักพักก็เจอดงกล้วยครับ มาถึงตรงนี้ให้รู้ไว้เลยว่า เราเดินมา 1/4 ของทางแล้ว
เดินต่อจากนั้นไม่ไกล ผมก็ได้เจอดอกไม้ที่หายากมากๆ และถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะมีที่เดียวในโลก นั่นคือดอก “เทียนนกแก้ว” ดีใจที่ได้เห็นตัวเป็นๆ ดีใจที่ได้เจอ
หลังจากเดินเลยมาถึงสามแยก ก็ถือว่าเรามาครึ่งทางแล้วครับ ต่อจากจากนี้จะเป็นทางเดินที่สบายกว่าช่วงแรกนิดหน่อย เดินชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ ครับ มีทางชันบ้าง แต่ก็ยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่
และช่วง 3/4 ของทางนี่แหละครับ ที่พีคสุดๆ มันคือทางชันตลอดไม่มีทางราบ คือถ้าไม่ฟิตตะกริวขึ้นแน่ๆ ครับ และระหว่างทางช่วงนี้นี่แหละ ที่จะทำให้เราเห็น ซากฟอสซิลของสัตว์ทะเล เป็นการยืนยันว่า ที่นี่เคยเป็นทะเลมาก่อนอีกด้วย
หลังจากซากฟอสซิลตรงนี้ไป จะมีแต่คำว่าชัน กับชันครับ ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าจุดนี้เรียกว่าอะไร อย่างภูสอยดาวก็จะเป็นเนินมรณะ แล้วถ้าดอยหลวงเชียงดาว ตรงเนินหนักๆ ตรงนี้เรียกว่าอะไร พี่แกบอกว่า “หัวรถบัส” คือชื่อประหลาดมาก แต่พอมองกลับไปข้างหลัง ก็หายเหนื่อยครับ วิวสวยมากกกก
เราเริ่มเดินตอน 10.20 น.ครับ เดินบ้าง วิ่งบ้าง พักบ้าง จนมาถึงยอดดอยเวลา 13.10 น. ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ (สำหรับเวลาเดินอย่างเดียว) ข้างบนนี้ยังคงสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง
มันรู้สึกดีนะ ที่ได้หอข้าวกระเพราหมูขึ้นมากินบนนี้อ่ะ ผมว่าเอาอะไรมากินบนนี้ก็อร่อยหมดแหละ มันดี ใช่ มันดีมาก มันฟินอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจจริงๆ เพื่อนต้องลองดูนะ ครั้งหน้ากะจะเอาหมูปิ้งขึ้นมาด้วย ฮาๆ
หลังจากทานข้าวเสร็จ Cody และ Def เพื่อนต่างชาติก็ชวนผมเดินไปจนสุดดอยครับ ซึ่งผมก็ยังไม่เคยเดินไปเลย คือปกติคนมาที่นี่ หลังจากมาถึงยอดสุดของดอยหลวงแล้ว ก็จะพักเหนื่อยและไม่อยากเดินต่อไปอีก แต่ครั้งนี้ผมไม่ครับ ผมเดินต่อไปกับเพื่อนๆ อีก 2 คน และก็ทำให้รู้ว่า เชียงดาว ไม่ได้มีแค่วิวเขาสามพี่น้อง แต่ยังมีวิวแบบนี้ให้เราได้มองอีกด้วย
เราพักข้างบนนี้กันแค่ 45 นาทีครับ อากาศมันหนาว แต่แดดมันร้อน และอีกอย่าง เย็นนี้ผมต้องบินกลับกรุงเทพฯ ด้วย เราเดินมาพร้อมกับเสบียง และมันก็ควรจะหมดบนนี้ ผมกินข้าวด้วยความเหนื่อยและอร่อยแบบไม่เหลือสักเม็ด กินน้ำเปล่าขวดเดียวให้หมด เพราะกะว่าขาลงจะวิ่งลงรวดเดียวเลย (ผมเป็นคนดื่มน้ำน้อย) ผมแบ่ง Smirnoff Ice กลิ่นมะนาวให้กับพี่นำทางหนึ่งกระป๋อง และผมก็ดื่มกระป๋องของผมจนหมด มันซ่า มันหวานปนขม มันรู้สึกดี มันเติมพลังก่อนวิ่งลงเขาได้จริงๆ
กระดกครั้งสุดท้ายและวิ่งรวดเดียวลงมาจากดอยหลวงด้วยเวลาชั่วโมงครึ่งครับ ทริปนี้คงเป็นอีกทริปที่ผมไม่มีวันลืมเลย สนุกมาก การเป็น Solo Traveler นี่มันต้องการแค่นี้จริงๆ ผมยังอยากทำ Day Trip ในเขาอีกหลายที่นะถ้ามีโอกาส ไว้วันหลังผมจะมาเล่าเรื่องท่องเที่ยวแบบ Solo ให้ฟังใหม่ ถ้าเจอกันก็ทักกันนะ ก่อนกลับผมแนะนำให้ไปจอดรถถ่ายรูปกับทุ่งหญ้าที่มีฉากหลังเป็นยอดดอยครับ สวยมากจริงๆ แล้วเจอกันระหว่างทาง ขอบคุณครับ
:: follow us ::
Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/
#palapilii
#wanderlust
#YOLO