สำหรับครั้งนี้คงเป็นครั้งที่สี่ ไม่ก็ครั้งที่ห้าของผมสำหรับประเทศนี้ แต่ทุกครั้งที่ไปสิงคโปร์ ก็มักจะมีอะไรให้ตื่นเต้นอยู่เสมอ ไม่งั้นคงไม่กลับมาบ่อยๆ แบบนี้หรอก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน จะว่าบังเอิญก็ไม่ใช่ แต่ดันไปจองบัตร Ultra Singapore ในช่วยที่เขาเปิด Pre-sell หรือ Early bird ไว้มาครอบครอง รวมภาษีก็ราวๆ เกือบ 6,000 บาท ตอนนั้นหน้ามืดตามัวอย่างไรไม่รู้ รู้ตัวอีกที ก็มีบัตร Ultra Singapore 2016 อยู่ในมือสะแล้ว…
ก่อนหน้านี้ทำใจอยู่นาน ว่าจะมาดีมั้ย? เพราะไม่มีเพื่อนมาด้วย คือไปเที่ยวคนเดียวอ่ะ ไม่มีปัญหานะ แต่ไปดูคอนเสิร์ตคนเดียวนี่สิ เคยไปคนเดียวตอน Potato Live แม่งจะบ้าตาย จะเต้นก็เต้นไม่สุด จะร้องก็ร้องไม่สุด มันอึดอัด แต่ก็นะ บัตรมันแพง เหมือนเป็นไฟลท์บังคับบอกเราว่า “ยังไงเมิงก็ต้องไป” ฮาๆๆ เออๆ กูไปก็ได้ ไม่นานนัก ก็โพสต์เฟสบุ๊ค ในกลุ่ม EDM Thailand และก็ Facebook ส่วนตัว หาคนที่ไปงานนี้เหมือนกัน จะขอไปแจม…
แน่นอนว่ามันต้องมีคนไทยที่บ้าเหมือนกัน ใช่ ผมมีเพื่อนหนึ่งกลุ่มให้ไปแจมกันที่นู่น นัดกันเจอหน้างานเลย สำหรับการติดต่อไม่ต้องห่วง ทริปนี้ได้ Tripizee Pocket Wifi มาใช้ เรียกได้ว่าเครื่อง Landed เปิ๊บ กู Check in ปั๊บ Feel good โคตรๆ
พอออกมาที่ตัวห้องสนามบิน ก็มุ่งหน้าไปที่ Terminal 3 เลยครับ เพราะจะมีสถานีรถไฟเข้าเมืองอยู่ ทริปนี้เตรียมของมาน้อยมาก มีกระเป๋าแค่หนึ่งใบ ในกระเป๋าหนึ่งใบนั้นมี
- Tripizee pocket wifi
- Gopro
- Huwei P9
- กางเกงใน 1 ตัว
- เสื้อสองตัว 1 ตัว (แม่งเป็นผ้าเช็ดตัวด้วย)
- กางเกงก็ตัวที่ใส่มาตั้งแต่ต้นจนจบ
- สายชาร์จต่างๆ และ Adapter
- หมอนรองคอ Urbi Lifestyle
- เครื่องใช้ส่วนตัว
- เงิน 126 USD
คือเมิงไม่ต้องตกใจครับ อย่างที่บอก เอามาแค่นี้จริงๆ แล้วคือเงินเนี่ย ก็ควักจากกระเป๋าตังค์ที่มีทั้งหมด เพราะลืมเอาบัตร ATM มา คือเป็นการเดินทางที่เหมือนกับว่ากูนั่งบัสจาก กทม. ไปเชียงใหม่อะไรทำนองนั้น ฮาๆ เอาล่ะ เงินมีแค่นี้ ยังไงก็ต้องประหยัดและต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด ผมเดินลงไปที่ชั้นล่าง ไปที่ Counter ซื้อตั๋ว Ez link การเดินทางท่องเที่ยวสำหรับประเทศนี้นั้นง่ายโคตร ซื้อเหมาไปเลยครับ เรียกว่า Traveling card จะอยู่กี่วันก็ซื้อเท่านั้นครับ อย่างกรณีของผม อยู่ 2 วันก็บอกเขาว่า 2 days traveling card Please แค่นี้ เราก็จะได้ Item สำหรับการเดินทางตลอดทั้งทริปแล้ว ซึ่งเจ้าตั๋วนี้ ราคา 16 SGD (สำหรับ 2 วัน) แต่จะต้องจ่ายมัดจำบาทเพิ่ม 10 SGD ครับ เพื่อประกันบัตรสูญหาย และมารับมัดจำได้ก็ต่อเมื่อเอาบัตรมาคืน เป็นไงล่ะ ง่ายมั้ย
หมายเหตุ : 1 SGD = 26 บาท
หลังจากที่เราจ่ายค่าบัตรไป เราก็จะได้แผนที่มาหนึ่งฉบับครับ สำหรับใครที่ไม่เคยมา อยากให้ศึกษาและจำเส้นทางหลักๆ ตามสีครับ ว่าแต่ละที่จะต้องขึ้นสีไหนอะไรอย่างไร หรือไม่ก็ใช้วิธีเหมือนเด็กประถมครับ ลากเส้นจาก A ไป B อะไรทำนองนี้ ง่ายนิดเดียว ทริปนี้ของผมไม่มีแพลนและไม่มีเพื่อน เพราะฉะนั้นที่เอากระเป๋ามาใบเดียว คือหมายถึงความพร้อมที่จะนอนตาม Mac Donald หรืออะไรก็ได้ที่มันเปิด 24 ชั่วโมง แต่ผมเชื่อ ว่าที่พักไม่เต็มหรอกน้าาาา…
จาก Airport สายสีเขียว ผมนั่งมาลง Bugis Station สายสีน้ำเงิน จากนั้นก็นั่งต่อมายัง China Town ใช่แล้วครับ สำหรับคืนนี้ ผมจะหาที่นอนแถว China Town นี่แหละ เพราะวันพรุ่งนี้ กะเดินเที่ยวเล่นบริเวณนี้ และหาของกินที่นี่ไปในตัว คือบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มี Hostel เยอะมาก ผมเดินไป Hostel ที่ผมเคยพักเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จากนั้นเข้าไปถาม ปรากฏว่ามีห้องว่างครับ เป็นเตียงสองชั้น ห้องรวม รวมอาหารเช้า ตู้ Locker ค่าห้องคืนละ 29 SGD ต่อคนต่อคืน จะไปรออะไรครับ จัดไปสิ ตอนนี้ไม่เกิน 30 SGD สำหรับผมถือว่าถูกหมดนั่นแหละ…
ผมเก็บข้าวของ ติดต่อกับน้องอีกคน และนัดเจอกันที่สถานี Bayfont ครับ เป็นสถานีที่อยู่ใต้ Marina Bay Sand เลย เพื่อที่จะเข้าไปดู EDM Concert กัน ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากประตู ก็เหลือบไปเห็นข้อความที่เคยเขียนเอาไว้เมื่อสองปีที่แล้วครับ แล้วก็มีคนไทยมาเขียนต่อจากผมอีก รู้สึกดีใจและประหลาดใจมาก รู้สึกดีจริงๆ ผมเขียนเอาไว้ว่า “เด๋วกูมาใหม่ PALAPILII Thailand” ไม่คิดเลย ว่าจะได้กลับมาที่นี่จริงๆ ฮาๆ
ต้องบอกว่าทริปนี้ทั้งทริปผมใช้มือถือเครื่องใหม่จากจีนนามว่า Huawei ในการเก็บภาพทั้งหมดครับ รุ่นที่ผมใช้คือ P9 ต้องบอกก่อนเลยว่าใช้ไม่เป็น ภาพที่เพื่อนๆ เห็นในช่วงนี้คือกดถ่ายลูกเดียว ถ่ายแบบ Auto คือเห็นหลายคนบอกว่ามันเป็นเลนไลก้า แล้วมันถ่ายได้หลายแบบ ถ่ายตอนกลางคืนก็สวย หน้าชัดหลังเบลอก็ได้ เออ คือเห็นรีวิวมาเยอะ แต่พอมือถืออยู่กับตัวเอง กูทำห่าอะไรไม่เป็นเลย ฮาๆๆ ช่างมันครับ ตอนนี้อย่าเพิ่งไป Focus ที่เรื่องมือถือ ไปดูบรรยากาศงาน Ultra Singapore กันก่อนดีกว่า…
พอขึ้นมาจากสถานี BayFont ก็อีกโลกหนึ่งเลยครับ ผู้คนแต่งตัวกันแบบกูนิบ้านนอกไปเลย แต่ละคนจัดเต็มทั้งนั้น ผมเดินเข้าไปที่ Hall A ของตึก Marina เพื่อไปแลก Wristband จากนั้นก็เดินตามผู้คนเป็นร้อยไปเรื่อยๆ นึกภาพมดที่มันเดินเป็นแถว ผมแม่งคือหนึ่งในนั้น และไม่นานนักก็ถึงหน้า Gate เพื่อ Scan Bar Code แล้วเข้าไปในงาน คนต่อแถวกันเยอะเหมือนในภาพเลยครับ
หลังจากติดไฟแดงรอ Scan Barcode อยู่ข้างนอกนานกว่าครึ่งชั่วโมง ผมก็เอาร่างกายอันช้ำชีที่ถูกการเบียดเสียดเข้ามาภายในงาน Ultra Singapore ได้เป็นที่เรียบร้อย และนี่คือภาพแรกที่ผมถ่ายเก็บมาให้เพื่อนๆ ดูครับ ฮาๆ
คือมันเป็นเทศกาลดนตรีที่รวมเหล่าประชาชาติมากๆ มีมาจากหลายประเทศโคตรๆ นี่คือช่วงที่ผมไปร้อนๆ ตอนบ่ายสองยังมีคนเยอะขนาดนี้ แล้วตอนกลางคืนจะมีคนเยอะขนาดไหน คิดไม่ออกเลยครับเพื่อนๆ ระหว่างนี้ผมคงพูดอะไรไม่ได้มาก ปล่อยให้ภาพบรรยายบรรยากาศของงานแทนคำพูดของผม น่าจะดีที่สุด
ในช่วงที่เต้นจนปวดหลังหมดแรง ผมเดินออกมาข้างนอกครับ ออกมาจากกลางฝูงชน แล้วก็ถ่ายรูปเล่นตามประสาของคนที่เอามือถือตัวใหม่ไป แล้วอยากรู้ว่าแต่ละโหมดใช้งานอย่างไร ภาพกว้างๆ แบบนี้เลยจัดโหดม Panorama มาดูสักสองรูป แม่งก็ใช้ได้ของมันแฮะ แล้วรู้สึกว่าจะถ่ายง่ายด้วยนะ บวกกับภาพที่ไม่ได้ถูกปรุงแต่งแล้วได้ออกมาแบบนี้เลย ผมว่าเวิร์คทีเดียว
ในงาน Ultra Singapore ในครั้งนี้ หลักๆ ที่เรียกคนมาดู ก็คงจะหนีไม่พ้น Line Up ที่ Main Stage อย่าง Afrojack Deadmua5 และ DJ Snake นั่นเอง คือระเบิดความมันตลอดทั้งงานอะไรเบอร์นั้น
ในคืนแรกช่วงที่ Deadmua5 เล่น ผมยืนไม่ไหวแล้วครับ หมดแรง เหงื่อเต็มตัว แล้วขอตัวเพื่อนๆ ที่นัดเจอกันในงานกลับมาก่อน ก็นั่งจาก Bay Font มาลงที่ Clack Quay เพื่อที่จะกินบากุเต๋ครับ
คือร้านมันอยู่บริเวณแถบๆ Night Life Clack Quay เลยครับ ผมอ่านภาษาจีนไม่ออก แต่เอาเป็นว่าการันตีความอร่อย ที่ผมสั่งชามละประมาณ 7-10 SGD ครับ บวกนู้นบวกนี้ ทานคนเดียวหมด 26 SGD ให้ตายเถอะ แค่มื้อเดียว ทำตังค์เกือบหมดกระเป๋า ฮาๆ เอออออ… แล้วระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ผมค้นพบกับโหมดอีกโหมดหนึ่งของมือถือเครื่องนี้ครับ นั่นก็คือหน้าชัดหลังเบลอ (wide aperture) มันไม่ใช่แค่ทำหน้าชัดหลังเบลอนะครับ แต่มันมีมากกว่านั้น…
ที่บอกว่ามันมีมากกว่านั้นคือ หลังจากที่เราถ่ายเสร็จไป เราสามารถมาปรับแก้ค่า Focus ในภาพได้อีกครั้งแล้ว save เป็นอีกภาพหนึ่งภาพใหม่เลยก็ได้ครับ ถือตอนแรกก็ใช้ไมเป็น แต่พอเริ่มใช้เป็นแล้วสนุกโคตรๆ ผมว่าพรุ่งนี้ผมมีอะไรเล่นแล้วล่ะ ฮาๆๆๆ
ภาพนี้ลองเน้นที่ล้อและตัวรถสามล้อดูครับ เพื่อนๆ สังเกตุไหมว่า ข้างหลังรถสามล้อจะเบลอหมดแล้ว แล้วหากอยากให้สามล้อเบลอก็ทำได้เช่นกัน เพียงแค่เอาภาพที่ถ่ายในโหมด wide aperture มาปรับค่าและตำแหน่งของ Focus แค่นี้เพื่อนๆ ก็จะได้ภาพที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้อีกแบบครับ แต่อย่างว่า เค้าบอกว่า Huawei P9 ถ่ายตอนกลางคืนสวย ไหน ขอดูโหมดกลางคืนสักภาพหนึ่งก่อนเข้านอนสิ จะเป็นอย่างไร
เชี่ยยยยยยยยยยยยย กระเป๋าตังค์กูสั่นคลอน ฮาๆๆ เอาล่ะ วันนี้เหนื่อยแล้ว เด่วพรุ่งนี้จะมาเล่นกล้องถ่ายรูปในมือถือทั้งวันเลย ราตรีสวัสดิ์ครับเพื่อนๆ
เมื่อคืนทานไม่หมดครับ เอา Spare Pork soup กลับมากินตอนเช้าด้วย ที่ที่พัก มีอาหารเช้าให้ และก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครับ ไม่ต้องกังวลหากมีของเหลือที่ทานไม่หมด เอามาแช่ตู้เย็น ติดป้ายชื่อ แล้วเอามาอุ่นทานเมื่อไหร่ก็ได้ครับ วันนี้ทั้งวันผมจะยอมสละตั๋ว Ultra Singapore ในวันที่สองทิ้งครับ รู้สึกว่าเหนื่อย ไม่อยากไปยืนเต้นแร้งเต้นกาเป็นชั่วโมงๆ แล้ว เอาเวลามาเดินเล่นในสิงคโปร์เป็น Guideline ให้เพื่อนๆ น่าจะมีประโยชน์กว่า ผมตื่นโคตรสายครับ เพื่อที่จะไปทานข้าวมันไก่เทียนเทียน
เดินออกมาจากที่พัก ตรงไปทางตลาด Max Well ครับ ก็จะเห็นตึกที่โดดเด่นสวยสง่ามากๆ อดใจไม่ได้ที่จะต้องถ่ายเก็บไว้ ช่วงนี้ทั้งวันเป็นช่วงลองกล้องของ Huawei P9 ครับ กดไปมั่วๆ ไปเจอโหมด Vivid Colour ครับเพื่อนๆ มันคือโหมดเร่งสีดึงสีนั่นเอง หาดสังเกตุ ภาพด้านบนกับด้านล่างของผม ทุกภาพถ่ายออกมาโดยไม่มีการแต่งใดๆ ทั้งสิ้น ภาพด้านบนใช้โหมดปกติ ส่วนภาพด้านล่าง ใช้โหมด Vivid Colour เพื่อนๆ เห็นความต่างไหมล่ะครับ ฮาๆ
จากที่พักของผม เดินไปตลาด Max Well ประมาณ 5 นาทีเท่านั้นครับ และแน่นอนว่าผมต้องไม่พลาดข้าวมันไก่เทียนๆ ที่ถูกเล่าขานมาตั้งแต่กระทู้พันทิพของคนรุ่น 90s กันแน่ๆ
คนต่อคิวเยอะมากกกก เมื่อเปรียบเทียบกับร้านอื่นๆ แล้วสงสารร้านอื่นเลย คือเคยมากินนะ อร่อยดีแต่ก็ไม่ถึงกับต้องต่อคิวกันเยอะขนาดนี้ สำหรับผม ข้าวมันไก่เทียนๆ สู้ข้าวมันไก่เจ๊ดาปากซอยหน้าหอไม่ได้เลยสักนิด แต่ก็นะ มาเก็บภาพให้เพื่อนๆ ได้เห็นว่า ข้าวมันไก่เทียนๆ มีชื่อเสียงขนาดไหน สำหรับผมมื้อนี้ แดกข้าวมันไก่ร้านข้างๆ แม่งก็พอแล้ว ฮาๆๆ
เสร็จจากตรงนี้ ผมก็เดินชมผ่าน China Town ไปเรื่อยๆ ครับ สถานที่ที่ไปก็คงหนีไม่พ้นตลาดถนนคนเดิน วัดต่างๆ บริเวณนั้น ถ้าจะให้ผมบรรยายละก็คงเสียเวลาน่าดู เอาเป็นว่า ไปชมภาพบรรยากาศกันดีกว่า
ในส่วนของภาพด้านบนคือ Buddha Tooth Relic Museum/Temple ครับ เป็นสถานที่ที่ผมเดินผ่านมาสามครั้งแล้ว ไม่เคยเข้าไปดูข้างในเลย อาจจะเป็นเพราไม่อินกับอะไรแบบนี้ จึงไม่ได้เข้าไปดู แต่วันนี้มีเวลาเหลือ เลยถือโอกาสเข้าไปชมความงามข้างใน ตามไปดูความสวยงามของสถาปัตยกรรมข้างในกันครับเพื่อนๆ
ไม่ใกล้ไม่ไกล เดินไปทาง MRT เรื่อยๆ จะเจอ Sri Mariamman Tepple ครับ นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมไม่เคยเข้าไปเหมือนกัน บังเอิญวันนั้นมีงานพอดี ก็เลยถือโอกาสเข้าไปกราบไหว้บูชากับเขาสะหน่อย
เดินเล่นใน China town ร้อนอบอ้าวมาก ก็อย่างว่า แดด Singapore แรงกว่าไทยครับ คนที่จะมาอย่าลืมพกแว่นกันแดด ครีมกันแดด หรือถ้าไม่กลัวคนหาว่าเว่อร์ก็แบกร่มมาก็ได้นะครับ ร้อนจริงๆ จาก Chinatown ผมจะขึ้นรถไฟจาก Chaina Town ไปที่ Somerset303 ครับ ที่นั่นเป็นที่ฆ่าเวลาของผม จะมีสายพานซูชิให้เพื่อนๆ ได้เลือกทานกันเพียงจานละ 1.5 SGD เท่านั้น
หลังๆ มาเริ่มเป็นงานครับ เริ่มถ่ายรูปเป็น เอา P9 ขึ้นมาแล้วกด wide aperture + Vivid Colour ไปเลย ภาพจะออกมาสีสด แถมยังได้หน้าชัดหลังเบลอเหมือนในรูปอีกด้วย ฮาๆ
เวลายังเหลือเยอะครับ จาก Somerset303 ผมนั่งต่อไปไม่กี่สถานีที่ Dhoby Ghaut ที่ถือเป็น landmark แห่งใหม่สำหรับคนไทยที่มาเที่ยวสิงคโปร์ครับ บริเวณนี้จะมีสวนธารณะชื่อ Canning Park ครับ ทีเด็ดของมันคือจะมีบันไดวนที่มีต้นไม้สีเขียวไชช้อนไปกับผนังกำแพง และเมื่อมองกลับขึ้นมา จะเห็นวิวที่ใครหลายคนก็ต้องร้องว้าวววว แน่นอน
เคยเห็นอนันดากับอเล็กว์เค้าแบ่งทีมกันถ่ายภาพตามโฆษณาของ Huawei ไหมครับ เขาบอกว่าโหมดขาวดำหรือ Monochrome เนี่ยโหดมาก มากไปกว่าภาพขาวดำ คือเก็บค่าสีดำได้หลายเฉดสีครับ จึงทำให้ภาพถ่ายที่ออกมาดูมีมิติมากขึ้น อ่ะ ไหนๆ ลองดูสิ ภาพแรกออกมาเป็นงี้เลย ฮาๆๆ
ผมนั่งย้อนกลับไปที่ Bugist Staton ครับ บริเวณนั้นจะมีวัดๆ หนึ่งทีดังมากๆ เขาเชื่อกันว่า ใครขออะไรที่นี่ จะสมหวังดั่งใจปอง ระหว่างทางก็จะเป็นชุมชนชาวจีนเดินกันให้ว่อน บวกกับนักท่องเที่ยวที่แห่ไหลมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่
ระหว่างทางก็เดินไปเจอไอติมห้ามพลาดของสิงคโปร์ครับ คนไทยเรียกไอติม 1 ดอล คือจะเป็นคล้ายๆ ไอติมตัดบ้านเราตัดมาแล้วเอาขนมปังแผ่นห่อ ต้องบอกว่า ห้ามพลาดจริงๆ ครับ ตัวนี้
เดินไปอีกไม่กี่ก้าว ก็มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้วครับ Kwan Im Thong Hood Cho Temple วัดที่ผมบอกว่าคนมาเยอะมากๆ ทุกคนจะจุดธูปคนละ 16 ดอกเพื่อไหว้และพูดคุยกับเทวดา หลังจากนั้นก็จะเอาธูปปักไว้ที่กระถางธูปขนาดใหญ่มหึมา ก่อนที่จะทำการเซียมซีทำนายโชคชะตาของตนเอง
ตัวนี้เป็นใบเซียมซีของผม ความหมายมันต้องดีแน่ๆ ผมรู้สึกแบบนั้น : )
เดินออกมาจากวัดฯ ก็มุ่งหน้าไปยัง Haji Lane ครับ สถานที่นี่เป็นอีกที่ Hipster หนึ่ง ที่เหล่าชาว Hip ไม่ควรพลาด เพราะตึกรามบ้านช่องในแถบนี้ จะเต็มไปด้วยกราฟฟิคตี้สุดชิค บวกกับรูปร่างอาคารที่ยังคงไว้เหมือนปุติกิสแล้ว ต้องบอกว่ามานั่งชิลตั้งแต่บ่ายเหมือนพวกฝรั่งก็ไม่มีเบื่อครับ
คราวนี้เดินกันยาวๆ เลยครับ ครั้งที่แล้วผมพลาดเรื่องหนึ่งไป คือเขาบอกว่า มาที่สิงคโปร์ ห้ามพลาด J.Co Do nut ครับ ผมเดินไปเรื่อยๆ ทางไป Suntec City เดินข้ามสะพานมาทาง Marina bay แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตึก 4 ชั้น G จะมีป้าย J.co Do nut แปะอยู่อย่างชัดเจน
คือไม่รู้จะสั่งอะไร ด้วยเงินที่มีอยู่น้อยนิด เห็นเจ้า Coco Loco มันถูกที่สุด เลยสั่งมาครับ หน้าตาเป็นแบบนี้ อร่อยใช้ได้เลย
มาสิงคโปร์ครั้งนี้ได้มาในที่ที่ไม่ได้มาหลายที่ครับ รวมไปถึง Fountain Of Wealth หรือน้ำพุแห่งความมั่นคั่งด้วย ก็ตั้งใจหน้าตึก Suntec Tower เลยครับ จริงๆ ควรจะมาชมช่วงดึกครับ แต่เนื่องจากไม่มีเวลาและคงไม่ย้อนกลับมา เลยยืนถ่ายภาพ และใช้ตามองความสวยงามจากตรงนี้ ก่อนที่จะเดินไปยัง Marina barrage
ใช้ Maps.me ปักหมุด แล้วเดินมาเรื่อยๆ ครับ ดูเหมือนจะไม่ไกลกันมาก มีแรงก็เดินวนไปครับ คิดดูว่าผมออกมาจากที่พักตั้งแต่สิบโมงเช้า เดินยังฟ้าจะมืดครับเพื่อนๆ อย่างที่บอก มาสิงคโปร์ยังไงก็ต้องเดิน
ระหว่างทางไป Marina Barrage ก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่องครับ ใส่ทุกโหมดที่เขาว่าเด็ด ไม่ว่าจะเป็น wide aperture, vivid colour, monochrome เอามาเล่นให้หมดครับ และคิดว่าช่วงดึกๆ จะลองลุย Night mode กัน อยากรู้ว่าที่เค้าลือดกันว่า Huawei P9 ถ่ายตอนกลางคืนจะสวยขนาดไหน
เดินเข้าใกล้ Marina Barrage ก็จะเห็นภาพนี้ครับ อย่าหาว่าผมทะลึ่งนะครับ เลื่อนลงไปดูที่ภาพก่อน โอเค เห็นแล้วนะ คนเล่นว่าวแม่งเต็มเลยยยยย คือมองไปข้างบนคนเล่นว่าวเยอะมากกกก
เดินมาทั้งวัน นับได้ 20,000 กว่าก้าว แล้วมานอนตายอยู่ตรงนี้ ผมว่าฟินโคตรๆ ครับ เอาล่ะ ขอนอนพักขาตรงนี้ ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังสนามบินนะครับ เครื่องบิน 4 ทุ่ม เราก็ควรไปถึงสนามบินสัก 2 ทุ่มถูกไหม แต่สิงคโปร์พระอาทิตย์ตกโคตรช้า นี่ตอนนอนอยู่คือจะหนึ่งทุ่มแล้ว แสงยังไม่หมดเลย
เห็นความต่างของโหมด Normal กับ Vivid Colour ไหมครับ ด้านบนคือ Normal ด้านล่างคือ Vivid Colour เป็นไงล่ะ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด พักได้สักครู่ ก็เริ่มลอง Night Mode ครับ
ภาพแรกสำหรับ Night Mode ของผม คือยืนไปที่ปลายสุดของ Marina Marrage เอากระเป๋ารองแล้วตั้งโทรศัพท์ขึ้น ตั้้งเวลาไว้สัก 4 วิ ได้ภาพออกมาแบบนี้เลยครับ ฮาๆๆๆ
คือ Night Mode เนี่ย เค้าจะคิดค่าการปรับแสงอัตโนมัติแล้วตั้งเวลาให้เราเองเลยครับ Point สำคัญคือ กล้องต้องนิ่ง นั่นก็คือมีขาตั้งกล้องจะฟินมากๆ นั่นเอง และนี่คือภาพที่ผมไล่ถ่ายช่วงขากลับจาก Marina marrage ไปยัง Helix Bridge ครับ ไปชมความงามกัน!!!
เหลือเวลาอีกราวๆ 20 นาที ก็รีบวิ่งไปสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดครับ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะเก็บภาพ Night Mode จาก P9 ไว้เหมือกัน ภาพแต่ละภาพใช้เวลาราวๆ 20 วินาทีครับ
และแล้วก็เดินทางมาถึงสนามบิน ทริปนี้แม่งโคตรบ้านเลย ตังนิดเดียวแต่ก็เที่ยวได้ครบ เก็บเกือบหมด ต้องขอบใจนาย P9 มากๆ ที่เป็นเพื่อนเดินทาง ขอบใจหมอนรองคอที่เป็นทุกอย่างของการเดินทาง และก็ขอบคุณ Pocket wifi ที่มี internet ให้อัพ ให้คุยกับเพื่อนคลายเหงาลงไปได้อีกเยอะสำหรับการเที่ยวคนเดียว แล้วเจอกันทริปหน้าครับ