N E W Z E A L A N D
สำหรับการเดินทางของผมตั้งแต่ปีสองเป็นต้นมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่า 5 ปีแล้ว การเดินทางของผมทุครั้งมันคือการหาคำตอบให้กับตัวเองเสมอ ไม่ว่าคำถามของการเดินทางจะเป็นอะไร หรือว่ามันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่หนักหนาขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วทุกการเดินทางที่จบลงนั้น มันมักสร้างรอยแผลให้ผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะลึก จะบาง จะน้อย หรือแม้จะใช้คำว่าถลอกก็ตาม ทุกการเดินทางจะต้องมีรอยแผลนั้นกลับมา และรอยแผลที่ผมพูดถึงนั่น ก็คือ “ แรงบันดาลใจ และประสบการณ์ “ นั่นเอง
ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 2016 ผมเริ่มตันกับสถานที่ท่องเที่ยวในไทยรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างแล้ว มันคิดไม่ออกว่าจะไปไหนดี นั่นก็ไปแล้ว นี่ก็เห็นแล้ว โน้นก็ทำแล้ว ส่วนฝั่งยุโรปตัวนี้ขอยังไม่แตะ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ยังไม่สามารถทำให้ตัวเองมีเงินเข้ามาแบบสบายๆ โดยที่ไม่ต้องทำงานได้แล้ว ก็ขอเก็บไว้ก่อนแล้วกัน รู้สึกว่าถ้าจะไปยุโรป คืออยากใช้เวลาสักหกเดือนเดินทางรอบโลกแม่งไปเลย ไม่ใช่ว่าต้องขอหัวหน้าลางานไปเที่ยวอะไรทำนองนั้น รู้สึกแม่งเอ้าท์สัสๆ ไม่ใช่ว่าประเทศไทยไม่ดี หรือประเทศเพื่อนบ้านไม่สวย แต่เราแค่อยากไปให้ครบทุกที่ที่มีอยู่บนโลกเท่านั้น ซึ่งผมก็มีประเทศในฝันของผมอยู่หลายประเทศเช่นกัน และประเทศในฝันของผมอีกประเทศหนึ่งนั้นก็คือ New Zealand แต่การที่จะเดินทางไป New Zealand ของผมนั้นอาจจะมีเวลาน้อยกว่าชาวบ้านชาวช่องหน่อย เพราะมีเวลาจำกัดเพียงแค่ 12 วัน รวมวันเดินทาง ดังนั้นการเดินทางของเราในครั้งนี้ จึงอ้างอิงการท่องเที่ยวในแบบของมนุษย์เงินเดือนที่ได้วันหยุดยาวบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึง New Zealand
วั น ที่ ศู น ย์
เกริ่นมาเยอะแล้ว เชื่อว่าทุกคนน่าจะพอรู้จักผมมาบ้าง ก็ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยแล้วกัน ผมชื่อไม เป็นเจ้าของเพจ PALAPILII Thailand เพจท่องเที่ยวที่อาจจะมีคนเกลียดที่สุดในประเทศ ฮาๆๆ เอาล่ะ เข้าเรื่อง ผมไม่อยากให้เรื่องราวในลิงค์ที่ทุกคนเข้ามาอ่านนี้เป็นบทความเล่าเรื่องราวของผม หรือคล้ายกับหนังสือหลายหน้าที่นักท่องเที่ยวนักเดินทางหลายคนเขาเอาไปเขียนขายกัน บทความบทนี้ผมทำฟรีเพราะอยากทำ และจะไม่เล่าเรื่องของผมมากมาย ผมจะรีวิวในเชิงแนะนำว่าหากเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างผมแล้วมีเวลาเพียงหลักสิบวันใน New Zealand พวกคุณควรจะไปที่ไหน เก็บที่ไหนมันถึงจะคุ้มค่าและไม่เสียเวลาการเดินทางของคุณมากที่สุด และแน่นอนสำหรับบทความนี้ ผมจะแจงราคาทุกอย่างให้พวกคุณทราบเท่าที่จะทำได้ เอาล่ะ เรามาเริ่มรีวิวกันแบบเป็นกันเองเลยดีกว่าเนอะ คิดว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งของคุณที่มานั่งโม้ในช่วงพักเที่ยงอันแสนจะน่าเบื่อในเช้าวันจันทร์ให้พวกคุณฟังก็แล้วกัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย!!!
ตอนนั้นผมเช็ควันหยุดงานบวกกับวันลาที่ขอหัวหน้าเพิ่มเข้าไปสามารถรวมกันได้มากสุดถึง 13 วัน หลังจากที่ผมรู้ว่าตัวเองมีเวลา 13 วันสำหรับประเทศๆ นี้ ผมก็เริ่มหาตั๋วเครื่องบินก่อนเลย และที่บังเอิญที่สุดและเป็นปัจจัยหลักสำหรับการเดินทางไปประเทศนี้นั่นก็คือ ตั๋วไปกลับที่ค้นหาจาก Jetradar ถูกมาก ผมเจอตั๋วไปกลับเพียง 12,000 กว่าบาทเองอ่ะ แล้วงี้จะไม่ให้ไปได้ไง จำได้ว่าตอนนั้นพยายามชวนเพื่อนทุกคนให้ไป และคิด Cost ความเสียหายเป็นกลมๆ ที่ 50,000 บาท แต่เชื่อมั้ยว่า ไม่มีใครไปกับผมเลย วันไม่พอบ้างล่ะ เงินไม่มีบ้างล่ะ แม่ไม่ให้บ้างล่ะ แฟนไม่ไปด้วยบ้างล่ะ ไม่มีคนเลี้ยงหมาบ้างล่…พอ! พอค่ะอิดอก เด่วกูจองไปคนเดียวเองค่ะ
ก็นั่นแหละครับ เป็นการฉายเดี่ยวแบบตั้งใจสุดๆ ถ้าไม่มีใครไป กูไปเอง! แต่สุดท้ายก่อนไปก็พยายามชวนเพื่อนๆ อยู่หลายคนให้เข้ามาร่วมแก๊งค์ครับ เนื่องจากว่าพอหาข้อมูลไปเยอะๆ เนี่ย จะรู้ว่า New Zealand เป็นประเทศที่ต้องใช้รถบ้านครับ และแต่ละที่ห่างกันมากๆ ระบบขนส่งไม่ได้มีถี่เหมือนญี่ปุ่นหรือบ้านเรา ส่วนใหญ่เค้าไปรถบ้านกัน ก็ถ้าจะให้เช่ารถขับคนเดียว ผมว่าเกิน 50,000 แน่ๆ แต่เอาล่ะ สุดท้ายแล้วเราก็มีทีมอยู่ทีมหนึ่งที่จะไปลุย New Zealand พร้อมกันแล้วและทั้งสี่คนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะครับ แต่ทุกคนรู้จักผม เพราะเคยร่วมทริปและร่วมงานกับ PALAPILII Thailand นั่นเอง เรามาเริ่มแพลนทริปของเรากันเลยดีกว่า ม่ะ!!
สำหรับ New Zealand จะมีอยู่ 3 เกาะด้วยกันครับ คือเกาะเหนือ เกาะใต้ และเกาะใต้เหี้ยๆ ครับ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ที่สามารถพบแสงใต้ได้นั่นเอง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเดินทางไปเกาะใต้ ถ้าโชคดี เราก็อาจจะพบแสงใต้ครับ แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์
ในทริปนี้ผมตัดสินใจจะเก็บสองเกาะ นั่นก็คือ เกาะเหนือและเกาะใต้ จากเวลา 13 วัน ตัววันเดินทางทิ้งไป 2 -3 วันเลยครับ เท่ากับว่าเราจะเหลือเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ใน New Zealand จริงๆ เพียง 10 วันเท่านั้น ซึ่งผมแบ่งออกเป็น 2 พาร์ทหลักๆ คือ สองวันแรกเกาะเหนือ แปดวันที่เหลือเกาะใต้ เริ่มจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ เอาล่ะ เราไปดูกันว่า เวลา 2-3 วันในเกาะเหนือ เราควรเก็บที่ไหนอะไรยังไงกันบ้าง และสำหรับทริคการเดินทางจากประเทศไทยมานิวซีแลนด์ง่ายๆ คือการเทียบราคาตั๋วเครื่องบินของสายการบินต่างๆ จาก Jetradar ครับ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Jetradar คืออะไร Jetradar คือเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นที่จะจับสายการบินจากทั่วทุกมุมโลกมาเปรียบเทียบราคากันให้เห็นกันจะๆ เลย ว่าสถานที่ที่เราจะไป มีเวลาไหนบินบ้าน สายการบินไหนบ้าง และที่ผมชอบที่สุดคือมีราคาไหนบ้างโดยเรียงจากน้อยไปมากตามความต้องการของเรา มากไปกว่านั้นเพื่อนๆ ยังสามารถจองตั๋วแบบ Multiple route ได้อีกด้วย อย่างในกรณีของผมก็คือ จองจากไทยมานิวซีแลนด์ และจองต่อจากโอ๊คแลนด์มาไครเชิร์ทแยกกัน ราคาก็จะถูกลงไปอีกแล้วแต่เทคนิค อย่างไรก็ตาม ถ้าเพื่อนๆ กำลังจะเดินทางไปนิวซีแลนด์หรือที่ไหนๆ ของเข้าไปเปรียบเทียบและจองตั๋วเครื่องบินได้ที่ Jetradar เลยครับ นอกจากจะเปิดใน website แล้ว เพื่อความสะดวก เพื่อนๆ ยังสามารถโหลดแอ็พตัวนี้ไว้ในเครื่องได้ด้วย สำหรับ iOS: http://goo.gl/JqVKeZ และสุดท้าย สำหรับ Andriod ครับ http://goo.gl/OEf1GB
เ ก า ะ เ ห นื อ
เกาะเหนือจริงๆ แล้วมีอะไรให้เราทำเยอะเหมือนกันครับหากลองศึกษาข้อมูลดีๆ ไม่ว่าจะเป็นเดินป่า ปีนเขา ล่องแก่ง เล่นเซิร์ฟ อาบแดด หรือชมความงามรอบภูมิประเทศก็ดีงามไม่แพ้เกาะใต้เลย แต่เนื่องด้วยพื้นที่ที่น้อยกว่า บวกกับสภาพอากาศที่ยังสู้เกาะใต้ไม่ได้เท่าไหร่ เกาะเหนือจึงเป็นเกาะที่ใครหลายคนตัดออกจากตัวเลือก แล้วบินข้ามทะเลไปลงเกาะใต้เลย อันนี้ก็แล้วแต่ความต้องการและเวลาของแต่ละคน แต่สำหรับผมแล้ว เกาะเหนือก็มีดีของมัน
วั น ที่ ห นึ่ ง
ผมเดินทางถึงสนามบิน Auckland เวลาราวๆ 17.00 น. หลังจากนั้นก็คุยกันว่าเรามีเวลาเหลือแค่เพียงช่วงเย็นยวันแรกถึงเย็นวันที่สามเท่านั้น จะทำอะไรต้องรีบทำ หรือจะไปไหนก็ต้องรีบไป ไม่งั้นแล้วเราจะมีเวลาอยู่ที่เกาะเหนือน้อยมาก เราจึงตัดสินใจเช่ารถที่สนามบินครับ ซึ่งในตัวสนามบิน Auckland ก็มีบริษัทเช่ารถอยู่หลายเจ้า ซึ่งเราถามราคาทุกเจ้า แต่เจ้าที่ถูกที่สุดคือของ AVIS ครับ ราคารวมตั้งแต่เย็นวันนี้จนถึงเย็นวันที่สามของทริปราคาเพียง 240 NZD เท่านั้น ไม่รอช้าที่จะเลือกบริษัทนี้ และสำหรับเอกสารที่ใช้สำหรับขับขี่ใน New Zealand คือเพียงใบขับขี่ของประเทศเราก็เพียงพอครับ หรือหากใครมีใบขับขี่สากดพกติดตัวมาพร้อมกับใบขับขี่ในไทยด้วยก็จะดีมากๆ กฎหมายของที่นี่คือห้ามขับขี่เกิน 100 km/hr
ผมเปิด Maps.me แอพลิเคชั่นดูแผนที่ออนไลน์ ก็พบว่า เมืองที่เราจะไปนั้นอยู่ห่างจาก Auckland เพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อเที่ยบกับการนอนอยู่ใน Auckland แล้ว สู้เราไปตายเอาดาบหน้าที่ Rotorua ดีกว่า เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเกาะเหนือส่วนใหญ่จะอยู่ที่เมืองนี้แทบทั้งหมด
สำหรับคืนนี้ ผมต่อราคาที่พักที่ Manhattan Motel ได้ราคา 200 NZD นอน 2 คืน ซึ่งเป็นที่พักที่มีห้องขนาดใหญ่มาก และเหมาะสมกับราคามาก โดยเฉลี่ยแล้ว ราคา Hostel ต่อหัวของที่นี่ จะอยู่ที่ราวๆ 30-50 NZD/Pax ถามว่าแพงไม่ ตอบว่าไม่ แต่ถ้าไปกันหลายคน สู้อยู่บ้านหรืออะไรแบบนี้แล้วหารกัน มันจะดีกว่าครับ
ที่ตัดสินใจนอนทีนี่สองคืน เพราะแผนมันเป็นแบบนี้ครับ เช้าวันที่สอง จะเก็บสถานที่ท่องเที่ยวรอบตัว Rotorua ให้หมด ยาวไปจนถึงเมืองที่อยู่ถัดไปจาก Huka Fall แล้วตื่นเช้ามาวันที่สามรีบไป Hobbiton (หมู่บ้านฮอบบิท) จบด้วย Waitomo Cave (ถ้ำหนอนเรืองแสง) แล้วคืนรถที่สนามบิน จากนั้นก็บินไปเกาะใต้เวลาหนึ่งทุ่ม ถือว่าเป็นการจบทริปเกาะเหนือนั่นเอง
วั น ที่ ส อ ง
คือตื่นกันแต่เช้าตรู่ เพื่อไล่เก็บสถานที่ที่วางแผนเมื่อคืนให้ได้ตามเป้า แต่ฟ้าก็ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ตกหยุดๆ แล้วฟ้าก็ไม่เปิด ไม่ฟ้าอย่างที่คิด ผิดหวังนิดหน่อย ไม่สิ ผิดหวังเยอะอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร ชิลๆ น้า มาเริ่มที่แรกกันเลยดีกว่า…
Rainbow Springs ที่นี่คือสวนสัตว์กึ่งสวนสนุกครับ เหมาะสำหรับเด็กน้อยและครอบครัวมากกว่า พวกเราไม่ค่อยอินเท่าไหร่ และแนะนำว่าหากเพื่อนๆ มีเวลาน้อย ให้ตัดตรงนี้ทิ้งไปได้เลย แต่ที่เด็ดๆ ของ Rainbow Springs ก็คือ Fairy Springs ครับ เป็น Boat Coaster ซึ่งไอ่เจ้า Boat Water Coaster มันก็คล้ายๆ กับ Supper Splash ใน Dreamworld บ้านเรานี่เอง ยังไงลองไปดู
ค่าเข้าชมคนละ 40 NZD
ย้อนกลับมาที่ Te Puin Thermal Park ที่นี่จะเป็นอีกที่ที่เมื่อมานี่นี่จะเห็นรูป Promote เต็มบ้านเต็มเมือง เต็ม Poster ไปหมดครับ และที่พีคสุดของมันคือ น้ำร้อนๆ ที่พุ่งออกมาจากหินนี่แหละ แต่ตอนผมไปไม่เห็นนะ ขี้เกียจรอ เดินวนรอบดูอย่างอื่นไป โดยสภาพบรรยากาศก็จะคล้ายๆ กับคาวาอิเจี้ยนเลย กลิ่นเดียวกันเป๊ะ แต่ที่นี่เป็นน้ำร้อนๆ เท่านั้นเอง แล้วควันนิแบบ คลุมบริเวณตลอด สวยแปลกตาดีครับ
ค่าเข้าชมคนละ 51 NZD
Wai-O-Tapu ขับมาด้านล่างอีกหน่อย บังเอิญมาเจอที่นี่ครับ ผมก็หาตั้งนานว่าบึงที่มันมีขอบบึงสามสีมันอยู่ตรงไหน สุดท้ายก็มาเจอโดยบังเอิญครับ ตอนแรกคิดว่า เป็นที่แรกที่ไป แต่สุดท้ายกลับมาเป็นที่นี่นี่เอง คือที่นี่ผมว่าควรมามากๆ เพราะธรรมชาติที่นี่แปลกตาและสมบูรณ์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่มีหลายสี waling route ที่ดูมีระดับ บรรยากาศที่เหมือนอยู่กลางป่าแต่ปลอดภัย เจ้าหน้าที่ที่นั้นเค้าทำงานดี และ Highlight ก็คือเจ้าบ่อน้ำขอบสามสีนี่แหละที่ผมอยากมาเห็น เดินไปจนสุดทางยังบ่นกับเพื่อนอยู่เลยว่า
” นี่เราบินไกลมาเป็นพันไมล์เพื่อมาดูน้ำเสียระบายทิ้งจากโรงงานกันหรอ ”
ฮาๆ ก็คือมันเหมือนมากครับ คือมันมีหลายสี มีควัน มันมีความร้อน และมีกลิ่นของกำมะถัน แต่ก็อย่างว่านะ ที่นี่มันคือธรรมชาติ
ค่าเข้าชมคนละ 32.5 NZD
Huka Falls เป็นอีกที่ที่ผมตั้งใจที่จะมามากๆ แต่ช่วงที่เราไปฝนมันตก สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็นครับ ใน google นิฟ้าาาเชีะ พอมาเจอของจริงนะหรอ ฮาๆๆ สวยยยยยย ใครว่าไม่สวย นิคือเดินตากฝนลงไปท่ามกลางอุณหภูมิสองหลักต้นๆ บวกลม เพื่อที่จะหยิบ iphone มาถ่ายภาพให้เพื่อนๆ ดูเลย แล้วที่สำคัญ ที่นี่เค้ามี Jet Over หรือ Jet boat ให้เพื่อนๆ ได้สนุกกันด้วย โดยเรือจะแล่นเข้าไปในใจกลางน้ำตกเลย ถ้าอากาศดีเราคงได้เล่น แต่วันนี้ บายยยย
จริงๆ เราไปต่อกันที่ Lake Taopo ด้วยครับ แต่ฝนตกหนัก เลยทำให้วิวไม่เป็นใจเลย มืดๆ มัวๆ ไม่เห็นความพีคของอะไรทั้งสิ้น จะไปไหนก็ไม่ได้ ทำอะไรได้ก็ไม่เยอะ ฝนมันตกครับ สงสัยต้องกลับมาซ่อม T T
ไม่เสียค่าเข้าชม แต่หากจะเล่น Jet Boat ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่หรือ Book ผ่าน website
วั น ที่ ส า ม
สำหรับสุดท้ายบนเกาะเหนือเราจะรีบตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อใช้เวลาเดินทางไปยังหมู่บ้านฮอบบิท หลังจากนั้นจะรีบบึ่งไปทางตะวันตกของเกาะเพื่อไปชมถ้ำหนอนเรืองแสงครับ เราไปดูภาพแต่ละสถานที่กันเลยดีกว่า
Hobbiton Movie Set หรือหมู่บ้านฮอบบิท ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่เรียกแขกมากๆ โดยเฉพาะสาวกฮอบบิท แต่ผมแม่งไม่อินว่ะ แถมแพงด้วย คือพอเราเข้าไป ก็จะมีคนมาคอยแนะนำตลอดทางครับ โดยเริ่มตั้งแต่นั่งบัสเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งข้างทางก็จะเป็นทุ่งหญ้าที่มีฝูงแกะเป็นร้อย (สวยมากตรงนี้ ผมชอบ ) เข้าไปราวๆ 20 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน วิทยากร เค้าก็จะอธิบายว่า ตรงนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ตัวละครทำอะไรกับใครบลาๆ ซึ่งโคตรรร น่าเบื่อสำหรับคนที่ไม่เคยดูหนังมาก่อนอย่างผมมากๆ สุดท้ายสำหรับที่นี่ อย่าลืมดื่มเบียร์ในหมู่บ้านนี้ล่ะ ขอบอกว่าเด็ด
ค่าเข้าชมคนละ 79 NZD
ที่สุดของที่สุดของเกาะเหนือนิวซีแลนด์ก็คงจะหนีไม่พ้นที่นี่ครับ Waitomo Glow Worm หรือถ้ำหนอนเรืองแสงนั่นเอง ผมใฝ่ฝันอยากจะมาที่นี่นานมากแล้ว และสุดท้ายฝันก็เป็นจริง คือพอเราเข้าไปข้างในถ้ำมันก็จะมืดหมดครับ หลังจากนั้นก็จะต้องนั่งเรือในถ้ำมืดๆ แล้วลอยไปในถ้ำที่มีแต่หนอนเรืองแสงเต็มไปหมดเหมือนในภาพ ให้ตายเถอะ บนโลกเรามันมีอะไรแบบนี้อยู่จริงๆ หรอเนี่ย ผมโคตรชอบเลย แล้วขอบอกว่าที่นี่ Unseen ที่สุดแล้ว มากไปกว่านั้นคือหากเพื่อนๆ มีเวลา บริเวณรอบถ้ำหนอนจะมีหลายถ้ำครับ ซึ่งแต่ละทำก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ได้เดินทางเข้าไปชมหนอนเรืองแสงในหลากหลายรุปแบบ ไม่ว่าจะเป็น tubing เข้าไป trekking เข้าไป zip line + hiking เข้าไป ถ้าพวกเรามีตังและมีเวลามากกว่านี้คงจัดไปแล้วล่ะ
ค่าเข้าชมคนละ 49 NZD
จริงๆแล้วสถานที่ท่องเที่ยวของเกาะเหนือยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะครับ ไม่ว่าจะเป็น Spreddy water ที่เป็นการจับแฮนด์แล้วไหลไปตามน้ำไหลเชี่ยวกราก หรือล่องแก่งที่ตำจากน้ำตกสูง 3 เมตร เดินป่าปีนเขาในผืนป่าที่เขียวอุดมสมบูรณ์ ไปทางตอนเหนือของเกาะไปชมหาดทรายขาวๆ ทะเลสวยๆ รวมถึงสัตว์น้ำเค็มที่เมืองไทยไม่ค่อยมี หรือแม้กระทั่งเข้าไปชมเมืองศิวิลัยย่าน Downtown อย่าง Auckland มีหมดครับ ขึ้นอยู่กับว่า วันและงบของเพื่อนๆ จะพอหรือเปล่าแค่นั้น แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ได้เจียดเวลาแบ่งมาใช้ชีวิตที่เกาะเหนือแล้วเก็บสถานที่ที่ผมพูดมาข้างบนตัวอย่างดังกล่าวได้สัก 80% ก็ถือว่าครบองค์และเอากลับไปโม้ที่ไทยได้แล้วล่ะครับ
เ ก า ะ ใ ต้
ในคืนนี้ จาก Auckland เราจะบินไป Christchurch กัน ซึ่งใช้เวลาบินเพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้น และสำหรับคืนนี้พวกเราโชคดีตรงที่มีคนมารับ และมีที่พักให้ฟรี นั่นก็คือพี่แป้งที่เป็นคนรู้จักกับสีน้ำ (น้องที่ร่วมทริปด้วย) นั่นเอง คือน้องเคยมาเรียนและทำงานอยู่ที่นี่ครับ เลยรู้จักคนไทยที่อยู่ที่นี่ ทำให้เราได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเลย และต้องขอบอกว่าเกาะใต้นี่แหละ เป็นที่ที่เผ็ดโคตรๆ สำหรับทริปนี้
ดูแผนที่เดินทางเกาะใต้จาก Google Map: https://goo.gl/QXb29w
วั น ที่ สี่
เมื่อคืนนอนสลบกันเลยก็ว่าได้ บ้านพี่แป้งเป็นบ้านเล็กๆ อยู่ใจกลางเมืองเลยครับ ถัดไปจากบ้านพี่แป้งจะเป็น Museum แล้วคือถัดไปอีกนิดก็เป็น Chrischurt เลย จุดที่ห้ามพลาดเมื่อมาเมืองนี้ แต่สำหรับเช้าวันนี้ เราคงไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นในเมืองนี้ครับ เพราะเราต้องรีบไปเอารถบ้าน แล้วรีบเดินทางไปสักที่ตามรูทที่เรากำลังจะวางแผนกันครับ ย้ำและขีดเส้นใต้อีกครั้ง “รูทที่เรากำลังจะวางแผนกัน” ใช่ครับ ก็ตั้งแต่มาก็ด้นสดตลอดเรื่องสถานที่ เตรียมพร้อมก่อนมาเพียง 50% เท่านั้น นี่คงเป็นเสน่ห์ของการไปตายเอาดาบหน้าที่ผมโคตรชอบเลย
หลังจากเรามาถึงสนามบิน ก็มีรถจากบริษัทรถบ้านติดต่อมารับเราครับ ซึ่งในครั้งนี้เราจองรถบริษัท Britz ครับ ก็เป็นรถบ้านขนาดสี่คนกำลังดี พอไปถึงก็จะมีการ Orentation วิธีการขับ การใช้รถ รวมถึงพันโซ่ในล้อสำหรับพื้นที่ที่เป็นหิมะหนา ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายครับ ระหว่างที่ Orentation พวกเราก็แบ่งส่วนกันวางแผน แบ่งส่วนกันเตรียมรถ แบ่งส่วนกันทำเรื่องประกันภาย บลาๆ เรียกได้ว่า Team work ชั้นดี
ย้อนกลับไปที่สนามบินในคืนวันที่สาม ทุกอย่างจะประสานงานได้ เราต้องมี SIM โทรศัพท์ครับ พวกเราเลือกใช้ Moda fonepackage เล่นเน็ต + โทรออก 200 นาที ราคา 79 ND ซึ่งก็ถือว่าจำเป็นสำหรับการติดต่อประสานทริปครับ ซื้อมา SIM เดียวแล้วใช้กัน 4 คน เรียกได้ว่าประหยัดสุดๆ แชร์ Hotspot กันเอา เน็ตจะมีอยู่ 5 GB ถ้าหมดก็ซื้อ Pop-Up เพิ่มตามร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมันเอาครับ
กลับมาที่ออฟฟิศของ Britz เขาก็จะมี SIM ให้ฟรีเช่นกัน เพื่อนอย่าลืมหยิบมานะครับ สามารถหยิบมาใส่มือถือไว้ได้เลย เพระอย่างน้อย เวลาเจอสถานที่ที่ปล่อยสัญญาณ WIFI เราจะได้มีเบอร์ใน New Zealand ไว้ใช้อ้างอิงเพื่อแลกกับรหัสเล่น Internet อันนี้ล้ำโคตรๆ เป็นข้อผิดพลาดที่ผมเจอมา เพื่อนจะได้ไปใช้บริเวณ Queenland และจุดพักรถ Authurs pass ครับ
ว่าแต่ผมเล่าไปถึงไหนแล้ว… อ่อ ถึงตอนที่แบ่งกันไปทำนู้นทำนี่ เอาล่ะ เอาเป็นว่าเราพร้อมที่จะออกเดินทางแล้วกัน ก็ถ้าพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางไปเลยยยย!!!
วีดีโอแรกของการเดินทาง เจอน้องแกะข้างทางน่ารักมาก: https://goo.gl/jQwuim
ที่แรกที่เราแวะมาคือ Lake Tekapo ครับ คือขอบอกว่าตื่นเต้นตั้งแต่ขับรถออกจาก Christchurch แล้วล่ะ เพราะระหว่างทางมีทั้งฝูงแกะ และภูเขาหิมะเต็มไปหมดเลย บวกกับทุ่งหญ้าจากสีเขียวสวยๆ ที่เริ่มกลายเป็นสีทองตามภูมิภาคของอากาศอีก เรียกได้ว่าเก็บครบหมดทุกความรู้สึกจริงๆ สำหรับ Lake Tekapo ส่วนตัวผมแล้ว สวยและยิ่งใหญ่มากกกก อาจจเป็นทะเลสาบแรกที่ได้เห็นด้วยมั้ง เลยตื่นเต้นแบบสุดๆ ลงไปเดินเล่นบนน้ำอย่างไม่คิดอะไรจนลืมไปว่า นี่มันเมืองหนาวนะ ฮาๆๆ
สำหรับที่นี่ เค้าว่ากันว่าเกี่ยวกับดวงดาวดาราศาสตร์ หรือเป็นที่ศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์อะไรสักอย่าง ผมไม่มีข้อมูลตรงนี้ แต่เอาเป็นว่า เคยอ่านเจอในกระทู้หนึ่ง เขาบอกว่า ตรงนี้เป็นจุดดูดาวที่สวยที่สุดในบริเวณนี้ ซึ่งตอนแรกเราก็อยากจะ Camp นอนกันตรงนี้เลยน แต่คือก่อนขึ้นมาเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ต้องลงมาก่อน 5 โมงเย็น เอาล่ะ เราไปหาที่นอนที่อื่นก็ได้ แต่ข้างบนนี้ขอบอกว่า สวย และสุดจริงๆ ครับ ห้ามพลาดเด็ดขาด
ค่านำรถเข้าไปในพื้นที่ 5 NZD
จริงๆ แล้วหากเพื่อนๆ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่มันชัดเจนกว่าของผมเนี่ย เพื่อนๆ ต้อง google ไปพร้อมๆ กันครับ หากผมจะหาข้อมูลมาแปะไว้เลยก็ทำได้ แต่มันจะไม่สนุกล่ะสิ เอาเป็นว่าอย่างที่บอก กระทู้นี้เน้นแผนการเดินทาง งบประมาณ และภาพประกอบน่าจะดีกว่า ส่วนหากเพื่อนๆ อยากรู้เกี่ยวกับประวัติของแต่ละสถานที่หรืออะไรที่มากกว่านี้ ก็ google น่าจะดีที่สุด ก็แบบนี้ล่ะครับ สถานที่ท่องเที่ยวของเราเลยออกนอนแผนบ้าง เราขับรถตามทะเลสาบมาโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไร แค่อยากหาจุดดูพระอาทิตย์ตก ขับไปขับมาก็เจอทางตัน และทำให้เราได้รู้จัก Lake Alexandrina โดยบังเอิญ
สำหรับคืนที่สี่ เราดั้นด้นกันจนมาถึง Mount Cook Village และเข้าไปนอนกันที่ White Horse Hill Camping บริเวณ จุดเดินเท้าของ Hooker Lake trekking route ครับ สภาพแวดล้อมตอนนั้นคือมีแต่หิมะ และอุณหภูมิติดลบที่ 10 องศาเซลเซียส ปกติ Camping ต่างๆ จะมีน้ำบริการ ห้องน้ำ น้ำใช้ ไฟฟ้า แต่ที่นี่คือแบบ ทุกอย่างแข็ง แม้แต่น้ำกินน้ำใช้ก็ใช้ดื่มใช้กินไม่ได้ แข็งตามท่อหมดครับ นอนกันหนาวมาก และคืนนี้เป็นคืนแรกสำหรับการเปิด Hearter นอนในรถอุ่นๆ เพียงเพื่อที่จะให้รีบเช้าในวันรุ่ง มีมาม่าก็ต้มทานกันไปก่อนนอนครับ
วั น ที่ ห้ า
สำหรับเช้าวันที่ห้าเราตื่นมาจากเสียงเคาะประตูรถของเจ้าหน้าที่และเก็บเงินค่าพื้นที่เราไปคนละ 10 NZD ครับ จริงๆ ไม่ค่อยอยากจะจ่ายตังค์เท่าไหร่ เพราะไม่ได้ใช้บริการอะไรเลย ชาร์จไฟก็ไม่ได้ใช้ ใช้น้ำก็ไม่ได้ใช้ แค่มาจอดรถนอนเท่านั้น ด้วยอุณหภูมิที่ค่อนข้างหนาวมาก ในช่วงตีสามติดลบกว่า 13 องศาฯ พอตื่นมา 8 โมงกว่าๆ เลยทำให้ทีมเราหมดเรียวหมดแรงและอยากจะนอนซุกใต้ผ้าห่มครับ แต่สำหรับผมคงไม่ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ถ้าจะไม่ให้เข้าไปสัมผัสกับทะเลสาบด้านใน ก็ดูเหมือนว่าจะมาไม่ถึง ได้พี่ตอยมาร่วมโดนทางอีกคน ไม่มีน้ำ ไม่ได้ทานข้าวเช้า และไม่รู้ว่าไกลแค่ไหนจะถึง แต่เราก็ตัดสินใจไปตายเอาอาบหน้า และนี่คือสถานที่ต่างๆ ของวันที่ห้าครับ
ต้องขอบอกว่าอิปิคมากๆ สำหรับที่นี่ คือไม่คิดว่าจะได้มา trekking ที่นิวซีแลนด์ แม่งพีคไปอีกกกก ยิ่งว่า ABC กุบอกเลย เพราะแม่งต้องแข่งกับเวลา และคือที่นี่แม่งหนาวมาก ก่อนเดิน ผมปล่อย Drone เก็บบรรยากาศ คิดดูแล้วกัน มันหนาวจนแข็ง แบตตาย Drone ผมตกแบบเอ๋อๆ ไปเลย ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยิ้มกับพี่ตอยแล้วบอกว่า “ช่างมัน” อิสัส ในใจกุนิแบบ กล้องสีน้ำล่ะ (ยืมกล้องสีน้ำติดโดรน) แล้วโดรนกุล่ะ (ราคา 50,000) โถอิสัส นิกุจะหมดเป็นแสนเลยหรอทริปนี้ ฮ้องฮ้ายยยยย
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เจ้า Hooker trekking route เนี่ย ผมบังเอิญไปเจอในกระทู้หนึ่ง เค้าบอกว่า route นี้สวยมาก ควรมาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความคิดที่ว่า เอออ… ถ้าจะมีแต่ Road trip ก็กลัวจะน่าเบื่อ มาเสริม trekking เข้าไปด้วยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อิดอกกกกก นี่แหละปัญหา ไม่มีใครไปกับเมิงเลย มีเมิงบ้าอยู่คนเดียว ดีนะพี่ตอยเดินไปด้วย ก็เดินไปกลับราวๆ 3-4 ชั่วโมงในหน้าหนาวครับ คือหิมะเยอะมาก ตอนแรกจะไปเจอ Mueller Lake ก่อนที่จะไปถึง Hooker lake ครับ ขอบอกว่าสวยมาก สวยแบบยอมแพ้ สวยแบบ อิสัส เมิงจะสวยไปไหน อิเหี้ย!!! ฮาๆ เออนั่นแหละ พอดูใน map อ้าว นี่มันคือข้างหลังของ Fox Glacier นี่หว่า ซึ่งเด่วอีก 2-3 วันเราจะไปที่นั่นกันครับ…
ขับออกมาจากบริเวณ Hooker Lake ครับ น้ำมันหมด และดูเหมือนว่าจะไปต่อไม่ได้ ก็เลยต้องวนเข้ามาใน Mountcook Village มาหาที่เติมน้ำมัน และคือที่นี่ไม่มีบริการจ่ายหน้าปั้มครับ ต้องใช้บัตรเครดิต ซึ่งก็ใช้ไม่ได้ เลยต้องโทรไปขอความช่วยเหลือ สรุปเค้าบอกว่าให้เราไปจ่ายเงินที่ The Hermitage Hotel จากนั้นถึงจะเติมน้ำมันได้ และนั่นแหละครับ เลยทำให้เราได้ที่นั่งชิลๆ จิบอะไรร้อนๆ ทานอะไรรองท้องก่อนเดินทาง
ขับออกมาได้ไม่นาน แต่ก็เหมือนนาน ทำไมตะวันมันดูหมดเรี่ยวแรงแบบนี้ เราขับย้อนกลับมาที่ Lake Pukaki ครับ คือขามาเห็นแว๊บๆ ว่ามีฟาร์ม Salmon แถวนี้ ขับมาจอด ตามแผนที่เขียนว่า View of Mt.cook Lake Pukaki ก็เลยเดินเข้าไป ปรากฏว่า อื้อหืออออออ Salmon ทั้งนั้น ตอนนั้นตื่นเต้นโคตรๆ จะได้กิน Salmon ที่อยู่ใกล้ธรรมชาติที่สุดก็คราวนี้ และหลังจากลิ้นได้สัมผัสกับเนื้อแซลมอนที่เฉือนหนาๆ แล้วละก็ ขอบอกว่า อร่อยโคตรๆๆๆ เสียดายที่วาซาบิไม่สดเหมือนโตเกียว ไม่งั้นล่ะก็ เลิศศศศศ!!!
คืนที่ห้า น้องสีน้ำติดต่อกับโฮสที่สีน้ำเคยมาอาศัยสมัยเรียนอยู่ที่นี่ครับ แต่เหมือนเธอบอกว่าขอเวลาสักหนึ่งทุ่ม เราก็เลยขับรถเล่นจนมาเจอวิวข้างทางแบบนี้ครับ ก็จอดรถข้างทางแล้วเอาโต๊ะเก้าอี้ พร้อมกับต้มน้ำร้อนมานั่งดื่มนั่งชิลกันข้างถนนรอเวลา เด่วนะ นี่วงข้างถนนหรอ เอออ ยังกะเขาใหญ่บ้านเราเลยสิเมิง ๕๕ และเป็นการดีที่เค้าจะได้เจอกัน และเป็นการดีที่เราจะมีโอกาสได้ที่พักฟรีครับ ซึ่งคุณลุงและคุณป้าน่ารักมาก เตรียมอาหารให้เราอย่างดี ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นไก่อบที่อร่อยมาก เรียบได้ว่า มื้อนี้ เราไม่ต้องทานของกากๆ อีกต่อไป ไม่ต้องทานอาหารขยะ แต่ทานอาหารที่มาจากคนที่นี่ทำให้กินจริงๆ ที่นอนอุ่น บ้านน่าอยู่ บรรยากาศสบาย นอนยาวๆ ไปเลยยยยย
ปล. มาอยู่เกาะใต้ได้สองวัน เห็นทางช้างเผือกสองวันเลย ที่นี่ฟ้าเปิดแบบโหดมาก ไม่ต้องใช้กล้องแล้วตั้ง shutter B ก็สามารถเห็นทางช้างเผือกได้ด้วยตาเปล่า ควรค่าแก่การซื้อตั๋วเครื่องบินมาอย่างยิ่ง
วั น ที่ ห ก
วันที่หกผิดแผนไปเยอะครับ จริงๆ ต้องไต่ไปเรื่อยๆ แล้วเรียบทะเลไปนอนที่ Dunedin แต่ระหว่างที่ลุกเข้ามา Breakfast กับคุณลุงคุณป้า ก็ได้สนทนากันเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวโดยรอบของเมือง Twizel กันอยู่พอสมควร ผมอ่ะ เห็นภูเขาน้ำแข็งอยากเล่น Snowboard มากๆ เกิดมายังไม่เคยเล่น คุณป้าเลยพูดโปรยๆ ว่าแถวนี้มีอยู่นะ ชื่อ โอโฮอะไรสักอย่าง แล้วบอกทางมาแบบคร่าวๆ คุณลุงตบท้ายด้วยว่าที่นี่มี และห่างจากเมืองไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิดชื่อ Ohau Sport Club ถือเป็นการ Confrim กิ จกรรมสำหรับวันนี้ได้แบบฉุกละหุกมากๆ เอาเป็นว่าวันนี้ เราไปเล่น Snowboard กัน
ต้องขอบอกว่านี่คือครั้งแรกของการเล่น Snow Board ของผมครับ คือชอบมากกก ติดใจมากก สนุกมากกก และก็เจ็บในบางที ต้องบอกว่าผมเองค่อนข้างที่จะมีทักษะเกี่ยวกับกีฬาบ้าง เลยทำให้การเล่นครั้งแรกของผม ราบรื่นพอสมควร ก็ยืนได้ เล่นได้ แต่ก็ยังไม่ได้คล่องขนาดนั้น ถ้าเพื่อนๆ มีเวลา แนะนำให้เลี้ยวขวามาที่ Ohao Sport Club ในเมือง Twizel ก่อนที่จะไปเมืองต่อไป
เล่น Snowboard ครั้งแรก: https://goo.gl/oVmUpu
ค่าบริการเช่าชุดและสอนเล่น Snowboard คนละ 95 NZD (เล่นได้ทั้งวัน)
ตอนแรกบอกกับเพื่อนๆ ว่าจะเล่นถึงเที่ยง ทำไปทำมา แม่งจะบ่ายสองแล้วครับ เมืองเมืองนี้แม่งแปลก สถานที่สวยๆ มักอยู่ข้างทาง ผมเชื่อแล้วว่าระหว่างทางสวยงามเสมอ สถานที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในแผนของเราเลย แต่ว่าระหว่างที่ผมขับรถลงมาจากคลับ มองไปทางซ้ายมือก็ทำให้รีบกดเบรคเหยียบเบรคและหาที่จอดข้างทาง ก็อย่างที่เห็นในภาพครับ ที่นี่คือ Ohao Lake
จากนั้นก็สับเปลี่ยนกันขับรถครับ ก็ขับไปเรื่อยๆ เห็นป้ายอะไรก็จอดครับ เพราะวันนี้แผนเปลี่ยนตั้งแต่มาเล่น SnowBoard แล้ว แล้วก็ทำให้เราได้มาเจอกับที่นี่ครับ Clay cliff ที่นี่จะคล้ายๆ กับภูเขาดินเหนียวที่ถูกชะล้างด้วยฝนจนทำให้ภูเขามีรุปร่างประหลาดคล้ายกับหอกที่คอยทิ้งแทงอากาศจากด้านล่าง สวยงามไปอีกแบบ แต่ไม่ต้องมาก็ได้ เพราะมีเท่าที่เห็นในรูปนี่แหละ ฮาๆ
ค่าเข้า Clay Cliff แล้วแต่จะจ่าย ฮาๆ มันมี Donate box อยู่หน้าประตู
หลังจากถ่ายภาพเสร็จ พวกเราก็ยิงยาวเพื่อไปนอนที่ Omaru ครับ ระหว่างทางนั่นเองก็ทำให้ผมถึงกับแปลกใจ มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงนาทีเท่านั้น นั่นคือ ท้องฟ้าเป็นสีชมพูครับ ปกติเราจะเคยเห็นเวลาพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าจะไล่โทนจากแดงขึ้นไปเป็นฟ้า แต่ที่นี่ unseen และ amazing สัสๆ ครับ ไล่จากฟ้าก่อนแล้วค่อยไปแดงชมพู โคตตรพีคคคค!!! สำหรับคืนนี้เราประหยัดเงิน โดยการจอดรถนอนที่โรงงานเก็บของหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วเดี๋ยวตอนเช้าตรู่ค่อยเคลื่อนรถออกจากบริเวณนี้เอา ฮาๆ
วั น ที่ เ จ็ ด
สวัสดีเช้าวันที่เจ็ด แป็บเดียวก็ครับหนึ่งอาทิตย์การเดินทางแล้วหรอเนี่ย ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ฮาๆ วันนี้เราจะเป็นทริปชิลๆ sightseeing รอบตัวเมือง แล้วค่อยๆ ไล่สถานที่ท่องเที่ยวข้างทางกันไปเรื่อยๆ ครับ ค่ำไหนก็นอนนั้น เรามาเริ่มที่แรกกันเลย…
ที่นี่คือ Habour Street อยู่ใจกลางเมือง Omaru เลยครับ ก็จะเก็บของเก่าแก่ไว้เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการละเล่น หรือโรงภาพยนต์ โรงแสดง จะอยู่ในย่านนี้หมด เหมือนเคยมีรถรางด้วยนะแถวนี้ เป็นเมืองที่ติดกับชายทะเลครับ และทีเด็ดของที่นี่คือ รถจักรยานล้อเดียว ที่ปั่นกันเต็มเมืองไปหมด
ขับห่างออกมาจากตัวเมืองเล็กน้อย เราจะไปแหล่งกบดานของ เพนกวินตาเหลืองกันครับ ซึ่งที่นี่เค้าบอกว่า เพนกวินตาเหลือหายากมากๆ ยากจริงๆ ครับ เพราะตอนเราไปเจอแต่แมวน้ำนอนขี้เกียจอยู่บนกองหิน ฮาๆ แต่อย่างว่าอ่ะนะ วิวสวยน่าดู ไม่แน่ตอนที่เพื่อนๆ ไป อาจจะเจอก็ได้ ขอให้โชคดี ที่นี่คือ Yellow Eyed Penguin Colony
ขับมาเรื่อยๆ ก็มาจอดที่ Moeraki Boulders Lookout ที่นี่เหมือนหาดบางแสนธรรมดา แต่ที่แปลกตาคือหินที่เป็นลูกกลมๆ ครับ มันเป็นลูกกลมๆ โดยธรรมชาติ และเพื่อนๆ เชื่อมั้ยว่า ข้างในหินก่อนนี้ จะมีแร่หรือพลอยสีใส คือเหมือนแก้วเลยอยู่ข้างในนี้ มันรู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่มันแปลกมาก เพื่อนๆ ลองหาข้อมูลใน google เพิ่มเติมดู ผมถ่ายเก็บไว้นะ แต่ไม่เอามาโชว์ ให้เพื่อนๆ ไปค้นพบและค้นหาด้วยตัวเอง น่าจะเป็นการดีกว่า : )
ค่าเข้าชมคนละ 2 NZD
อีกจุดหนึ่งที่ผมชอบมากสำหรับวันนี้ นั่นก็คือ Sand fly Bay ตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชื่อ Sand fly Bay แต่ตอนนี้เข้าใจละ ก็เพราะเมือเราลงไปอยู่บนหาดทรายตรงนั้น ทรายแม่งสามารถเต้นระบำได้ครับ คือด้วยจุดยุทธศาสตร์และสภาพภูมิประเทศตรงนั้นด้วย ทำให้ลมตีกลับหมุนวนจนทรายผงเล็กๆ ลอยขึ้นมาเต้นระบำให้เพื่อนๆ ได้เห็นกันเลยล่ะ แล้วคือเดินไปจนสุด จะเจอกับจุดชมวิวที่น้อยคนนักจะเดินไปถึง เพราะแม่งเหนื่อย บวกกับเจ้าของที่ที่ชื่อแมวน้ำแล้วละก็ ที่นี่ลงตัวโคตรๆ ผมชอบบ
อุ๋งอุ๋ง: https://goo.gl/Aenhbn
คือมานิวซีนแลนด์เหมือนได้มาหลายประเทศในประเทศเดียวกัน หาดเพื่อนๆ ลองสังเกตุดู เจ้า Tunnel Beach ตรงนี้จะคล้ายๆ กับ วัดกลางน้ำที่บาลีนามว่า Tanalot หรือคล้ายกับแกรนแคนยอนในอเมริกาเลยล่ะ เราแวะเข้ามาที่นี่ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เป็นอีกที่ที่สวยงามไม่แพ้กัน คือต้องบอกว่าตอนอยู่ Tunnel Beach นี่ตะวันจะลับฟ้าอยู่แล้วครับ อย่างที่บอกว่าค่ำไหนนอนนั่น เราก็ขับไปเรื่อยๆ เลย เริ่มไม่ไหวตรงไหน ก็นอนตรงนั้น แต่ก็ต้องดูว่า บริเวณนั้นปลอดภัยหรือเปล่า หรืออย่างในค่ำคืนนี้ เราตีเนียนมาจอดรถนอนในโรงจอดรถบ้านครับ เนียนมากๆ ก็ทำมาม่าทานกันเหมือนเดิม แล้วก็นอนหลับปุ๋ยเก็บแรงไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้
วั น ที่ แ ป ด
วันนี้เป็นวันแห่งกิจกรรมครับ เค้าว่ากันว่ามา New Zealand ห้ามพลาดเมืองนี้ นั่นก็คือ Queen Town ความใฝ่ฝันของผมอยู่ที่นี่หลายอย่าง มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ผมเคย list ไว้ว่า หากจะเล่น Bungy Jump ต้องมาเล่นที่นิวซีนแลนด์เท่านั้น และต้องมาเล่นที่ Kawarau Bunggy jump ด้วย ทำไมนะหรอ เพราะว่าที่นี่ คือจุด Bungy Jump ที่แรกของโลกครับ และประกอบกับวิวที่โคตรสุดแบบนี้ น้ำข้างล่างที่ใสระยิบระยับขนาดหนัก ใครพลาดที่นี่ ก็เรียกได้ว่ามาไม่ถึง Queenland, New Zealand แล้วล่ะครับ ฮาๆ
ชมคลิป First time Bungy: https://goo.gl/tZBXlg
ค่าเล่น Bungy Jump คนละ 195 NZD
ถัดมาจาก Bungy Jump มันคือ Nevis Swing ครับ ชิงช้าที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งรายละเอียดค่าใช้จ่ายคือ ค่า Bungy jump & Nevis Swing 320 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ แต่ถ้าแยกเล่นอย่างละ 195 ดอลครับ แนะนำให้ซื้อควบ เหมาะจบในตัวเดียวไปเลย Nevis Swing สำหรับผม วิวดีมากครับ และขอบอกว่าสุดมากเช่นกัน ไปชมคลิป: https://goo.gl/rCK9XK
ค่าเล่น Nevis Swing คนละ 195 NZD
แค่สองตัวนี้ ก็กินเวลาไปนานโขเหมือนกันครับ ยังไงต้องจองกันมาให้ดี จะได้ไม่เสียเวลาอย่างพวกเรา และจริงๆ เรากะมาเล่น Jet Boat ที่นี่ครับ แต่มันมืดแล้ว โทษใครไม่ได้ เราตื่นสายกันเองด้วยแหละ ฮาๆ แล้วที่พลาดไม่ได้อีกอย่างคือตัวเมือง Queen Town ครับ พีคมาก มาแล้วก็อย่าลืมทาน Ferg Burger นะ ขอใช้คำนี้ “ มันเป็นเบอร์เกอร์ที่อร่อยที่สุดในโลกเท่าที่เคยกินมา” ก็นั่นแหละครับ ความเห็นส่วนตัว ระหว่างนั้นเราก็หาที่นู่นที่นี่ไปครับ จริงๆ เราต้องไปเล่น Jet Boat นะ แต่เรารู้สึกพอแล้ว ชิลในเมืองดีกว่า
ตอนที่พี่ในมหาวิทยาลัยมา เขาถ่ายรูปชนแก้วกันในบาร์น้ำแข็ง ตอนนั้นอิจฉามาก และมันก็ถึงเวลาสำหรับเราครับ เดินมาแบบงงๆ ริมแม่น้ำ มาเจอ Ice bar จนได้ ข้างในฟินมาก แข็งมาก เย็นมาก บรรยากาศแบบว่าเปิดเพลงกระหึ่ม ถ้าไม่ติดว่ากุเหนื่อยแล้วนะ กุจะดิ้นยาวๆ เลย ๕๕๕ สำหรับคืนนี้ เราตัดสินใจดั้นด้นไปนอนอีกเมืองครับ เพราะใน Queen Town ค่านอนพักแพงมากกก ขับไปเรื่อยๆ จนไป Wanaka Lakeview Holiday Park เมือง Wanaka ที่นี่เป็นจุด Camping ที่ราคาดีทีเดียว แถมตื่นเช้ามาก็จะได้เจอวิวสวยๆ ของ Wanaka lake อีกด้วย
ค่าเข้าบริการคนละ 30 NZD (ได้ Cocktail 1 drink)
วั น ที่ เ ก้ า
ตื่นแต่เช้าด้วยอุณหภูมิที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่สำหรับการอาบน้ำของผมในทริปนี้ ครั้งแรกที่ Rotarua ครั้งที่สองที่ Chrirchurch, Twizel และ Wanaka ตามลำดับ เรียกได้ว่าสกปรกกันเลยทีเดียว แต่ก็ดีครับ ผมชอบอารมณ์แบบนี้ คือบางทีมันก็ไม่มีที่ให้อาบ และก็เวลาให้อาบจริงๆ บวกกับอากาศที่หนาวจนบางทีการเอาร่างกายไปโดนน้ำเย็นๆ ก็ไม่จำเป็น ฮาๆ มาเหอะ เดินทางกันต่อ..
Puzzling World ที่นี่คือบ้านแปลกประหลาด กลับทรงกลับด้านไปหมดครับ ดูในรีวิวแล้วเหมาะกับเด็กมากกว่า จอดแวะถ่ายรูปให้เห็นข้างนอกพอว่าหน้าตาไม่เป็นยังไง แต่หากเพื่อนๆ อยากรู้ว่าข้างในเป็นอย่างไร ก็เชิญนะครับ เราขอขับรถเลยไปต่อก่อนแล้วกัน..
ค่าเข้าไม่รู้ กูไม่ได้เข้า
ผมแม่งชอบประเทศนี้มาก ขามาเราขับรถลงใต้ติดฝั่งตะวันออกมาเรื่อยๆ ภูมิอากาศจะแบบหนาวๆ แห้งๆ แต่พอมาวันนี้ดิ จุดเปลี่ยนอยู่ที่ Queenland ครับ เราขับขาขึ้นเลาะฝั่งตะวันตกมา ภูมิประเทศและอากาศเปลี่ยนไปมีสีเขียวมากขึ้น และที่นี่คือ Blue pools เป็นจุดกำหนดของตาน้ำ คล้ายๆ กับบ่อน้ำผุด จ.กระบี่บ้านเรา แต่ที่นี่ เก๋กว่าเยอะ น้ำสีครามใสแจ่ว แบ๊คกราวเป็นภูเขาหิมะ โอ้ววว พระเจ้า ผมเดินเข้าไปมีหลาย route มากๆ และที่ผมสนใจที่สุดคือ route สำหรับ Camping ด้านบน มันจะเป็นยังไงนะ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ > <
ระหว่างการเดินทางไป Fox Glacier มีสถานที่ท่องเที่ยวให้แวะเยอะมากๆ ครับ ยังไงเพื่อนๆ ลองแวะดูแล้วกันหากมีเวลา เราแวะแค่บางจุด และอีกจุดหนึ่งที่เราแวะก็คือ Thunder Creek waterfall ที่แวะเนี่ย ก็เพราะว่าชื่อมันเท่ และดูจากแผนที่แล้ว เดินไปกลับแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น (เออ ลืมบอก แต่ละที่ของนิวซีแลนด์ไม่ใช่ว่าจอดรถเปิ๊บจะเห็นเลยนะ แม่งต้องเดินเข้าไปอีกอย่างต่ำ 1-2 กิโลเมตร) ก็สวยงามตามชื่อครับ เห็นรุ้งกินน้ำด้วย น้ำที่นี่ก็มาจาก Blue Pools ครับ ไหลลงไปกองกันอยู่ที่ใดที่หนึ่งคล้ายๆ กับปิงวังยมน่าน ที่ไปเจอกันที่เจ้าพระยา…
หิวมากๆ มาจอดรถทานข้าวกันที่เมือง Haats ครับ บรรยากาศโคตรคูล เหมือนกูจอดรถอยู่ในฉาก Holly wood ของหนังที่ jame cameral เป็นผู้กำกับเดี่ย เด่วๆ เมิงมั่วปะเนี่ย เออ กุมั่ว ๕๕๕
ห่างจากตัวเมือง Haats ก็ต้องจอดรถอีกครั้ง เพราะมุมนี้เลย ที่นี่คือ Haats Highways ครับ เป็นถนนริมทะเลที่สวยมากๆ จนต้องหยุดรถจอด และก็บังเอิญไปเจอกองหินสีขาว ที่เค้าหยิบกันมาเอาเมจิกเขียนเป็นตัวหนังสือหลายหลาย หลากความหมาย และหลากหลายประเทศมากๆ กูไม่มีเมจิก กูมี Sticker แฮร่ แปะแล้วตั้งไว้ตรงนั้นค่ะ ใครไปตามรอยถ่ายกลับมาโชว์ด้วยเน้อ
นี่คือสถานที่ที่ผมพูดตอนอยู่ Hooker Lake ครับ มันคือด้านหลังของทะเลาสาบ Hooker นามว่า Fox Glacier นั่นเอง คือมันคือภูเขาลูกเดียวกันครับ มันมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือตะวันตก ก็คือ Fox Glacier มันเป็นผลึกน้ำแข็งที่จะละลายแหล่ ไม่ละหลายแหล่ เป็นหินน้ำแข็งตามภาพ ไม่ได้สวยงามอะไรมาก แต่มันคือปรากฏการณ์ที่บอกว่าโลกแม่งร้อนขึ้น เพราะจากสถิติแล้ว Fox Glacier หดสั้นลงปีละ 2 เมตรครับ นึกภาพดูดิ แม่งลดเยอะนะเว้ย ส่วนอีกฝาก ฝากตะวันออกก็คือฝั่ง Hooker Valley ที่เป็นน้ำแข็งหนาวตายชิบหาย ทั้งๆ ที่เป็นจุดเดียวกัน แต่พออยู่คนละฝาก แม่งก้ไม่เหมือนกันแล้ว ทุกอย่างมีสองด้าน คนบางคนยืนอยู่จุดเดียวกันแท้ๆ แต่กลับคิดและตัดสินใจต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา ที่นี่คือ Fox Glacier ครับ
เกลี่ยความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง คือพอออกจาก Fox Glacier มาน้ำมันจะหมดครับ เลยจอดเติมน้ำมัน แล้วก็เข้าไปจ่ายค่าน้ำมัน ปรากฏว่าผมเห็นรุปใน Postcar หนึ่งครับ เขียนว่า Lake Matheson ผมเลยถามพนักงานว่า เจ้านี่นี่อยู่ไกลมั้ย พอพนักงานบอกว่าว่าไม่ไกล กูตัดสินใจไปอย่างรวดเร็ว เข้า Maps.me แล้ว search อย่างเร็วพลัน พอเจอก็ปักหมุด และขับรถมาอย่างไม่รอช้า และนี่คือภาพที่เห็น ผมอยู่ที่ Lake Matheson จนฟ้ามืด เดินกลับคนท้ายสุด กับกลุ่มชาวจีนที่คิดว่าผมเป็นขโมย พากันระวังตัวว่าผมจะมาขโมยของ ฮาๆ แต่ก็นั่นแหละครับ คนบ้าอะไร วิ่งรอบทะเลสาบแค่เพื่อที่จะไปถ่ายรูปทั้งที่รู้ว่าถ้าเข้าไปในป่าแล้วมันจะมืดและอันตรายมากๆ แต่ดูภาพที่ได้มาและสิ่งที่ผมได้สัมผัสวันนั้นก็ถือว่าคุ้มมาก จุดที่พีคที่สุดของ Lake Matheson คือ Reflection island ครับ จากนั้นพวกเราก็ขับรถต่อกันไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น และครั้งนี้เราไปจอดนอนหน้าบ้านคนที่เมืองใดเมืองหนึ่งผมจำชื่อไม่ได้ แต่รู้ว่าทั้งสี่คนขับต่อไม่ไหวแล้ว หลังจากจอดรถเสร็จ ต้มมาม่า กิน แปลงฟัน แล้วนอนหลับไปแบบสลบไสล เพราะต้องรีบตื่นมาย้ายรถไปที่อื่น ไม่งั้นอาจจะเจอตำรวจได้ ฮาๆ
ผมถ่าย footage ตอนนั่งเหงาอยู่ที่นั่นมาไว้ด้วย: https://goo.gl/3ylBfL
วั น ที่ สิ บ
จริงๆ เมื่อคืนเราต้องไปให้ถึงเมือง Hokitika เพื่อไปดู หนอนเรืองแสงที่ไม่มีค่าบริการที่ Glow worm dell ครับ แต่ร่างพังเลยจอดหลับในเมืองระหว่างทางกันก่อน พอมาตอนเช้า ก็เลยไม่เห็นอะไร และคิดว่าตัวเองพลาด เพราะถ้ามาตอนกลางคืน อาจจะเห็นหนอนเรืองแสงในถ้ำต้นไม้สวยๆ ก็เป็นได้
นี่คือบริเวณ Glow Worm Dell ไปตอนเช้าจะเห็นห่าอะไร เลยเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ไปชมจุดชมวิวของเมืองแทน
คือสำหรับวันนี้ วิวข้างทางสวยมาก นี่ก็เป็นอีกที่ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ยังก็อยู่ Melbourne ออสเตรเลีย หินทั้ง 12 ที่แตกเรียงกันยื่นออกไปกลางทะเลนั้นงดงามจริงๆ สวยจนต้องจอดรถเพื่อหยุดถ่าย ไม่มีในแผนที่ว่าเป็น Attraction ด้วยนะ แต่พอไปถึงแล้ว zoom เข้าไปในบริเวณนั้น ถึงได้รู้ว่ามันชื่อ Natural bare rock
และที่นี่ คือที่ที่เราตั้งใจจะมากันในวันนี้ครับ นั่นก็คือ Pancake Rocks and Blowholes มันเป็นหินที่มีรูปร่างคล้าย Pancake เรียงซ้อนกัน ที่นี่มีธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างงดงามโดยอาศัยเวลาของมัน ด้วยความต่างของภูมิประเทศที่ห่างกันเพียงแค่หลักสิบกิโลเมตร เพื่อนๆ ก็จะเห็นอะไรที่แปลกไปแล้ว จุดพีคของมันคือเจ้า Blowholes ครับ วันไหนที่จังหวะดีๆ น้ำจะกระเซ็นออกมาที่รุปนี้ เหมือนน้ำพุร้อนสูงเลยหัวเราเลยล่ะ แต่… กุไม่เจอ ๕๕๕๕
ถนนในช่วงวันที่สิบสวยแปลกตาไปจากทุกวันที่ผ่านมาครับ ผมชอบถนนช่วงนี้มาก ก็ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว ที่ขับติดทะเลมาเรื่อยๆ แล้วป่าไม้ก็จะเป็นพันธุ์ที่แบบไม่ค่อยมีในเมืองไทย แล้วหลังจากนี้คือถนนที่เค้าว่าสวยที่สุดใน New Zealand ที่ชื่อ Authurs Pass ครับ ซึ่งถนนเส้นนี้มีที่แวะเยอะมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเราอิ่มตัวแล้วมั้ง เลยแวะที่เดียวคือ Castle Hill ไปดูกัน
Castle Hill เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมชอบมากๆ เพราะมันคือทุ่งหญ้าขนาดกว้างที่มีเศษหินคล้ายอุกาบาทหล่นลงมาประดับเป็นระยะๆ ห่างกันแบบจัดเรียงสวยงามแปลกตา คือมันสวยแบบปลากตามาก ผมเห็นในรีวิวมีปราสาทด้วยนะ แต่ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เดินขึ้นไปจนสุด ก็ไม่เห็น ก็เลยเก็บภาพมุมสูงมาให้เพื่อนๆ ได้ชม ขอบอกว่า เส้น Anther pass สถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากๆ เอาจริง คือเยอะแบบ ขับจอดๆ ไม่ต้องไปไหนกันเลย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวันของเพื่อนๆ แล้วล่ะ ว่ามีเยอะแค่ไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคงกลับมาที่นี่อีกแน่นอน
หลังจากกลับมาจากทริปอันมหาโหด ก็มานอนบ้านพี่สีน้ำครับ มื้อนี้ถือว่าฉลองจบทริป พากันไปทานมื้อใหญ่ในร้านอาหารจีนชื่อดังที่ชื่อ…….ใน Chrichurch แล้วก็อร่อยอย่างที่เค้าบอกกันจริงๆ มองย้อนกลับไป ไอ่ที่ว่าขับไกลๆ ก็ไม่ได้นานอะไรเลย ตอนนี้ยังอยากอยู่ต่อ อยากลาออก แล้วขับรถเล่นที่นี่โง่ๆ แบบไม่ต้องคิดอะไร
วั น ที่ สิ บ เ อ็ ด
เมื่อคืนเรากลับมานั่งดื่มกันที่บ้านต่อครับ คุยกันสนุกสนานดี ซื้อเบียร์มาดื่มหนึ่งลังแต่ดื่มไม่หมด คือมันอิ่ม มันอิน มันอารมณ์ไหนไม่รู้ตอนนั้น แต่เป็นความรู้สึกที่ดี เอ๊ะ หรือกุง่วงนอนว่ะ ฮาๆๆ เอาเป็นว่าเช้ามาตื่นแบบโคตรสายเลย แล้วเดินไปเที่ยวรอบๆ เมือง ก็จะมี
- Art Gallery of Christchurch
- Statue of John Robert Godley
- Christchurch
คือมันใกล้ๆ กันหมดครับ แต่ขี้เกียจแล้ว เรียกได้ว่าไม่ถ่ายรูปเลย แวะซื้อ Wendy’s แล้วกลับเข้าที่พักเก็บของเตรียมบินกลับไทยเลย ฮาๆ สรุปแล้วทริปนี้ทั้งทริปเราใช้เวลาเดินทางรวม 14 วันครับ วันเดินทางก็กินไป 2 วันแล้ว เวลาที่เอาเท้ามาแตะประเทศนี้จริงๆ ก็แค่ 12 วันอย่างที่เล่ามาข้างบน ทริปนี้เป็นจ Road trip ครั้งแรกในชีวิตของผม ขับรวมทั้งหมดระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร ใช้งบรวมทั้งหมดกว่า 60,000 บาทหรือมากกว่าไม่ได้สรุปไว้ ได้เจอวิวใหม่ๆ บรรยากาศสวยๆ ทำอะไรครั้งแรกในชีวิตก็ที่นี่แหละเยอะที่สุด ถ้าจะให้ลืมทริปๆ นี้ก็คงไม่ง่ายเลย ขอบคุณความอยากของตัวเองที่ทำให้ชีวิตแม่งเกินลิมิตมากๆ ขอบคุณความบ้าที่ลั่นจองตั๋วมาคนเดียวตอนแรกเพื่อเป็นการทำสัญญากับใจตัวเองว่าเมิงต้องมาได้แล้วนะ ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ร่วมทริป ที่เชื่อใจ ไว้ใจมากับไอ้บ้าคนนี้ สำหรับหนึ่งส่วนสามของชีวิตผมตอนนี้ ขอยกให้ New Zealand เป็นประเทศที่ดีที่สุดในชีวิตครับ
.: คือแม่งทริปนี้โหดสัสรัสเซี
: follow us ::
Line : http://goo.gl/Ktk5Fv
Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/
#palapilii
#wanderlust
#YOLO