.: เคยคุยกับเพื่อนไว้เมื่อสองปีที่แล้ว ว่าที่นี่มันคือที่ไหน ทำไมมันมีพลังที่ทำให้พนักงานออฟฟิศกระจอกงอกง่อยอย่างเราอยากจองตั๋วเครื่องบินแล้วเอาตัวไปปล่อยไว้ที่นั่นสักสองอาทิตย์ขนาดนี้ ลองหาข้อมูลคร่าวๆ ก็พบว่าที่นี่อยู่อินเดีย แต่ให้ตายเถอะ ทำไมตั๋วแพงขนาดนี้ ถ้าแพงขนาดนี้กูไปนิวยอร์คก็ได้นะ แต่ก็รอเวลาเรื่อยๆ รอให้ทุกอย่างมันลงตัว ทั้งวันพร้อม คนพร้อม และราคาตั๋วเหมาะส… อิสัส!! นั่นไง ตั๋วไปกลับลาดัคห์ 15,000 บาท จองสิเมิง จองสิ จองๆๆๆๆ
.: แล้วภาพก็ตัดมาตอนที่พวกเราแม่งถึงสนามบินเมืงเดลลีประเทศอินเดียครับ คืนนี้เรามานอนกันที่สนามบิน นอนรอขึ้นเครื่องจากเดลลีไปเลห์ไฟลท์เจ็ดโมงเช้า ทริปนี้ทั้งทริป ถ่ายจากกล้องมือถือส่วนตัวและกล้องคู่ใจ Gopro ของผม ถ้าเพื่อนๆ พร้อมแล้ว ย้อนกับไปบทที่ศูนย์พร้อมๆ กันครับ ไปกันเลย…
00 |||
Ladakh (ลาดาคห์) เป็นเมืองที่อยู่ในพื้นที่อินเดียตอนเหนือ ขึ้นอยู่ในเขตปกครองของชัมมูและแคชเมียร์ (Jammu and Kashmir) ขยายพื้นที่มาจากเทือกเขา Kunlun ไปจนถึง Himalayas ตอนใต้และทิเบต เป็นเมืองที่มีประชากรเบาบางเหมือนออกซิเจนในภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งเมืองที่เราจะพาเพื่อนๆ ไปตระเวนครั้งนี้คือ Leh (เลห์) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดใน Ladakh มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลที่ 3,524 เมตร จึงทำให้มีความกดอากาศต่ำและอากาศเบาบาง Ladakh ยังถูกตั้งชื่อให้เป็น land of high passes เพราะเป็นเมืองที่ใช้คำว่าสูงที่สุดในโลกค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่สูงที่สุดในโลก ถนนที่สูงที่สุดในโลก ทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลก และอีกมากมายให้เพื่อนๆ ได้ไปสัมผัส ในช่วงวันแรกที่ผมไปที่นี่ ระหว่างที่เดินเล่นในตรอกซอยตลาดใจกลางเมืองเลห์ ก็มีชาว Ladakhy คนหนึ่งพูดกับผมว่า “คุณจะถูกแดดเผาจนไหม้เกรียมพร้อมๆ กับผิวหนังที่โดนหิมะกัด” ทั้งนี้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของที่นี่จะเกี่ยวข้องและใกล้เคียงกับทิเบตมากๆ จนหลายคนแต่งตั้งให้เมืองๆ นี้ ว่าเป็น “ ทิ เ บ ต น้ อ ย “
01 |||
การเตรียมตัวสำหรับทริปนี้ง่ายมากๆ คือทำตัวให้เป็นแก้วที่ไม่เหลือน้ำในแก้วให้มากที่สุด จริงๆ อยากจะไม่หาข้อมูลอะไรไปก่อนเลยนะ แต่มันก็คงไม่ได้เสมอไป เพราะสิ่งที่จำเป็นต้องรู้เบื้องต้นก็ควรที่จะรู้บ้าง เช่น มันจะเที่ยวลักษณะไหน และเราต้องนั่งเครื่องบินไปลงเมืองอะไร งบที่ใช้ต้องมีประมาณเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ก็ยังสำคัญอยู่ ขอรู้หลักๆ สักสองสามอย่างนี้แล้วกัน สรุปก็คือเราต้องนั่งเครื่องไปลงที่ Leh และทริปส่วนใหญ่จะต้องเดินทางด้วยรถยนต์ ถ้าถามถึงรถโดยสารหรอ ฮาๆๆ มีน้อยมากกกก เพราะภูมิประเทศเป็นภูเขาสะส่วนใหญ่ ทางแต่ละทางที่ไปถ้าตกลงไปไม่ต้องเก็บศพกลับบ้าน เพราะแถวบ้านเรียกเหว เรื่องอากาศก็พอรู้ว่ามันหนาวในช่วงที่เราไป แต่ไม่คิดว่าแม่งจะหนาวขนาดนี้ (ช่วงหน้าหนาวอากาศจะติดลบ 20 องศา) เอาล่ะ พอรู้แค่นี้ ก็เริ่มกระบวนการหาเพื่อนเลย ถ้าไปคนเดียว กูคงจ่ายค่าเช่ารถเป๋าแบนแน่ เลยหาเพื่อนสัก 5-6 คนมาร่วมทริป แต่ก็ได้มา 8 คนแบบไร้ประสบการณ์กันทุกคน ทุกคนไม่เคยไปอินเดียมาก่อน แค่คิดแม่งก็สนุกแล้ว ฮาๆ
02 |||
ถึงคราวที่ต้องมาหาไฟลท์บินจากกทม. ไปเลห์กัน ซึ่งก็มีหลายแบบให้ได้เลือก ทั้งบินตรงจากไทยไปเดลลีแล้วต่อเครื่องขึ้นไปที่เลห์ หรือบินจากไทยไปกัวลาลัมเปอร์ ต่อไปเดลลี ต่ออีกทีไปเลห์ก็ย่อมได้เช่นกัน การเดินทางจากไทยไปเลห์มีเยอะครับ หนักหน่อยก็ขับรถไป หรือนั่งรถทัวร์จากเดลลีขึ้นไป แต่คือพนักงานออฟฟิสอย่างเราๆ คงไม่มีเวลามานั่งกินลมชมวิวชิลเล่นขนาดนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ หาตั๋วเครื่องบินจากแอพหลายๆแอพครับ ไม่ว่าจะเป็น Jetradar Traveloka หรือ Skyscaner คือมีอะไรก็ใส่ให้หมดครับ แล้วเอามาเปรียบเทียบราคาและเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในเคสของผม ได้บินตรงจากไทยไปเดลลี พักเครื่อง 1 วันให้ได้ไปสัมผัสกับคำว่าอินเดีย ก่อนที่จะบินตรงไปที่เลห์อีก 2 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้ผมจองได้ไปกลับราคาประมาณ 15,000 บาท จากสายการบิน Jet Airways เพื่อความสะดวกก็เลือกใช้การตัดเงินจากบัตรเครดิตไปเลยครับ
03 |||
คิดว่าการท่องเที่ยวต่างประเทศหลัก 7 วันขึ้น และไกลขนาดนี้ต้องทำประกันไหม ดูจากสถานที่ที่ไป ประเทศที่อยู่ กิจกรรมทีทำแล้วละก็ กูควรทำไว้เป็นมรดกให้พ่อแม่ครับ ๕๕๕ ถ้าตายไป อย่างน้อยก็มีเงินไปทำศพสักสองสามแสน มีเงินเก็บให้พ่อกับแม่สักสองสามล้าน ทำไปเถอะครับประกันการเดินทางน่ะ จะทำกับบริษัทไหนอะไรยังไงก็ได้ เลือกที่มันแมทช์กับเราที่สุด จ่ายไปไม่กี่ร้อย แต่คุ้มครองถึงหลักล้านเลยนะ ทริปนี้ผมใช้ของ AIG เลือก Plan C ครับ ดูจากจำนวนวันแล้วจ่ายไป 800 กว่าบาท ถ้าตายไปเค้าให้ญาติ 1,500,000 บาท กระเป๋าหายก็คิดค่าหายเป็นชั่วโมงนะ เครื่องดีเลย์ก็คิดค่าเสียเวลาให้ แล้วยังมีอีกเยอะเลย ยังไงลองหาดูประกันเดินทางต่างๆ เพิ่มเติมทาง google นะครับ หรือถ้าจะลองเซอร์เวย์ดูของผมก่อน ก็ช่องทางนี้เลย Travel Guard ซื้อไปเถอะ อย่างน้อยก็อุ่นใจ อย่างเพื่อนต่างชาติผมตอนไป ABC เดินไม่ไหว เรียก Helicopter มารับถึงในภูเขาเลยนะเว้ย ฮาๆๆ
4 |||
คนไทยที่เข้าอินเดียยังต้องใช้วีซ่าอยู่ ซึ่งวีซ่าที่ขอไปก็จะเป็นประเภท Tourist อยู่ได้ 6 เดือน จะเข้าออกกี่ครั้งหรือครั้งเดียวก็ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของเรา โดยส่วนตัวของผมแล้วเป็น Double entry คือเมิงจะเข้าออกเประเทศเค้าได้แค่ 2 ครั้ง แต่อยู่ในเวลา 6 เดือนที่เค้ากำหนด ซึ่งวิธีการยื่นวีซ่าอินเดียจะค่อนข้างแปลกกว่าประเทศอื่นนิดหน่อย เพราะต้องกรอกข้อมูลทุกอย่างลงในแบบฟอร์มออนไลน์ก่อน จากนั้น Print แบบฟอร์มที่กรอกข้อมูลทุกอย่างสำเร็จ ไปยื่นพร้อมที่สาถานทูตอินเดีย ซึ่งเอกสารสำคัญต่างๆ มีดังนี้
- แบบฟอร์มยื่นวีซ่า :แบบฟอร์มวีซ่าอินเดีย (กรอกแล้ว print )
- Passport ตัวจริง
- สำเนา Passport 2 ใบ
- รูปถ่าย 2 x 2 นิ้วจำนวน 2 รูป ฉากสีขาว
- ตารางการเดินทางคร่าวๆ
- ใบจองตั๋วเครื่องบิน
- ใบจองที่พัก
- สำเนาบัตรประชาชน 1 ใบ
- สำหรับเด็กที่อายุไม่ถึง (ไม่มีบัตรประชาชน) ใช้สำเนาสูติบัตร 1 ใบ
- ค่าธรรมเนียมวีซ่า 1,700 บาท (บวกภาษีนู่นนี่นั่นเกือบ 2,000 บาท)
โดยปกติแล้ว จะใช้เวลา 7 วันทำการในการทำเรื่อง ทุกขั้นตอนเพื่อนๆ จะได้รับ SMS แจ้ง status จากทางสถานทูต หลังจากอนุมัติผ่านการเข้าประเทศอินเดียแล้ว เพื่อนๆ สามารถไปรับวีซ่าด้วยตนเองที่สถานทูตฯ หรือให้ทางพนักงานส่งวีซ่ามาที่บ้านก็ได้ ซึ่งจะเสียค่าส่งไปรษณีย์ราวๆ 230 บาท ในส่วนของผม ให้ส่ง EMS มาที่บ้านเลย สะดวก รวดเร็ว ไม่เสียเวลาครับ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนๆ สามารถเข้าไปศึกษาได้ที่บทความของพี่ผมที่นี่เลยครับ สองเท้าเกาโลก
05 |||
ผมว่าผมพร้อมแล้ว…
ในทริปนี้เราลงเดลลีด้วยนะ ลงขาไปกับขากลับ แต่ขอไม่พูดถึงหรือซุยมาก เพราะคิดว่าคงได้กลับไปลุยกับคำว่าอินเดียจริงๆ อีกแน่ เลยขอข้ามตัดบทไปที่ลาดาร์คเหมือนหนังที่ทำได้แค่บินผ่านเมืองหลวงอินเดียแล้วกัน เอาล่ะ บินจากไทยมาเดลลีใช้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมง แล้วก็ต่อเครื่องจากเดลลีไปลงที่เลห์อีกชั่วโมงครึ่ง ตอนที่อยู่บนเครื่องยอมรับว่าไม่ได้นอนเลย เพราะงงกับนักบินที่นี่ งงว่าทำไมเมิงบินต่ำจังวะ ที่เคยเรียนมา เครื่องบินจะต้องบินสูงอยู่ในระดับแอสโมสเฟียร์ หรือราวๆ 10 กิโลเมตรจากพื้นดิน แต่นี่คือบินแล้วทำไมยังเห็นพื้นดินและภูเขาอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะภูเขามันสูงขึ้นมาเกือบถึงชั้นบรรยากาศนี้ แต่ก็ช่างมัน สงสัยความรู้เรามันเก่า ไม่ก็กุไม่ตั้งใจเรียนเอง แต่จู่ๆ ความสงสัยก็ถูกธรรมชาติเข้าแทรก…
เชี่ยยยยย ภูเขาน้ำแข็ง กูกดถ่ายภาพรัวๆ เลยค่ะ กดแบบมั่วๆ ไปเลย ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ เอาให้สุด เพราะไม่ใช่ว่าคนไทยจะได้มาเห็นวิวอะไรแบบนี้บ่อยๆ ถ่ายจนคนข้างๆ รำคาญกันเลยทีเดียว ฮาๆๆ
กดถ่ายภาพอยู่นาน วิวพันล้านก็ไม่ยอมหายไปสักที เลยได้แน่นั่งมองด้วยตาเปล่า พร้อมนึกในใจว่า “เมืองห่าอะไรจะสวยขนาดนี้” คือแค่ภูเขาเมิงก็กระเด้าใจกูไปหมดหลอดแล้ว ๕๕๕
อีก 15 นาที เครื่องเราจะ landed ลงสู่ภูมิประเทศที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,500 เมตร ที่คนทั้งโลกเรียกกันว่า Little Tibet กันแล้วล่ะครับ ดูเมืองพวกเขาจากกระจกเครื่องบินที่ผมนั่งฝั่งขวาใน Flight เช้าวันนี้ดิ สวยงามมากจริงๆ
06 |||
หลังจากเครื่อง landed เรียบร้อยก็จะพบกับอากาศที่โคตรต่างจากเดลี ประมาณ 20 องศา ความเจริญลดลง ความธรรมชาติจะมากขึ้น ผู้คนยิ้มแย้มน่ารัก จนรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่อินเดีย มันเหมือนเป็นอีกประเทศหนึ่งไปเลย เจ้าหน้าที่จะแจกใบเข้าเมืองให้เราเขียนรายงานการเข้าเมือง จากนั้นก็เดินไปหารถเข้าเมือง เราต่อราคาเข้า down town ได้ 200 Rs คือเราก็ไม่รู้หรอกว่าที่นี่เรียก Capital, Down town หรือ Market หรืออะไร แต่เอาเป็นว่า พากุเข้าไปให้ใกล้ตัวเมืองมากที่สุด เพราะเราจะต้อง walk in หาที่พัก ตามเวรตามกรรมหลังจากนี้
หมายเหตุ : 2 Rs มีค่าประมาณ 1 บาทไทย
07 |||
mini taxi มา drop เราไว้บริเวณข้างทางเข้าถนนคนเดินเลห์ เราแบกของลงจากรถ แล้วแบ่งหน้าที่กันไปหาที่พักที่ราคาถูกแต่ห้องพักดี มาเทียบกัน เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าได้ข้อสรุปว่าคืนนี้ เราจะนอนที่ Peace Hostel สำหรับคืนแรก สำหรับคืนอื่นค่อยว่ากัน เพราะเรายังไม่มีแผนการท่องเที่ยวสำหรับเมืองนี้เลย จากประสบการณ์ที่แบ่งกันไปหาที่พัก ทำให้รู้ว่า ชาวลาดัคกี้มักจะ Anti คนอินเดียซะส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะเสียงดังเหมือนจีน กลิ่นเหม็นเหมือนอินเดียรึป่าว ฮาๆ แต่แปลก ที่คน ลาดัคกี้ไม่มีกลิ่นตัวเหมือนอินเดียนะ สำหรับ Peace Hostel มีน้ำร้อน มีผ้าห่ม มี free wifi มีครัวให้สั่งอาหาร ที่สำคัญ 700 Rs นอนได้ 3 คน เสียอย่างเดียวที่ไม่มี Heater แค่นั้นเอง…
08 |||
มาม่าร้อนๆ กับอุณหภูมิติดลบ บางทีมันก็เข้ากันได้สุดๆ ไปเลย สภาพอากาศที่ลาดาคห์นั้น ในช่วงหน้าหนาว อากาศหนาวสุดจะอยู่ที่ -20 องศา ในช่วงหน้าร้อนจะอยู่ที่ 25 องศา คือจะเที่ยวหน้าไหนก็สวยงามตามท้องเรื่อง แต่ช่วงหน้าร้อนจะสะดวกกว่าในเรื่องการเดินทางและสภาพภูมิอากาศ (ช่วงหน้าหนาวจะอยู่ช่วงธันวาคมถึงมกราคม หลังจากนั้นจะหิมะจะเริ่มละลายไปเรื่อยๆ จนเข้าหน้าร้อนที่เดือนมิถุนายน) ในช่วงหน้าหนาวจะหาเนื้อกินยากมาก บวกกับคนเมืองนี้เป็น Vegetarian ซะส่วนใหญ่ ใครที่หวังจะมาหาของกินอร่อยที่นี่ก็หมดสิทธิ์ไปเลยนะ คำเตือนคืออย่าลืมพก มาม่าต้มยำกุ้ง น้ำปลา น้ำพริก หรืออะไรก็ได้ ที่ทำให้เรารอดตายจากแป้ง แป้ง แป้ง แป้ง แล้วก็แป้ง ในช่วงที่สั่งอาหารมาเสิร์ฟมื้อแรกก็เป็นช่วงที่เราทั้ง 8 คนช่วยกันวางแผน และได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ในกลุ่มอีกด้วย ผมคงลืมบอกไป ว่าสำหรับบางคนในทริปนี้ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ” ยิ น ดี ที่ ไ ด้ รู้ จั ก ”
09 |||
เดินออกมานอกที่พัก ตามตรอกซอยหน้าทางเข้าเพื่อที่จะหา Agency ปรึกษาทริปท่องเที่ยวของเราตลอดทั้งทริปลาดาคห์ทริปนี้ เรามากันช่วงเมษายนครับ ยังคง fade out หน้าหนาวของเค้าอยู่ ทำให้ที่พัก ร้านอาหาร และ Agency ต่างๆ ไม่ค่อยเปิดมากเท่าไหร่ แต่ก็มีให้เราได้จัดเหมือนกันครับ เราไม่เรื่องมาก เดินตรงเข้าไปใน Agency Office แรกที่เราเห็นเลย นั่นก็คือ Trance Tara Travel หลังจากที่เดินเข้าไปก็เริ่มบทนำด้วยคำว่า สวัสดีครั… สัส! ไม่ใช่!!! เอาใหม่ หลังจากที่เดินเข้าไปก็เริ่มบทนำด้วยคำว่า…
” Hi, I need your help, I wanna discuss about our trip for 1 week in Ladakh.”
หลังจากบทเกริ่นนำสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษอันอ่อนปวกเปียกของผม ก็ทำให้เราได้ข้อสรุปสำหรับทริปมหากาพย์พากย์ไทยทริปนี้คร่าวๆ อะไรประมาณนี้
Day 1 : Sightseeing Leh (The highest City in the world)
Day 2 : Road trip to Pangong Lake for 2 days 1 night (The highest Lake in the world)
Day 4 : Road trip to Nubra Valley for 2 days 1 night (The highest road in the world)
Day 6 : Trekking Cha Da Pass (The highest pass at 4,888 meters above sea level)
Day 9 : Flight to Delhi before go to Thailand
และนี่ก็คือกิจกรรมทั้ง 9 วันของเราสำหรับเวลาที่อยู่ในเมืองต้องมนต์แห่งนี้ครับ
10 |||
หลังจากที่ปรึกษานู้นนี่นั่นกับเจ้าของ Agency เสร็จ เค้าก็เสนอรถมาให้เรา 1 คัน ราคาตามหน้าหนังสือเสนอราคาประจำปีของที่นั่นประมาณ 800 – 1000 Rs เพื่อ Sightseeing เมือง Leh อันแสนน่ารักเมืองนี้ ซึ่งสถานที่หลักๆ ที่เราจะไปก็จะเป็น Leh Palace และ Shanti Stupa ครับ จริงๆ แล้วตามหลักของคนชั้นพื้นอย่างเรา (อิพวกอยู่อาศัยในความสูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มาก) จะต้องอยู่เฉยๆ สักหนึ่งวันก่อน เพื่อดูอาการว่าเราแพ้ความสูงหรือไม่ ห้ามเคลื่อนไหวเร็วเหมือนปกติ ห้ามดื่มแอลกอฮอห์ ห้ามนู้นห้ามนี่สิบกว่าอย่างครับ ซึ่งตอนอยู่ที่สนามบินก็จะมีโบชัวร์แจกให้เราอ่านย้ำแล้วย้ำอีก หากใครไม่มั่นใจว่าตัวเองจะมีอาการแพ้ความสูงหรือเปล่าก็ต้องทำใจและยัด Diamox (ยาแก้อาการแพ้ความสูง) เข้าไปก่อนมาสัก 1-2 วันครับ เพื่อให้ร่างกายมันปรับตัว สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการ แข็งแรงหรือไม่แข็งแรง ก็ควรเข้าไปอ่าน บทความที่เกี่ยวกับโรคแพ้ความสูงกันก่อนที่นี่ครับ Attitude Sickness
11 |||
ปิดหน้านั้นแล้วกลับมาหน้านี้รู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ คิดว่าตัวเองไหวมั้ย? ถ้าไหว ไปกันต่อ…
ขึ้นรถแล้วนั่งยาวๆ ไปที่แรกที่เรากำลังจะไปก่อนเลย นั่นคือ Leh Palace หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ พระราชวังเลห์ นั่นเอง สถานที่แห่งนี้ เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นกลางเมืองเลห์ ขนาดความสูง 9 ชั้นถูกสร้างในปี ค.ศ.1630 มีลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมใกล้เคียงกับพระราชวังโปตาลาในทิเบตคือมีผนังเอียงเข้าหากันทุกด้าน ปัจจุบันพระราชวังเลห์กำลังได้รับการบูรณะซ่อมแซมครับ เนื่องจากว่ามีอายุที่ค่อนข้างนานแรมปี แต่ก็ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเข้าชมทุกวัน ซึ่งจะเก็บค่าเข้าชมที่ราคา 200 Rs หรือคิดเป็น 100 บาทไทย
แต่ เดี๋ยวครับ หากเราอ่านกันสักนิดหรือมีข้อมูลมาสักหน่อยจะพบว่า ประเทศไทยและอินเดียมีสัญญาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวตัวหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวไทยสามารถเข้าไปชม Leh Palace ด้วยเงินเพียง 15 Rs เท่านั้น ใช่ ฟังกันไม่ผิดครับ 7.5 บาทไทยไง จะอะไรล่ะ ง่ายๆ เพียงแค่ยื่น Passport ไทยให้เจ้าหน้าที่ดู แค่นี้ เพื่อนๆ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 85 บาทเลยทีเดียว 10 คนก็ตั้ง 850 นะเว้ยเห้ยยยย
12 |||
ผมถ่ายภาพภายในพระราชวังค่อนข้างน้อยมาก เพราะข้างในมืดมากๆ เลยถ่ายมาไม่ค่อยเยอะ หลักๆ ก็จะขึ้นไปถ่ายข้างบนด่านฟ้าของตัวพระราชวังครับ จาก View eye point มองลงมายังเมือง Leh จะเห็นบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่อย่างหนาแน่น ช่วงที่ผมไปสีเขียวหาไม่เจอครับ มองจากภาพดูเหมือนเป็นเมืองที่มีแต่ฝุ่น และไม่ค่อยน่าเที่ยวเท่าไหร่ แต่อยากให้ลองมาสัมผัสด้วยตัวของตัวเองครับ ว่าของจริงกับในภาพ ความรู้สึกมันช่างต่างกันจริงๆ
13 |||
จาก Leh Palace ก็ย้ายตัวไปอีกฟากเพื่อไปชมความงามของ Shanti Stupa ครับ…
Shanti Stupa หรือ เจดีย์สันติภาพ เป็นเจดีย์สีขาว ขนาดใหญ่โดยญี่ปุ่นเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก เจดีย์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขาในแทบจังสปา ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 2 กิโลเมตร เราสามารถเดินขึ้นบันไดไปชมเจดีย์ได้ หรือ จะนั่งรถแล้วต้องเดินทางต่ออีกสัก 5 นาที จากเจดีย์เราสามารถมองเห็นเมืองเลห์ได้ในมุมสูง และมองเห็นพระราชวังเลห์ และ วัดนัมเกลและป้อมแห่งชัยชนะ เจดีย์สันติภาพเปิดให้เข้าชมเวลาประมาณ 05.00 – 21.00 น. ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมครับ
เลื่อนสายตาลงมาจากเจดีย์สันติภาพ ก็เห็นสุขาชายหญิงกลางขุนเขา ราวกับว่าผมอยู่ในหนัง Holly Wood ยังไงยังงั้น สุขาสาธารณะที่นี่สะส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว จะเป็นหลุมใหญ่แล้วมีที่เหยียบหรือพื้นไม้กระดานให้เราได้นั่งยองๆ หรือยืนปัสสาวะเวลาฉี่หรืออึกันครับ อารมณ์คล้ายประเทศจีน แต่ที่นี่ Organic กว่า เพราะจะมีเศษดินหรือมูลสัตว์ให้กลบตบท้ายตามหลุมดำนั้น หลังจากทำภารกิจเสร็จ มาไม่นานก็เจออะไรๆ Unseen แล้วไงล่ะ ฮาๆ
อุปกรณ์เก็บภาพความทรงจำหลักๆ ของผมในทริปนี้มีอยู่สองอย่างด้วยกันคือ กล้องมือถือและกล้อง Gopro ครับ และนอกเหนือจากสองอย่างหลักๆ ที่กล่าวมาก็ยังมี Gadget เก๋ๆ อย่าง Drone มาอีก 1 ตัว ซึ่งก็กะจะเอามาเก็บภาพมุมสูงโดยใช้ Gopro ที่เอามาด้วย มายึดติดใต้ท้อง Drone นี่แหละครับ หลังจากที่เก็บภาพ Standard จากมือถือเรียบร้อย ก็ยึดติดกล้อง Gopro กับ Drone แล้วปรับโหมด ถ่ายวีดีโอ + ถ่ายภาพในขณะที่ตัวกล้อง Recording ซึ่งอิเจ้าโหมดนี้จะทำให้เราสามารถเก็บทั้งวีดีโอและภาพทุกๆ 5 วินาทีที่เราบินขึ้นไปเหนือฟ้าครับ เป็นยังไงกันบ้าง มีความ 2 in 1 ไหมครับ และนี่คือภาพที่ได้จากการบินเหิญฟ้ารอบแรกของนกตัวนี้…
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition ติดไว้กับ Drone | ปรับโหมดถ่ายวีดีโอ : Video + Photo/5 sec)
14 |||
กลับลงมาจากเขาในแทบจังสปา พวกเราก็ปรึกษากันว่าต้องพาคนในทีมเข้าโรงพยาบาลก่อน เนื่องจากว่ามีอาการป่วย เป็นไข้ ไม่สบาย กระสับกระส่าย คล้ายว่าจะอกหั… สัส! สาระหน่อยไม ฮาๆ เออออ… นั่นแหละ พี่ชายในทีมของเราคนหนึ่งมีอาการไม่สบายมาตั้งแต่เมื่อวานครับ อาจจะถูกพิษของกลิ่นรักแร้ที่เมืองเดลลีก็เป็นได้ ฮาๆ เราเลยพาพี่ชายแวะไปที่โรงพยาบาลเพื่อฉีดยาไปเลย เอาให้หาย ไม่งั้นเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุกกันเปล่าๆ โรงพยาบาลในตัวเมือง Leh มีที่เดียวครับ นอกนั้นจะเป็นโรงพยาบาลทหาร ซึ่งถ้าไม่ฉุกเฉินน่าจะเข้าไปรับการรักษาไม่ได้ เพราะฉะนั้น หากเพื่อนๆ คนไหนป่วย หรือต้องการการรักษาในช่วงจังหวะที่อยู่เมืองนี้ ให้ไปที่นี่ครับ Sonam Norboo Memorial Hispital ผมไม่ได้พิมพ์ผิดนะ เค้าใช้คำว่า Hispital จริงๆ หรือชาวบ้านที่นั่นจะเรียกกันว่า SNM Hospital ครับ ที่นี่ค่อนข้างแปลกเรื่องการรักษาครับ แต่แปลกไปในทางที่ดี คือหมอคิดบริการแค่ 5 Rs เท่านั้น ส่วนถ้าต้องฉีดยา จ่ายยา หรือตัวยาอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ทางแพทย์จะเขียนใบจ่ายยาให้เราไปหาซื้อเอากับร้านขายยาตามท้องตลาดเองครับ อารมณ์เหมือน USA แต่ราคาหมอถูกกว่ามากๆ ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ค่อนข้างน่าสนใจมากๆ กับการบริหารทำนองนี้ แต่เอาไว้ทีหลังแล้วกัน กลับมาเรื่องเที่ยวของเรากันต่อก่อน เด่วจะไม่จบเอา…
15 |||
เมื่อกลับจากที่พัก เราแยกกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งไหว ฝ่ายหนึ่งไม่ไหว พวกที่ไม่ไหวก็นอนพัก พวกที่ไหวก็ไปหาอะไรมาแดกค่ะ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือ Maps.me ครับ เป็น Application แผนที่บนมือถือ ใช้ได้ทั้ง Android และ ios โหลดไป แล้วชีวิตจะดีครับ เพราะเจ้า Application ตัวนี้ จะบอกเราว่าเราอยู่ตรงนั้น เมืองนี้มีร้านอาหารบริเวณไหน โรงพยาบาลบริเวณไหน สถานท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่ตรงไหน บลาๆๆ เต็มไปหมด โดยปราศจาก Internet ครับ มันเด็ดตรงนี้ เราใช้ Application นี้เพื่อการหาของกินตอนเย็นมื้อแรกใน Leh แล้วมันก็พาเราไปที่ถนน Main Bazaar ครับ ย่านนี้จะเป็นคล้ายๆ กับถนนคนเดินบ้านเรา มีของซื้อของขายของที่ระลึกเต็มไปหมด เราเดินหาร้านอาหารจนป้ายไปเตะตาเข้าร้านๆ หนึ่งที่เขียนว่า Chinese Food
คนไม่เคยไปประเทศแถบๆ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน อะไรพวกนี้ไม่มีทางรู้หรอกว่า รสชาติอาหารมันแดกไม่ได้ขนาดไหน อย่าหาว่าผมพูดเกินไปเลย ขนาดกูกินง่ายๆ กูยังทนแดกทุกวันไม่ได้ครับเพื่อนๆ การเห็นชื่ออาหารที่ใกล้เคียงกับบ้านเรานั้น จึงเป็นเหมือนอะไรที่ใกล้เคียงกับรสชาติที่มันคุ้นเคยมากที่สุด จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อาหารที่เราสั่งวันนั้นโคตรอร่อยเลย มีผัดมาม่า แพะทอด ผัดพริกแพะ และโมโม่ (โมโม่จะคล้ายๆ เกี๊ยวซ่าบ้านเรา)
16 |||
สวัสดีเช้าวันที่ 2 ในเมือง Leh-Ladark แห่งนี้ครับ วันนี้เราจะเดินทางไป Pangaong Lake ทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลกกันครับ สถานที่นี่ดังมากๆ และเรียกแขกโคตรๆ ผมรู้จักลาดาคห์ก็เพราะอิเจ้าทะเลสาบตัวนี้นี่แหละ เห็นรูปใน Pantip ของกระทู้ๆ หนึ่งที่มีเพื่อนผู้หญิงแพ้ความสูงนั่งไร้เรี่ยวแรงลงไปกับพื้นริมทะเลสาบแล้วแบบว่าภาพมันอธิบายความหมายของมันสุดๆ วันนี้เราจะได้ไปสัมผัสด้วยตัวของตัวเองแล้วสินะ การเดินทางของเราจะเช่ารถ Innova 7 ที่นั่ง 1 คัน และ Motorcycle อีก 1 คันครับ เรามีกันอยู่ 8 คน ถ้าจะนั่งอัดกันไปก็เกรงว่าจะผิดกฏหมายของที่นั่น บวกกับเจ้าเจมส์ เพื่อนของผมเค้าเป็นนักบิดอยู่แล้ว เลยอยากลองของบิดมอเตอร์ไซต์จากเลห์ไปทะเลสาบปานกองดูสักครั้ง ซึ่งเส้นทางจาก Leh ถึง Pangong Lake ก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้แวะกันเรื่อยๆ ประมาณ 4-5 ที่ขึ้นอยู่กับเวลาที่เราจัดการกันครับ โดยแผนการคร่าวๆ ของเราเบื้องต้นคือ สำหรับขาไป เราจะแวะ Shey Palace แวะทานข้าวบริเวณจุดตรวจไป Permit (บริเวณหมู่บ้าน Karu) ก่อนจะลากยาวไปหาที่พักที่ Pangong Lake ตรงยาวไปเลย ส่วนวันที่สองของรูทนี้ จะเก็บภาพบรรยากาศทะเลสาบช่วงเช้า แล้วไล่เก็บวัดอีก 3 ที่ที่เหลือจากวันแรกไล่ตั้งแต่ Chemre Gompa, Hemis Gompa และ Thiksey Gompa ก่อนที่จะกลับเข้าที่พัก…
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายภาพ Continuous/0.5 sec)
17 |||
ท้องฟ้าค่อนข้างสดใสกว่าเมื่อวาน เราจอดกันหน้าตลาดบริเวณโรงพยาบาลเพื่อซื้อเสบียงกันหิวระหว่างทาง มีหกคนอยู่ในรถ และอีก 2 คนอยู่บนมอเตอร์ไซต์ นั่นคือผมและไอ่เจมส์ ช่วงแรกจากตัวเมือง Leh ไปยัง Shey Palace มีระยะทางไม่ไกลมากและถนนค่อนข้างดี ทำให้เดินทางง่ายมากๆ
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายภาพ Continuous/0.5 sec)
Shey Palace หรือพระราชวังเช ในอดีตเคยเป็นพระราชวังในสมัยที่หมู่บ้านเช เคยเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดในลาดักห์ ถึงปลาย ค.ศ. 1630 ได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เลห์ พระราชวังเชอยู่ห่างจากเลห์ราว 15 กิโลเมตร ในอาณาบริเวณพระราชวังเชบนยอดเขามีวัดที่น่าสนใจสองแห่งด้วยกัน โดยวัดทั้งสองแห่งเป็นที่ประดิษฐานพระศากยมุนี ข้างหน้าพระราชวังเช ยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามตกปลา หรือ สัตว์น้ำอื่นๆ โดยมีรั้วรายล้อมไว้ พวกเราไม่ได้เข้าไปในพระราชวัง แต่เพียงถ่ายรูปจากบริเวณด้านนอกมาเท่านั้น
บริเวณรอบตัวปราสาทจะมีหินที่ถูกเขียนด้วยสัญลักณ์เยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งผมก็ไม่รู้ความหมายและแปลมันไม่ออก แต่รู้สึกว่าสิ่งนี้มันทำให้บรรยากาศสวยและดูขลังเข้าไปอีก เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมชอบสำหรับทริปๆ นี้
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายวีดีโอ : Video + Photo/5 sec)
18 |||
ห่างจาก Shey Palace ไม่นาน เราก็ตรงไปบริเวณจุดตรวจ Permit ครับ ซึ่งใบ Permit นี้ เราติดต่อกับ Agency เราเลย ข้อมูลเชิงลึกผมไม่ทราบมากนัก แต่รู้เพียงว่าในกรณีของผมคือ ซื้อ 700 Rs สามารถเข้าออกบริเวณที่ต้องใช้ Permit Card ตลอด 7 วันเลย ซื้อครั้งเดียวไปได้ทุกที่ที่ต้องใช้ใบ Permit แต่หากเพื่อนคนไหนที่จำเป็นต้องใช้ Permit เพียงแค่ 3 วัน หรือ 5 วัน ราคาก็จะลดหลั่นลงมาตามลำดับครับ ซึ่งใน Chart ราคาส่วนนี้ เราสามารถขอดู Reference rate กับทาง Agency ของเราได้ เอาเข้าจริงๆ จนจบทริป ผมก็ยังไม่เห็นใบ Permit ของตัวเองเลย นึกแล้วก็ขำ เที่ยวแบบทิ้งขว้างมากๆ ฮาๆ หลังจากที่เช็คใบผ่านแดนเรียบร้อย เราก็กลับลงไปที่ Karu ไปหาอะไรทาน ก่อนที่จะยิงยาวไปยัง Pangong lake เดสทิเนชั่นของพวกเราสำหรับรูทนี้…
19 |||
ต้องบอกว่ามันเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับผมมากๆ สำหรับถนนแบบนี้ ถนนที่เป็นหน้าผา ถนนที่ไม่สมบูรณ์ ถนนที่เห็นถึงความพยายามของผู้รับเหมาก่อสร้างหรือชาวบ้านที่คอยเฝ้าตรวจสอบดูแลอยู่เสมอ ถนนเส้นนี้ ถ้าใครพลาด ต้องบอกว่า เมิงตายสถานเดียว เพราะว่าหลังจากตกลงไปหรือกแหกโค้งออกไปแล้ว ศพคงไม่ต้องเก็บ เพราะมันคือเหวดีๆ นี่เอง
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายวีดีโอ : Video + Photo/5 sec)
ระหว่างทางไป Pagong lake เราจะสังเกตุเห็นทหารเฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่ทุกๆ เมืองที่เราขับผ่าน และจุดพีคๆ อีกจุดหนึ่งของเส้นทางนี้คือ เราจะขับผ่านถนนที่สูงเป็นอันดับสามของโลกนั่นเอง
Chang La Pass เป็นจุดหรือบริเวณถนนทางผ่านที่มีความสูงประมาณ 5,360 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางหรือถนนที่สูงเป็นอันดับสามของโลก ในช่วงที่เราไปหลังจากผ่านหมู่บ้าน Zingral ก็จะเริ่มมีหิมะประปราย จนก่อนจะมาถึงจุด Chang La Pass ประมาณ 3 กิโล ถนนก็จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะบริเวณนั้นทั้งหมด
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายวีดีโอ : Video + Photo/5 sec)
20 |||
หลังจากผ่านช่วง Chang La Pass ไป ถนนจะมีหิมะที่หนาขึ้น ทุกยาวขาวโพลนไปหมด ทำให้ยากต่อการขับขี่ ผมกับเจมส์ขับรถล้มเพราะว่าบนเส้นทางนั้นมีทั้งน้ำและหิมะผสมกัน ทำให้ถนนลื่น เลยตกลงกันว่าให้เจมส์ขับไปต่อคนเดียว แล้วผมจะกลับเข้าไปนั่งบนรถ Innova กับเพื่อนๆ
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายวีดีโอ : Video + Photo/5 sec)
ยอมรับจริงๆ ว่าถนนเส้นนี้สวยงามมากๆ ตอนแรกคิดในใจว่าอยากให้พ่อแม่มาด้วย แต่ก็ต้องกลับไปคิดพิจารณาใหม่ ว่าเหมาะสมหรือเปล่า เพราะถ้าร่างกายนักเดินทางไม่พร้อม ก็อาจจะทำให้ทริปนั้นของใครหลายคนเฟลไปตลอดหนึ่งอาทิตย์ เพราะการมาสถานที่แบบนี้ร่างกายต้องค่อนข้างพร้อมพอสมควร ไหนจะเรื่องเมารถ เมาอากาศ แพ้ความสูง แดดที่ร้อนมากๆ แต่อากาศกลับหนาวโคตรๆ อาหารที่ไม่ค่อยมีกินหรือรสชาติเหมือนบ้านเราสักเท่าไหร่ ก็อย่างที่บอก มาที่นี่จะเจอแดดเผา พร้อมๆ กับหิมะกัดจริงๆ ด้วย…
21 |||
ในที่สุด เราก็มาถึง Pangong Lake สักที…
สิ่งแรกที่เราตามหาคือที่พัก หาประมาณ 2-3 ที่ เปรียบเทียบราคา แล้วรีบขนของเข้าไปข้างในครับ ที่นี่หนาวกว่าเมืองเลห์ประมาณสองเท่า อาจจะเป็นเพราะลมที่พัดไม่มีหยุดด้วยก็ได้ แต่เอาเป็นว่า อยู่ข้างนอกแล้วมือม่วง แข็ง และกระดิกไม่ได้ครับ
คืนนี้เราพักกันที่ Guest House หนึ่งที่จำชื่อไม่ได้ ราคาคนละ 300 Rs ไม่รวมอาหาร Heater ไม่มี แต่ได้ไออุ่นจากขี้จามรีแทน คือเค้าจะทยอยเอาขี้จามรีมาเผาเป็นไออุ่นให้เราครับ มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ในเวลานี้ ในคืนที่อยู่ทะเลสาบเราคุยกันไม่มาก และหลับไปเพราะอากาศที่หนาวสุดๆ
22 |||
ตื่นแต่เช้ามาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเตรียมตัวทำตัวชิคๆ ถ่ายรูปให้เข้ากับบรรยากาศของทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลกนามว่า ปานกอง ครับ
Pangong Tso หรือทะเลสาบปันกองห่างจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 4-5 ชั่วโมง โดยเส้นทางมายังทะเลสาบปันกองต้องผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางเรียกว่า Chang La Pass ที่ความสูงประมาณ 5,360 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางหรือถนนที่สูงเป็นอันดับสามของโลก การเดินทางเข้ามายังทะเลสาบปันกองจะต้องมีการทำใบอนุญาต permit เข้าพื้นที่ ทะเลสาบปันกอง มีความยาวราว 130 กิโลเมตร กว้าง 6-7 กิโลเมตร โดยมีพื้นที่ 30 % ของทะเลสาบอยู่ในเขตของประเทศอินเดีย และ พื้นที่อีก 70 % อยู่ในเขตประเทศจีน
ทะเลสาบปันกองเป็นทะเลสาบน้ำเค็มแต่ ออกแนวกร่อยๆ อารมณ์เหมือนเป็นเพราะแร่ธาตุจากหินภูเขา ความสูงของทะเลสาบปันกองประมาณ 4,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล เมื่อมาเที่ยวเลห์สิ่งที่ไม่ควรพลาดเที่ยวชมก็คือทะเลสาบปันกองนั่นเอง ความสวยงามของน้ำที่ฟ้าใส ตัดกับภูเขาดินทรายสีแดงที่ทะเลสาบยังมีแคมป์ให้เราพักค้างแรมได้แต่ไม่ใช่ช่วงที่เราไป เพราะขนาด Hostel หรือ Guest house ยังปิดเกือบหมด ฮาๆ
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition เอากล้องติดโดรน | ปรับโหมดถ่ายวีดีโอ : Video + Photo/5 sec)
ระหว่างการเดินทางสู่ทะเลสาบปันกองเราสามารถพบเห็นสัตว์อนุรักษ์คือตัวมอมอต คล้ายกระรอกตัวโต มอมอต จะปรากฏออกมาให้เราเห็นในช่วงฤดูร้อน เพราะฉนั้นอย่าถามว่าเราเจอเจ้ามอมอตมั้ย เราเจอได้เพียงเจ้ามอไมและเจ้าจามรีเท่านั้น ฮาๆ
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายวีดีโอ : Video + Photo/5 sec)
23 |||
ในช่วงที่เราขับกลับหิมะก็ตกครับ ที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ พอหิมะตกจะมีชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่มานั่งจับกลุ่มร่วมกันข้างถนนเป็นระยะๆ เพื่อคอย Support หากถนนปิดหรือไม่สามารถให้รถผ่านได้ พวกเขาก็จะทำหน้าที่เกลี่ยและขุดเอาเจ้าหิมะหนาๆ ที่ถล่มมาปิดทางออกนำร่องไปก่อน และรอให้รถไถมาไถหิมะ เคลียถนนออก หากหิมะมีความหนาที่หนาจนต้องใช้เครื่องจักร และสิ่งที่ผมสงสัยคือ ทำไมเค้าไม่หนาวกันและทำไมเค้ามีความรับผิดชอบมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ถนนเส้นนี้ก็ไม่ได้จะมีรถสัญจรถี่เหมือนอย่างบ้านเรา นานๆ ทีจะมีรถผ่านมาสักคัน…
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายภาพ Continuous/0.5 sec)
24 |||
ขับกลับไล่มาเรื่อยๆ ตามแผนก็จะแวะเก็บวัดอีก 3 วัดที่เหลือครับ เริ่มต้นที่ Chemre Gompa
สำหรับข้อมูลเบื้องต้นของ Chemre Gompa ต้องบอกอย่างโง่ๆ เลยว่า กุหาไม่เจอ ๕๕๕ เอาเป็นว่า มันสวยครับ มันเป็นวัดที่ถูกต่อเติมอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งในหมู่บ้าน Chemre ดูจากภายนอกงดงามอย่างกับว่าตรงหน้าเราคือ Postcard เลย
(ถ่ายด้วย Gopro Hero4 : Black edition | ปรับโหมดถ่ายภาพ Continuous/0.5 sec)
25 |||
ถัดจาก Chemre Gompa เราจะมุ่งหน้าไปที่ Hemis Gompa…
ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไป เหมือนว่าพายุกำลังจะเข้า สองจิตสองใจว่าจะไปดีมั้ย แต่เมื่อมาถึงแล้ว ก็ต้องไป ไปดูว่ามันจะเป็นยังไง ถ้าไม่ไหวค่อยหันหัวรถหักหนี
Hemis Gompa หรือวัดเฮมิส ตั้งอยู่สุดถนนอันคดเคี้ยวที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำสินธุ ห่างจากตัวเมืองเลห์มาประมาณ 45 กิโลเมตร เป็นวัดเก่าแก่โบราณที่มีอายุ กว่า 400 ปี ถือว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเลห์ โดยทุกๆปีจะมีการจัดงานระบำหน้ากากของพระลามะ ให้ชมกันที่วัดเฮมิส ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงเดือน มิถุนายน – กรกฎาคม งานใหญ่ของวัดแห่งนี้คือการนำภาพพระกบฎขนาดมหึมา นำออกมาให้บูชาทุกๆ 12 ปี (ครั้งหน้าปี 2016 ก็คือปีนี้นั่นเอง)
26 |||
Thiksey Gompa หรือวัดติกเซ่ก่อตั้งกลางศตวรรษที่ 15 เป็นวัดในนิกายหมวกเหลือง หรือ นิกายเกลุกปะ เป็นวัดที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของทิเบตน้อยเลยก็ว่าได้ วัดติกเซ่อยู่ห่างจากตัวเมืองเลห์ไปราว 17 กิโลเมตรเท่านั้น และ ห่างจากพระราชวังเชประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้นดังนั้นการท่องเที่ยวที่วัดติกเซ่สามารถเที่ยวได้วันเดียวกันการเที่ยวพระราชวังเชเพราะอยู่ไม่ห่างไกลกันมาก ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรย์ซึ่งมีความสูงเท่าอาคารสองชั้น แต่หน้าเสียดาย ที่ผมไม่ได้เข้าไปเก็บภาพมา T T
ก่อนกลับพวกเราแวะซื้อของที่ระลึกบริเวณ Shop หน้าวัดครับ ซื้อธงมนต์ และของนู่นของนี่ บังเอิญไปเจอลูกเจ้าของร้าน ไม่ก็ไกด์น้อย ลองขอถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึกแลกกับ ทิวลี่ 1 ซอง จะบอกอีกเรื่องคือ เด็กๆ ที่ลาดาคห์ น่ารักนะ ผู้ใหญ่ที่เมืองนี้ก็เช่นกัน ฉันสัมผัสได้
27 |||
คืนนี้เราเปลี่ยนที่พัก ไปหาที่พักที่มี Heater เพราะช่วงหน้าหนาวที่เมืองนี้มันหนาวจริงๆ นะ เราได้ที่พัก Bimla ราคาห้องละ 800 บาท นอนได้ 3 คน มี Heater ให้ ส่วนน้ำร้อนจะเป็นแบบถัง คือเค้าจะต้มน้ำร้อนมาให้แล้วยกมาที่ห้องพวกเรา จริงๆ Shower ก็มี แต่ช่วงที่เราไปเหมือน ระบบอะไรของเค้าเสียก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่า คืนนี้เราพักที่นี่ละกัน
28 |||
อาหารไทย คงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสุดๆ ณ เวลานี้ เราพยายามตรงดิ่งไปที่ร้านอาหารไทย จนกระทั่งแผนที่ทำให้เราไปพบกับ Happy World โอ้วมายกอด กูจะได้แดกผัดกระเพรา ลาบเป็ด คอหมูย่าง ตำปูปลาร้า แต่ให้ตายเถอะ เปิดไปเจอแต่ผัดไทย ต้มไก่ แพนงไก่ แกงเขียวหวาน
เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ มันยังดีที่ยังมีอาหารไทยให้เราสั่งนะเว้ย และหลังจากสั่งหลายๆ เมนูมา ปรากฏว่าแดกไม่ได้ค่ะ จากในรูปคือแกงเขียวหวาน แม่งยังกับฝนใบสาบเสือมาให้กูแดก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อาหารไทย อย่าริมาสั่งในอินเดียเด็ดขาด อาเมน…
อ่านต่อตอนสอง : Nubra Valley
เพื่อนๆ สามารถติดตามข่าวสารและ Life Style ชีวิตท่องเที่ยวของผมได้ที่
Line : http://goo.gl/Ktk5Fv
Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com
#palapilii #palapiliithailand
#Gopro #Goprothailand #GoproGotravel
#citibannk #citibankthankyou