Backpack จางเจียเจี้ย ดินแดนแห่งอวตาร ด้วยเงิน 15,000 บาท

DCIM101GOPRO

:: ทริปนี้เป็นอีกทริปที่อิ่มด้วยมิตรภาพและฉากสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ฉางซา นั่งรถต่อไปที่เฟ้ยหวงไปชมเมืองโบราณ ไปจางเจียเจี้ยขึ้นยอดเขาเทียนเหมินซาน
เดินบนกระจกแก้วที่ยาวที่สุดในโลกลัดเลาะไปตามหน้าผาสูงชัน ไปอู่หลินหยวนเพื่อชมดินแดนอวตาร
เห็นหิมะครั้งแรก ลิฟท์แก้วที่สูงที่สุดในโลก  ภาพวาดสิบลี้ ลำธารแสงทอง เคาท์ดาวน์ที่ฉางซา บลาๆๆ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ด้วยงบชิคๆ เพียง 15,000 บาท เก็บกระเป๋าทำตัวคูลๆ แล้วเดินทางไปกับเรากันได้เลย : )

reviewed by : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

จองตั๋วเครื่องบิน

:: สำหรับการจองตั๋วเครื่องบิน เพื่อนๆ ควรตรวจสอบราคาของแต่ละสายการบินว่าเหมาะกับรูทการเดินทางของตัวเองรึป่าว
ซึ่งสายการบินที่บินจาก กรุงเทพฯ ไปฉางซาก็มีหลายสายการบินอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Air China, Cathay Pacific
China Eastern Airlines, China Southern Airlines, Hainan Airlines, Hong Kong Airlines, Korean Air, Shenzhen Airlines
Thai AirAsia และ Thai Airways ซึ่งสำหรับ Backpacker อย่างพวกเราก็ควรจะหนีไม่พ้นสายการบิน Low Cost อย่าง AirAsia

:: นี่คือรูทและราคาสมมติสำหรับสายการบิน Airasia ครับ ราคาจะอยู่ประมาณนี้ไม่ไปไหน ถ้าจองได้เกิน 8000 ถือว่าแพงไป
ระคาที่เคยเจอถูกสุดจะอยู่ในเรท 3,000 – 5,000 บาท อันนี้แล้วแต่ช่วงแล้วแต่ดวงจริงๆ ราคามันจะวนไปเรื่อยๆ ครับ
ต้องรอโอกาสดีๆ สำหรับที่นี้ตั๋วไปกลับ 6,000 ถือว่าโอเคแล้ว ครับ แต่ของผมสอยมาช่วงปีใหม่เลยโดนทุบเข้าไปที่ 7,800 บาท
เอาหล่ะ ยังไงเพื่อนๆ ก็รีบวางแผนเร็วๆ นะครับ จะได้เตรียมตัวจองตั๋วเครื่องบินแต่เนิ่นๆ ราคาจะได้ถูกสมใจ

การทำ VISA

เอกสารขอวีซ่าจีน (การไปเที่ยว ถือเป็น VISA type L)
– หนังสือเดินทางอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และต้องมีหน้าว่าง
– แบบฟอร์มขอวีซ่าเข้าประเทศจีน ( http://songkhla.chineseconsulate.org/eng/lsfw/qztw/P020140206636653613034.pdf )
– รูปถ่ายสี ขนาด 2 นิ้ว x 2 นิ้ว เป็นรูปปัจจุบัน พื้นหลังสีขาว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่มีกรอบ จำนวน 1 รูป
เอกสารเพิ่มเติมสำหรับรับรองชีวิตความเป็นอยู่ของเราที่นั้น
– ใบจองโรงแรม
– ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
– หลักฐานการเงิน เช่น สมุดบัญชีธนาคาร

ขั้นตอนการขอวีซ่าจีน
– ไปด้วยตัวเอง หรือ ฝากใครยื่นเอกสารแทนก็ได้
– เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน อย่าลืมเด็ดขาด ไม่งั้นจ่ายค่าพี่วินบานแน่ ที่จอดรถก็ไม่ค่อยมี ๕๕
– ไปยื่นเอกสารขอวีซ่าจีน ได้ที่ อาคาร AA Building ถนนรัชดาภิเษก ติดกับสถานทูตจีน ในวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา09.00 – 11.30 น.
– รอเรียกบัตรคิว ตรงนี้ต้องคอยสังเกตเสียงกริ่ง และ ตัวเลข หน้าจอดี ๆ นะ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ขานเรา
– เจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารว่าครบถ้วนหรือไม่ ถ้าครบถ้วนเจ้าหน้าที่จะถามว่าต้องการรอกี่วัน โดยเสียค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน
ถ้ารอ 4 วัน 1,000 บาท ถ้ารอ 2 วัน 1,800 บาท ถ้ารอรับเลย 2,200 บาท ยังไงก็ดูความรีบเร่งของเราเองด้วยครับ
จากนั้นจะได้ใบรับเล่มพาสปอร์ตคืน แล้วเอามายื่นให้เจ้าหน้าที่ตามวันเวลาที่กำหนด
– เมื่อถึงกำหนดตามที่ตกลงกับเจ้าหน้าที่ไว้ ก็ไปชำระเงินและรับวีซ่ากับพาสปอร์ตคืน แค่นี้ครับง่ายๆ

**** แต่อะไรรู้มั้ย? : สำหรับหลายคนทำงานประจำไม่มีเวลาไปยืนต่อคิวรอทำวีซ่าและไปรับวีซ่าหรอก
วีธีที่ผมทำคือเข้า google แล้ว search “รับจ้างทำวีซ่าจีน” แค่นี้ครับ ง่ายๆ ไม่เสียเวลา เสียเงินเท่าๆ กัน
พี่เค้าคิดค่าทำแค่ 800 บาทเอง ถ้าไปเอง ยื่นเอง เสียทั้งค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าเสียเวลา สรุปจ่ายพอๆ กัน แถวสบายกว่า ๕๕
****

หมายเหตุ : ถ้าไปทำเอง ควรเตรียมปากกาไปด้วย เพราะที่สถานทูตไม่มีบริการ แต่มีขายในราคา 10 บาท

** เพื่อนๆ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความแน่นอนได้ที่กระทู้นี้ครับ : http://pantip.com/topic/32629735 **

จองที่พัก

:: จริงๆ มันก็มีที่พักให้เลือกเยอะแยะมากมายเลยหล่ะ แต่เราจะเอาที่พักที่เราไปพักแนะนำให้เลยแล้วกัน
เพราะราคาถูก สภาพโอเค พนักงานและเจ้าของที่พักดูแลดีมาก เริ่มจากเมืองแรกเลยแล้วกันนะ

เฟ้ยหวง – Fenghuang Encounter Inn เป็นที่พักที่อยู่ใกล้เมืองโบราณมากๆ มีห้องหลายรูปแบบให้เลือก
Double Bed, Twin Room และ Guest Room ก็มี ห้องน้ำสะอาด เตียงนุ่มสภาพสมกับราคามากๆ ครับ
เราจองห้อง Twin Room ไป ค่าเสียหายเพียง 148 หยวนต่อห้อง นอนกันสองคนก็จ่ายแค่คนละ 74 หยวน
ข้อมูลเพิ่มเติม : NO.5 Tangjia Alley,Laoyingshao Road, Fenghuang (Phoenix), Fenghuang (Phoenix), China 416201

จางเจียเจี้ย – Zhangjiajie Yijiaqin Hotel ที่เป็นโรงแรมที่ผม Recommend มากๆ ครับ เพื่อนๆ จะได้อยู่ในโรงแรมดีๆ
ในราคาถูกๆ เจ้าของโรงแรมใจดีมาก แนะนำดีมาก แถมยังขายตั๋วขึ้นเขาเทียนเหมินซานในราคาที่ถูกกว่าซื้อหน้างานอีกด้วย
ทั้งไปรับไปส่งฟรี ขนาดเรากลับยังเดินมาส่งถึงที่ขึ้นรถเลย ที่สำคัญอยู่ใกล้ Bus Station โคตรๆ เดินแป๊ปเดียวถึง
ข้อมูลเพิ่มเติม : No.25 Pengjiapu Neighbourhood Zhangjiajie, HN, China เบอร์โทรศัพท์ +86 744 886 9588

อู่หลินหยวน – แนะนำ hostel ชิคๆ อย่าง Wulingyuan Zhongtian International Youth Hostel เลยครับ
เป็นกันเองโคตรๆ ข้ามสะพานไปหน่อยก็อยู่กลางเมืองแล้ว ห้องสภาพดีมาก แต่ระบบระบายน้ำไม่ค่อยโอเคเท่าที่ควร
ผาหนังทั้งห้องพักด้านนอกจะเต็มไปด้วยรอยจาลึกของ Backpacker ที่เขียนจารึกเอาไว้ ซึ่งผมก็ทิ้งไว้เช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม : Baofeng Road, Wulingyuan, Zhangjiajie, Hunan เบอร์โทรศัพท์ +86 744 562 8339

ฉางซา – พวกเราพักกันที่ Motel168 Changsha Railway Station Inn ที่พักสภาพดี มีลิฟท์ให้ มีชักโครก
เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี โทรศัพท์ โทรทัศน์ คือมันคือโรงแรมในเมืองหลวงอะครับ วันสุดท้ายพักสบายๆ หน่อย
ข้อมูลเพิ่มเติม : NO.77 Wu Yi Rd Changsha Hunan 410001 China เบอร์โทรศัพท์ 02 105 5728

** สำหรับราคาแต่ละที่ เด่วจะกลับมา confirm ให้นะครับ แต่รับรองว่าทุกคนรับได้แน่นอน **

แลกเงินที่ไหนดี

:: เรื่องนี้สำคัญมากๆ นะครับ การไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ใช้การเอาเงินไปเล่นแค่พันสองพัน
แต่มันเข้าหลักหมื่นหลักแสนเลยนะครับ แล้วยิ่งถ้าไปกันหลายๆ คนด้วย เศษสตางค์เพียงไม่กี่หลัก
อาจทำให้ชีวิตพินาศได้ เช่น ที่ A ให้อัตราแลกที่ 4.56 ส่วนที่ B มีอัตรแลกที่ 4.45
จากตัวอย่างข้างบนแล้ว ต่างกันเพียง 0.11 หยวนเองนะครับ แต่ในกรณีที่ไปต่างประเทศ
สมมติว่าเราแลกเพียงแค่ 100,000 บาท เมื่อเอา 0.11 หยวนมาคิด ก็จะเห็นความแตกต่างตรงนี้ครับ
เอาหละ มาลองคิดกันดู ถ้าแลกในเรทร้าน A จะได้มา 21,229 หยวน, B ได้ 22,471 หยวน
เมื่อเอา 22,471 – 21,229 = 1,242 หยวน คิดเป็นเงินไทยมีค่าประมาณ 5,500 กว่าบาทเลยนะครับ
เพราะฉนั้นเรื่องนี้จึงสำคัญมากๆ โดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมแนะนำให้ไปแลกที่ Super Rich ครับ


http://superrichthai.com

สัมภาระและการเตรียมตัว

:: ตัวบ่งชี้อย่างหนึ่งที่จะบอกว่าเราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร เอาอะไรไปบ้าง ต้องแต่งตัวแบบไหน
ถึงจะเข้ากับบรรยากาศและเหมาะสมกับสถานที่นั้นๆ ได้ชิคสุดๆ คูลโคตรๆ สิ่งนั้นคือสภาพอากาศ
ซึ่งฤดูกาลในประเทศจีนก็เหมือนบ้านเราคือมี 4 ฤดู แต่สภาพอากาศจะค่อนข้างต่างกันเลยหละ

– ฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิ 10-22 องศาเซลเซียส
– ฤดูร้อน  ประมาณเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม อุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียสและมากกว่า
– ฤดูใบไม้ร่วง  ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม อุณหภูมิ 10-22 องศาเซลเซียส
– ฤดูหนาว  ประมาณเดือนพฤศจิกายน-กลางมีนาคม อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียลและต่ำกว่า

:: ช่วงที่ผมไปเป็นฤดูหนาว 27 ธันวา – 1 ม.ค. ดังนี้นเสื้อผ้าหน้าผมจึงต้องพร้อมมากหน่อย
สิ่งที่จำเป็นและควรจะมีไปสำหรับทริปนี้มีประมาณ 10 อย่าง มาเริ่มกันเลย

1. Passport + ใบจองโรงแรม (อันนี้ห้ามหายเลยนะ)
2. ตัววัดอุณหภูมิ (แนะนำแบบปรอทนะ จะได้ถ่ายรูปมาอัพเฟสแบบคูลๆ ๕๕)
3. Backpack ที่เหมาะกับตัวและสัมภาระของตัวเงอ
4. เสื้อกันหนาว ถุงเท้ากันหนาว ถุงมือกันหนาว หมวกกันหนาว ถ้าอากาศหนาว ๕๕๕
5. รองเท้าแตะเอาไปด้วยนะ และก็ผ้าใบหรือบูทก็ต้องเอาไปด้วย ทริปนี้เดินเยอะเ_ึ้ยๆ (พ่อกลับมาพาไปโรงบาลเลย)
6. แผนที่แต่ละเมือง ควร print ติดตัวไว้ก่อน ยังไงก็ได้ใช้
7. ตัวอักษรจีนในแต่ละที่ที่ไป แต่ละเมืองที่ไป พิมพ์หรือเขียนไว้เพื่อเอาไปโชว์เค้าเวลาบอกทาง (ชาวจีนไม่ค่อยรู้ภาษาอังกฤษ)
8. ปริ๊นท์รูปภาพแต่ละสถานที่ไปด้วย ถ้าตัวอักษรบอกอะไรไม่ได้ก็เอาภาพนี่แหละ โชว์ให้เค้าดูเลย
9. กล้องถ่ายรูป (ของผมใช้ 2 ตัว มี Gopro Hero2 กับ Cannon 70D)
10. ออกกำลังกายก่อนไปให้เยอะๆ เพื่อให้พร้อมต่อสถานการณ์หน้างานที่ไม่คาดคิด รู้ใช่มั้ย Backpacker เป็นยังไง

แผนการเดินทางและวิธีการเดินทางในดินแดนอวตาร

:: หัวข้อนี้ผมจะโชว์แผนการเดินทางของผมให้เพื่อนๆ ได้ดูนะครับ ว่าช่วงเวลาและวันต่างๆ
พวกเราไปหยุดจอดและแวะพักที่ไหนบ้าง ซึ่งตารางการเดินทางนี้ ผมเอามาประยุกต์ใช้กับทุกทริป
โดยสำหรับทริปนี้เราจะเดินทางตั้งแต่เช้าวันที่ 27 ธ.ค. – 1 ม.ค. 58 ซึ่งเป็นเวลา 6 วันด้วยกัน…

:: จากแผนการเดินทางข้างต้น ก็น่าจะทำให้เพื่อนๆ ดูออกแล้ว ว่าวันนี้เวลานี้เราอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่
เพื่อนๆ สามารถนำตารางนี้ไปประยุกต์ใช้กับทริปเพื่อนๆ ได้ครับ ทำง่าย และสะดวกต่อการเดินทางของเราด้วย
ถ้าสังเกตุจากแผนของผม หลังจากลงเครื่องแล้ว ผมมีการเดินทางต่อไปอีก เรียกได้ว่าไม่พักกันเลย
และที่ที่ผมเดินทางต่อจากประเทศจีนก็คือ ทริปนี้เลยครับ : http://pantip.com/topic/33075940

สำหรับข้อมูลและวิธีการเดินทางไปยังสถานทีต่างๆ รวมถึงรอบรถและเวลาขึ้นลง ผมได้สรุปคร่าวๆ ไว้ดังนี้

เส้นทางที่ 1 : กรุงเทพฯ สู่ฉางฉา

:: สำหรับเส้นทางนี้ก็อย่างที่บอกเอาไว้ข้างต้นครับว่าต้องนั่งเครื่องบินไป หรือใครคึก
อยากจะวิ่งอยากจะเดินหรือขับรถข้ามประเทศก็ได้นะครับ เราไม่ว่ากัน แถมสนับสนุนด้วย
สำหรับผม ทริปๆ นี้ผมจองตั๋ของ Airasia นะครับ เพราะเป็นสายการบินที่ราคาโดนใจที่สุดแล้ว


โดยขาไปและกลับมีแค่เวลาเดียวเท่านั้น คือขาไปเครื่องออก 07:35 ถึงตอน 12:05 น.
ส่วนขากลับเครื่องจะออกเวลา 12:55 และถึงตอน 15:35 น. ยังไงก็วางแผนกันดีๆ นะครับ

ข้อมูลสำหรับการ Book Flight : http://booking.airasia.com

เส้นทางที่ 2 : ฉางซา สู่เฟ้ยหวง

:: หลังจากที่เราลงมาจากสนามบิน วิธีที่จะเดินทางต่อไปที่ใดซักที่คือต้องเข้าไปในเมืองมันก่อนครับ
เข้าไปเพื่อที่จะไปจุดศูนย์กลางของจุดเริ่มต้น เพื่อเดินทางไปยังที่ต่างๆ ที่เราต้องการ ซึ่งวิธีไปมี 2 วิธี
คือ โบก Taxi ไป จาก Airport – West Bus Station ราคา 100 หยวนขาดตัวครับ อย่าเกินนี้
ส่วนอีกแบบคือนั่ง shuttle Bus ไป  ราคานี้จะตกที่หัวละ 29.5 หยวนครับ ราคาสวยงามมาก

จะอธิบายเพิ่มเติมแบบนี้นะครับ

– ถ้ามาคนเดียว หรือมาเป็นคู่ : ควรนั่ง Shuttle Bus ไปครับ เพราะ Shuttle Bus เข้าไปที่ Chansha Westhern Bus Station
มีราคาเพียงคนละ 29.5 หยวนเท่านั้น ไปกันสองคนราคาประมาณ 60 หยวน ชิวๆ ใช้เวลาราวๆ 1 ชม. ก็ถึงครับ
แต่อาจจะเสียเวลาในการรอรถนิดหน่อย จนกว่าที่ Bus จะเต็ม เท่านั้นเองครับ (รถออกทุก 30 นาที)

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.travelchinaguide.com/cityguides/hunan/changsha/airport/

– มากันสามคนขึ้น : นั่ง Taxi ไปเลยครับ เหมาะไปที่ West Bus Station แค่คันละ 100 หยวน นั่งกันได้ 3 – 4 คนเลย
(ประเทศจีนห้ามนั่ง Taxi เกิน 4 คน) แต่จริงๆ แล้วอัดไป 5 คนแล้วให้ทิปก็น่าจะโอเคครับ ลองคิดดูครับ
สมมติว่าไปกัน 4 คน หารกันตกแค่คนละ 25 หยวน ถูกกว่านั่ง Shuttle Bus เห็นๆ แถมทำเวลาได้ดีกว่าไม่มากก็น้อย

:: สำหรับการเดินทางจาก  West Bus Station ไปยัง Fenghuang จะใช้เวลาราวๆ 6 ชั่วโมง
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคนละ 150.5 หยวนต่อคน (ราคาจ่ายจริงหน้างาน) โดยมี 4 รอบให้เลือกดังนี้



ข้อมูลเพิ่มเติม : http://chinabusguide.com/changsha-intercity-bus/hunan-fenghuang.html

เส้นทางที่ 3 : เฟ้ยหวง สู่จางเจียเจี้ย

:: สำหรับการเดินทางจาก  Fenghuang ไปยัง Zhangjiajie จะใช้เวลาราวๆ 4.5 ชั่วโมง
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคนละ 80 หยวนต่อคน (ราคาจ่ายจริงหน้างาน) โดยมี 5 รอบให้เลือกดังนี้

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://chinabusguide.com/fenghuang-intercity-bus/zhangjiajie.html

เส้นทางที่ 4 : จางเจียเจี้ย สู่อู่หลินหยวน

:: สำหรับการเดินทางจากจางเจียเจี้ย สู่อู่หลินหยวน ถือเป็นการเดินทางระหว่างเมืองเล็กๆ ครับ
สามารถอาศัย Bus no.2 ไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยราคาคนละ 12 หยวน (ราคาจริงหน้างาน)
ซึ่งตารางเวลารถออกไม่มีเป็นที่แน่นอน เพราะต้องรอกันที่ท่ารถข้างทางนะครับ
หรือจะเดินกลับเข้าไปใน Bus Station อีกรอบก็ได้ ยังไงก็ลองดูครับ No.2 ถึงอู่หลินหยวนแน่นอน

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.travelchinaguide.com/cityguides/hunan/zhangjiajie/transportation/

เส้นทางที่ 5 : อู่หลินหยวน สู่ฉางซา แล้วกลับบ้านกัน

:: เส้นทางนี้ขอโทษทีไม่มีตารางมาบอกนะครับ เพราะต้องไปจองหน้างานเท่านั้น
และก็มีรอบเดียวทั้งวัน คือรอบ 08:00 น. ราคาตั๋วแพงพอตัวที่คนละ 100 หยวน
ใช้เวลาในการเดินทางราวๆ 6 ชั่วโมง แต่สภาพรถโอเคครับ นอนหลับสบายเลย


:: หลังจากที่ทัวร์เมืองฉางซาเสร็จเรียบร้อย ถ้าเพื่อนๆ จะกลับไปที่สนามบินก็เหมือนเดิมครับ
มี Choices ให้เลือก 2 Choices คือ Taxi กับ Shuttle Bus ที่ผมได้แนะนำไว้เบื้องต้น
ถ้าจะไป Taxi ก็โบกกันข้างทางได้เลย แต่ถ้าจะกลับ Shuttle Bus ก็ต้องนั่งรถเมย์กลับไปที่
Bus Station ก่อน ซึ่งสายรถเมย์ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละที่พักที่เราอยู่ว่ารถสายไหนผ่าน
ยังไงลองถามเค้าดูอีกทีก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ให้เช็คเวลา Take off ของเครื่องเราด้วย
ว่าออกเวลากี่โมง อย่าง Airasia ออกตอน 12:55 น. ก็ไปก่อนซัก 2 ชั่วโมงกำลังดี
เพราะการตกเครื่อง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แต่ถ้าไม่มีปัญหา ก็อย่าได้แคร์ ๕๕๕

เมืองที่เราจะไปเป็นอย่างไร

:: เมืองที่เราจะไปอยู่มณฑลหูหนานครับ หลักๆ เราจะไปลงที่ฉางซา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลนี้
และถือเป็นประตูเปิดทริปให้กับพวกเรา เราจะไปสองจังหวัดนี้เท่านั้นสำหรับทริปนี้ นั่นก็คือ ฉางซา กับจางเจียเจี้ย
เมืองหลักๆ ที่เราจะไปก็มีอยู่ 4 เมืองด้วยกันคือ ฉางซา จางเจียเจี้ย เฟ้ยหวง และอู่หลินหยวน
ซึ่งสภาพภูมิอากาศของเมืองสี่เมืองนี้จะค่อนข้างเย็นสบาย มีความแตกต่างของฤดูที่ชัดเจนถึง 4 ฤดู
อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 16 ° C พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นดินกว้างและเทือกเขาที่สูงชันสลับกัน

:: โดยสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ถ้าจะให้ผมมาโปรยไว้ตรงนี้ คงจะรกกระทู้มากๆ
เอาเป็นว่าผมแนะนำ source ให้แล้วกัน ว่าควรจะไปเก็บ list ที่ไหน มาดูกัน


จางเจียเจี้ย : http://www.chinatravelca.com/places/zhangjiajie/
(ตัวนี้จะรวมทั้งในเมืองจางเจียเจี้ยและอู่หลินหยวนแล้ว)
เฟ้ยหวง : http://www.chinatravelca.com/places/fenghuang/
ฉางซา : http://changsha.sadoodta.com/

10 ข้อควรรู้ก่อนไปจีน
1. อาหารที่นั้น มันมากๆ เรียกได้ว่าแฏกนานๆ แล้วบวมอะ
2. คนจีนพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ เพราะฉนั้น เวลาจะไปไหนมาไหนควร print ชื่อสถานที่นั้นเป็นภาษาจีนไว้ด้วย
3. พูดถึงอาหารก็เช่นกัน เวลาจะสั่งอะไรซักอย่างก็ยากเหลือเกิน พยายามเลือกร้านที่มีรูปหน้าตาอาหาร จะกินอันไหนก็ชี้ซะ
4. จีนใช้เงินสกุลหยวน ราคาของกินเท่าๆ กับบ้านเรา ไม่แตกต่างกันมาก
5. คนจีนนิสัยดีนะ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างจริงใจไม่หวังทิปหรือหลอกแฏกเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงบ้านเราด้วย
6. ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่แพงมาก ทั้งคนในประเทศและนักท่องเที่ยวเก็บเรทเดียวกันหมด
7. เวลาประเทศจีนเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
8. จีนใช้ระบบกระแสไฟแบบ AC 220 V, 50 Hz. ส่วนใหญ่ใช้ปลั๊กไฟแบบมาตรฐาน แต่ก็ยังมีบางที่ที่ยังใช้ปลั๊กแบบสามตาอยู่
9. จีน Block ทุกอย่างที่เกี่ยวกับโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น google, facebook, twitter, instragram ยกเว้น line
10. ห้องน้ำสาธารณะ เป็นอย่างที่เค้าร่ำลือกันจริงๆ บางที่ปวดแทบตายก็ต้องอดทนอดกลั้น ให้ตายเถอะ T T

ออกเดินทาง

:: เช้าวันเสาร์ที่ยี่สิบเจ็ด เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรีบเข้าไป Check in หน้า counter ของ Airasia
สัมภาระและข้าวของหนักอึ้งอยู่ใน Backpack ใบใหญ่ใบโปรดพร้อมกับ code เที่ยวบินในมือ
พนักงานสาวสุดสวยยิ้มให้เราอย่างจริงใจ เราใส่กลับไปว่า ส วั ส ดี ค รั ช ไปฉางซาครับ : )

:: หลังจากที่ตีตั๋วเรียบร้อย ของบางส่วนถูก load เข้า cargo บางส่วนเราก็แบกขึ้นเครื่องไปด้วยเลย
การเดินทางครั้งนี้ สามารถโหลดใต้ท้องเครื่องได้ 20 กิโล และเอาสัมภาระขึ้นไปได้ไม่มากกว่า 7 kg
เราเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อทำการตรวจคนเข้าเมือง เอ๊ะ หรือตรวจคนออกเมืองวะ ๕๕๕
ไม่นานนัก เราก็เข้ามาอยู่หน้า gate ทางเข้าเครื่องของพวกเราซะแล้ว
บรรยากาศวันนั้นน่านอนอยู่บ้านมากๆ แต่คือกุจองตั๋วมาแล้วงะ อีกไม่กี่นาที ตัวเราจะลอยเหนือผืนดิน

:: การเดินทางจากดอนเมืองไปฉางซาครั้งนี้จะใช้เวลาราวๆ สามชั่วโมง
เนื่องจากว่าเป็นเวลาเช้าพอสมควร เราก็เลยหลับเก็บแรงระหว่างที่เดินทาง
ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไปเหมือนว่าจะใกล้ถึงฉางซา พนักงานสาวสวยหนุ่มหล่อ
ก็แจกใบผ่านแดนมาให้เราเขียนเตรียมตัวไว้ เพื่อที่จะไม่ยุ่งเวลาลงจากเครื่อง
ใบผ่านแดนของต่างประเทศอยากให้รอบคอบกันนะครับ
อย่าเขียนผิดเป็นอันขาด ทุกอย่างต้องเป๊ะเหมือน Passport
เพราะถ้ามีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว ทริปๆ นี้คงไม่สนุกแน่ๆ

:: เวลากว่าสามชั่วโมงทำเราบินลัดฟ้ามาถึงดินแดนมังกร จากอุณหภูมิไทยแบบอบอุ่น
เปลี่ยนเป็นอุณหภูมิวุ่นๆ ที่ 4 องศา ให้ตายเถอะ แล้วยังมีฝนตกโปรยๆ ด้วยนะ
เราลงจากเครื่องพร้อมกับเช็คกระเป๋าข้าวของว่าครบรึป่าว เมื่อทุกอย่างพร้อม
สองเท้าก็ก้าวเดินไปอย่างมีจุดหมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าแม่มอยู่ที่ไหน
เราใช้ภาษาอังกฤษกากๆ ที่เรียนมา สอบถาม reception ว่าซื้อตั๋ว Shuttle Bus ที่ใดรือ
เธอไม่ยิ้ม ไม่พูด เพียงแค่ใช้นิ้วชี้ๆ สั้นๆ ของเธอชี้ไปทางโน้นนนน… OK Thank you : )

:: เดินผ่านประตูช่องขวามาจนถึง Hall2 ก็พบว่ามีคนพรุกพร่านเต็มไปหมด
และที่นี่แหละ คือจุดขายตั๋ว Shuttle Bus ที่จะพาเหล่า Backpacker ไปในที่ที่เขาต้องการ
ส่วนเราหรอ  West Bus Station ไงหล่ะครับ เราเข้าไปแบบงงๆ ไม่ถามอะไรทั้งนั้น
ก่อนจะถามต้องอ่านก่อน ถ้าหาไม่เจอค่อยถาม นั่นไง มุมขวาบนสุดเลย W e s t  B u s  S t a t i o n

:: บัสรอบแรกสำหรับ West Bus Station จะออกเวลา 08:20 น. ของทุกวันครับ
เราไม่รอช้าที่จะส่งตัวแทนไปต่อคิวเข้าแถว เพื่อซื้อตั๋วเดินทางมาโดยเร็วที่สุด
ราคาตั๋วเหมือนที่ศึกษาหาข้อมูลมาเด๊ะ 29.50 หยวนไม่ขาดไม่เกิน และเราก็ได้มันมา

จีนครั้งแรก

:: เราก้าวออกจากสนามบิน พร้อมกับลมแรงสี่องศาที่พัดเข้าหน้าเราแบบเต็มๆ
สวัสดีจีนครั้งแรก เมิงทักทายกุได้ชามากค่ะ หมวกอยู่ไหน ถุงมืออยู่ไหน ผ้าพันคออยู่ไหน
เรารีบเปิดกระเป๋าแล้วเอาพวกมันมาใส่คลายหนาวกันแบบไม่ต้องมีใครบอก

:: Shuttle Bus จะออกจาก Airport ทุกๆ 30 นาที เรามายืนรอที่แพลทฟอมหนึ่ง
เมื่อบัสมาถึง ก็โกยข้าวของออกจากบ่าแล้วปล่อยให้พนักงานเอาไปเก็บใต้ท้องรถ
กระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยข้าวของสำคัญก็เก็บติดตัวขึ้นรถไปด้วย
จากสนามบินสู่ west bus station เค้าบอกว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

:: เข้าไปในรถก็พบว่าสภาพโอเค ไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้ายเหมือนรถสายแปด ๕๕๕
ระหว่างที่ล้อกำลังเริ่มหมุน พนักงานสาวสุดสวยของทาง bus ก็กล่าวออเรนเตชั่น
แนะนำนู้นนี่นั้นเป็นภาษาบ้านเกิดของตัวเอง ทว่ามองไปรอบๆ ไม่มีคนจีนเลย
เจ๊แกก็เก่งเนอะ พูดคนเดียวได้จนจบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าในรถไม่มีคนจีนเลยซักคน ๕๕๕

:: ระหว่างทางจะมีตึกรามบ้านช่องที่ค่อยๆ ยัดเยียดเบียดเสียดแปรผันตามความเจริญของพื้นที่
ส่วนใหญ่จะเป็นตึกสูงหลายชัน และก็มีเสื้อผ้าที่ถูกตากออกมาที่ราวระเบียงห้องเต็มไปหมด
ทั้งหมอกและฝุ่นปะปนกัน เพราะเหมือนกับว่าเมืองกำลังจะถูกพัฒนา
รถขับเบี่ยงขวาเตรียมเลี้ยวเข้าเมือง อีกไม่นาน เราจะถึง west bus station กันแล้ว…

:: ล้อหยุดหมุน ทุกคนพลุ่นพล่านลงมาจากรถแล้วรีบสะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้นหลังอีกครั้ง
ครั้นมองหาป้ายจุดจำหน่าย tickets ของสถานีนี้ ผู้คนแออัดเบียดเสียด ของกินแปลกตา
ภาษาต่างถิ่น ดินแดนมังกรของแท้คงเป็นแบบนี้เองสินะ เราเดินไปเรื่อยๆ ตามเซนส์ของเรา
แล้วก็เห็นป้าย ticket office อยู่ข้างหน้า เราเดินตรงไปอย่างไม่รอช้า จนเข้ามาในที่พักนักเดินทางแห่งนี้

:: ป้ายทุกป้าย ของกินทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดสักอักขระภาษาอังกฤษไว้เลย
ทุกอย่างถูกป้ายด้วยภาษาถิ่นทั้งนั้น เราไม่เข้าใจหรอก ว่าพยัญชนะไหนอ่านว่า Fenghuang
แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น เราเตรียมตัวมาดี เราปริ๊นท์ทุกอย่างเป็นภาษาจีนไว้ด้วย
และก็ไม่พลาดที่จะปริ๊นท์รูปภาพเมืองๆ นั้น มาโชว์ให้คนพื้นที่ได้ช่วยนำทางให้พวกเรา

:: คนจีนไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิด หลายคนเดินเข้ามาเพื่อช่วยเหลือเราอย่างจริงใจ
ยอมรับว่าตอนแรกระแวงมาก กลัวจะมาขอตังค์ทีหลัง หรือเป็นโจรปล้น
แต่หลังจากที่พาเราไปที่ช่องซื้อตํ่ว ทุกคนก็ดูเหมือนจะดีใจที่ได้ช่วย
ส่วนเราก็สบายใจที่ซื้อตั๋วลงถูกที่ ชาวจีนใจดีกว่าที่คิดไว้เยอะ ทุกคนพร้อมจะช่วยเราเสมอ
และในที่สุด ตั๋วขาไป Fenghuang ก็อยู่ในมือเรา ตั๋วนี้ราคา 150.5 หยวน เป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน
รถออก 14:20 นับต่อจากนี้ไปอีก 5 – 6 ชั่วดมง เราคงจะไปถึงเมืองเฟิ่งหวงกันดึกแน่

:: อีก 30 นาที รถจะออกจากสถานีขนส่ง เราพากันหาของกินประทังชีวิต
เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่อง ยังไม่ได้หยุดพักการเดินทางของเราเลย
30 นาทีนี้ เป็น 30 นาทีที่มีประโยชน์มากๆ เราเดินเลาะสถานี และดูว่ามีอะไรที่น่าสนใจ
เกาลักลูกใหญ่ ไข่ไก่ใบโต และรวมถึงขนมแปลกตาที่ไม่สามารถหาได้ในประเทศเรา
ใช่ เราเลือกของแปลกชิ้นนั้น ที่สำคัญคือราคาเพียงชิ้นละ 2 หยวน รสชาติกลมกล่อม
อร่อยเหาะกว่าที่คิด คืออากาศมันหนาวอยู่แล้ว แล้วได้มากินของร้อนๆ แบบนี้ อร๊ยย > <

:: ระหว่างที่เรากำลังกินขนมนมเนยเพื่อเพิ่มพลัง ก็ยังมีผู้หวังดีเป็นวัยรุ่นสองสามคน
เข้ามาเช็คมาสอบถามขอดูตั๋วรถในมือของเรา ว่าเรามารอรถถูกที่มั้ย
คือจะใจดีไปไหน บางทีก็งง หลังจากที่เช็คเสร็จเข้าก็ทำทีท่าว่า เออๆ โอเคๆ ตรงนี้แหละถูกแล้ว
เด่วรถก็มา เราก็ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ ไม่นานนัก การเดินทางของเราก็เริ่มขึ้น…

ตื่นเต้น

:: นอนก็แล้ว นั่งก็แล้ว กินก็แล้ว ฟังเพลงจนวนหลูบก็ยังไม่ถึงซักที
ระหว่างการเดินทางผ่านเมืองของที่นี่ เค้าจะมีจุดจอดใหญ่ๆ ให้พักรถเพียงครั้งเดียว
เพื่อให้ผู้โดยสารได้ไปเข้าห้องน้ำ รวมถึงหาอะไรลองท้องด้วย
ช่วงที่เราไปฝนตกโปรยๆ บวกกับอากาศที่หนาวเย็นยะเยือก มันสะใจดีนะ
เราพักเบรคหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะวิ่งยาวกว่า 6 – 7 ชั่วโมง จนมาถึงเมืองเฟ้ยหวง

:: เราจองที่พักใกล้กับเมืองโบราณ แต่เราไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน
เราสับสนวกวนอยู่นาน บวกกับสถานการณ์กดดันที่มี taxi มารุมล้อมเกือบสิบคน
เราพยายามโชว์ที่หมายของเราให้เค้าเห็น แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ
จนกระทั่งเปิดแผนที่ใบใหญ่กางออกมา แล้วอธิบายเป็น step ไปเรื่อยๆ
เรากำลังจะไป Check in ที่ Fenghuang Encounter Inn ที่พักที่แรกของเราในทริปนี้

:: ความหนาวบีบบังคับทำให้เราต้องรีบตัดสินใจ ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายไปกว่านี้
ตอนนั้นกว่าสามทุ่มกว่าแล้ว เราตัดสินใจเลือก Taxi และต่อราคาได้ 10 หยวน
จากจุดจอด Bus ไปในเขตเมืองโบราณเฟิ่งหวง ทุกอย่างมันตื่นเต้นมากๆ

:: Taxi จอดให้เราลง แล้วชี้ทางให้เราเดินตรงไป แล้วใครมันจะไปรุ้ล้าววววว
เดินไปซักพักไม่มั่นใจต้องเดินกลับขึ้นมาใหม่เพื่อถามทางคนแถวนั้น
เราสับสนวุ่นวายกันมากๆ เอาชื่อภาษาจีนมาโชว์ก็แล้ว ก็ไม่มีคนรู้จักที่พักที่เราอยุ่
จนกระทั่งหญิงคนหนึ่งโทรติดต่อที่พักคืนแรกให้กับเรา เสียงสนทนาเป็นภาษาจีน
ทำให้เราไม่รู้ว่าเค้าคุยอะไรกัน หลังจากวางสายไป เค้าก็โบก Taxi ตรงสะพานนั้นแหละ
Taxi นิก็ fast too furious จริงๆ ตีโค้งยูเทิร์นกันตรงสะพานเลยทีเดียว
พี่สาวเข้าไปคุยกับคนขับ แล้วบอกให้เราเข้ามานั่งในรถ เรารีบกระโจนเข้าไปทันที
เพราะมีเสียงบีบแตรดังลั่นกดดันให้เรารีบกว่าเดิน ก็แหม จอดรับกันบนสะพานเลย…

:: Taxi ขับจากอีกฟากหนึ่ง มาส่งเราอีกฟากหนึ่ง ให้ตายเถอะ ถ้ารู้เรื่องรู้ทางตั้งแต่แรก
คนไม่ต้องเสียค่า Taxi 10 หยวนอีกครั้ง แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของ Backpacker
ผมหันไปถามพ่อแม่ว่าไหวมั้ย พ่อแม่บอกว่าไหว โอเคหล่ะ วันนี้ท่านเดินทางมาเหนื่อยมาก
อีกไม่กี่นาทีเราก็จะถึงที่พักกันแล้ว ไม่นานนัก เจ้าของโรงแรมก็เดินมาหาเรา
แล้วพาเราเข้าไปที่โรงแรมเพื่อ Check in และเก็บข้าวของ สภาพห้องโอเคมากๆ
หลังจากที่เราเก็บของเสร็จก็สอบถามเจ้าของที่พักว่ามีร้านแนะนำพวกเรามั้ย
เราหิวกันมากๆ อยากรู้ว่าที่ Fenghuang ร้านไหนอร่อยที่สุด เราอยากจะไปร้านนั้น
เจ้าของก็ใจดี พยายามพูดและอธิบายชื่อร้านพร้อมกาในแผนที่ให้เราเห็น เราเข้าใจแล้ว
แต่สำหรับประเทศนี้ ต้องกันไว้ก่อนโดยการ record เสียงพูดชื่อร้านเป็นภาษาจีนเอาไว้
เผื่อใช้ในการถามทาง รวมถึงเมนูอาหารแนะนำที่เค้า recommend อีกด้วย
อย่าลืมนะ วิธีนี้แหละ work สุดละ ไปถึง เปิด sound record ให้ฟังเลย จบ!

ทางลับ

:: ก่อนที่เราจะออกมาหาของกินข้างนอก รวมถึงจองตั๋วรถไปจางเจียเจี้ยพรุ่งนี้เช้า
ทางเจ้าของโรงแรมได้บอกทางลับเข้าไปเมืองโบราณโดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้า
มันมีอยู่ 3 ทางนะทุกคน ก็คือถ้าไปทางลับที่บอกเพื่อนๆ
จะไม่ต้องเสียค่าเข้าเมืองโบราณในราคา 140 กว่าหยวน
แพงพอตัวเลยนะจะบอกให้ค่าเข้าเมืองอะ แต่มีเด็ดกว่านั้นนะ
ก็คือ เข้าหลังสามทุ่ม และเข้าก่อนสามโมงเช้า ๕๕๕ ยังไงแม่มก็ฟรี เพราะเราทำมาแล้ว
ดังนั้น ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ พวกเราจึงเซฟลงได้อีกเยอะ แบร๊ ;p

ทางลับ!!!

:: สำหรับทางลับ ถ้าพักที่เดียวกับผมก็เดินตามลูกศรมาเลยนะครับ
ทางลับจะมีด้วยกันอยู่สามทางที่สามารถเข้าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในเช่วง 09:00 – 21:00 น.
และสัญลักษณ์ที่แนบมาให้ก็คือ ด่านเก็บตังค์ครับ ยังไงก็ระวังตัวด้วยหละ

:: ถ้าทุกคนพักที่เดียวกันกับผมในคืนนี้ (Fenghuang Encounter Inn) ให้เดินออกมาจากที่พัก
พอเจอแม่น้ำให้เลี้ยวซ้าย เดินไปจนเห็นสะพาน ให้ขึ้นสะพานแล้วเลี้ยวขวา เดินไปจนสุดสะพาน
สังเกตุฝั่งขวาจะเจอที่จำหน่ายตั๋วรถโดยสาร ตรงนี้จะเก็บแพงกว่าไปซื้อที่สถานีจริงๆ ราวๆ 10 หยวน
แต่ก็ช่างมันเถอะ รีบซื้อตั๋วขาไปจางเจียเจี้ยได้แล้วก่อนที่นั่งเต็ม

:: ตรงนี้จะขายอยู่ในราคา 80 หยวน
มีรอบเดียวคือรอบ 8 โมงเช้า (จริงๆ คือรถออก 9 โมงเช้านะ แต่แบบตรงเคาน์เตอร์นี้มันแจ้ง 8 โมง
เพื่อให้เราไปขึ้นตั๋วที่สถานีก่อน เพราะตรงสถานีต้องไปขึ้นตั๋วก่อนเดินทาง 30 นาที)
สรุปง่ายๆ คือ สมมติถ้าเมิงซื้อตั๋วนี้ในราคา 80 หยวนไปแล้ว แต่เมิงไม่ไปขึ้นตั๋วก่อนรถออก 30 นาที
เค้าจะขายตั๋วให้คนอื่น แล้วเมิงก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเถียงอะไรเค้า เข้าใจนะครัช เพราะฉนั้น อย่าดื้อ! 555

:: หลังจากได้ใบขึ้นตั๋วมาครอบครอง เราก็เดินดิ่งไปตรงที่เค้าแนะนำว่าร้านนี้ห้ามพลาด
คนเก็บร้านกันหมดแล้วครับเพื่อนๆ บรรยากาศตอนนั้นเหมือนท่วงทำนองเพลงรักที่ไม่มีใครฟัง
มองไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่า จนมาเจอเด็กกลุ่มนี้ ที่กำละเล่นบนถนนด้วยใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้ม
ผมเห็นว่าน่ารักดี จึงถ่ายรูปนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก พอไปถึงร้านที่เค้าแนะนำ ปรากฏว่าปิดครับ
แต่ร้านข้างๆ ไม่ปิดนะ งั้นเรากินร้านนี้ก็ได้ ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว (สำหรับทางไปร้านดังกล่าวจะเอามาแป๊ะให้วันหลัง)

:: ด้วยการวางแผนมาอย่างดี หลังจากเข้าร้าน จึงเปิด sound record ให้พนักงานฟัง
เปิดวนอยู่สามรอบ มันฟังไม่รู้เรื่องเว้ยเห้ย สรุปการกินในคืนนั้น คือการใช้นิ้วจิ้มสั่งเหมือนเดิม ๕๕๕
หลังจากที่อาหารทยอยมา ก็ตกใจเล็กน้อย เพราะขนาดของชามนั้นใหญ่มาก ใหญ่จนแบบเงิบทั้งโต๊ะ

:: แต่ที่เงิบหนักไปกว่านั้นคือราคาหลังทานเสร็จ แม่เจ้า ทำไมมันถูกจังว่ะ (ถูกจริงๆ นะ เมื่อเทียบกับปริมาณ)
ลองคิดเล่นๆ เมื่อเทียบเป็นเงินไทยแม่มแค่แปดเก้าร้อยเอง กินกันมื้อใหญ่ แถมมากันตั้ง 7 คน โอ้วแม่เจ้าาา
ราคาแม่มเหมือนบ้านเราเด๊ะ เผลอๆ ถูกกว่าด้วย อาหารก็อร่อยจริงๆ ไม่อิงนิยาย
ถ้าจะให้ผมบอกว่าจานไหนเรียกว่าอะไร ขอบายนะครับ อ่านไม่ออก รู้แต่ว่า มีเนื้อกบผัด ต้มปลา และก็ขาหมูพันปี
คือสั่งมาแล้วเพิ่งรู้ว่าไอ่ที่กุสั่งผัดๆ นั้นเป็นเนื้อกบ ๕๕๕ แต่จะทำไงได้ ก็ตามนั้น
หลังกินเสร็จทุกคนคุยกันว่า ใครอยากเดินเล่นก็เดิน ใครเหนื่อยก็นอน
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเดินกลับไปที่พัก เพื่อไปหาเสื้อกันหนาวมาใส่เพิ่ม
ภาพที่เห็นฝั่งซ้ายผม ก็ชวนให้ความเหนื่อยหายไป เมืองเ_ี้ยอะไรจะอลังการขนาดนี้เนี่ย
เอาหล่ะ… ไม่นอนละ เด่วออกมาเดินเล่นคนเดียวก็ได้…

ความเหงากับเงาของตัวเอง

:: และนี่คือภาพแรกที่ผมได้เห็นในยามห้าทุ่มกว่าๆ ในขณะที่มาเดินเล่นคนเดียวในเมืองๆ นี้
บรรยากาศพาให้นั่งจิบเบียร์เหงาๆ และคิดถึงเรื่องเศร้าๆ ของใครบางคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
สถานที่ทุกทางที่เดินไปในตอนนั้น ไม่ใช่เพราะตั้งที่หมายไว้ เพียงแต่เดินไปตามหัวใจของตัวเอง…

:: เพลงสุดท้ายที่นักดนตรีเล่นจบไป คือเพลงภาษาจีนแต่ท่วงทำนองเป็นเพลงฝนตกที่หน้าต่างของ LOSO
มันทำให้ผมแอบหุบยิ้มไม่ได้ ที่แม้ขนาดเสียงเพลง ประเทศนี้ยังลอกเลียนท่วงทำนองมาเล่นเลย
ร้านเหล้าที่นั้นปิดตามเวลาสากลคือเที่ยงคืน ทุกคนทยอยกันออกจากร้าน รวมถึงผม
อารมณ์ตอนนั้นมันไม่อยากจะหลับจะนอนเท่าไหร่ ผมเลยเดินไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อรอแสงแดดของเช้าวันใหม่…

:: ระหว่างที่เดินอยู่ ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงมาแต่ไกล ผมเลยเดินตามเสียงนั้นไป
จนพบว่า มีกลุ่มวัยรุ่นตั้งวงกันริมน้ำ ร้องเพลงกันท่ามกลางบรรยกาศเมืองโบราณ
ที่ไม่ค่อยจะเหลือใครเดินผ่านไปผ่านมาแล้ว เหลือเพียงแต่นักท่องเที่ยวที่เดินเหงา
และเหล่าขี้เมาหลายๆ คน ที่ยืนล้อมวงและตรบมือไปตามจังหวะของเสียงเพลง
ชายคนหนึ่งเป็นชาวอเมริกันเดินเข้ามาที่ผม เราพูดคุยกันและเดินถ่ายรูปเมืองราตรีนี้ด้วยกัน
ระหว่างทางก็เจอชาวจีนที่มาจากอีกมณฑลหนึ่ง เข้ามาร่วมก๊วนด้วย
คืนนั้นผมมีเพื่อนเพิ่มขึ้นแบบงงๆ เราสามคนเดินริมน้ำท่ามกลางเมืองโบราณนามเฟ้ยหวง
และเก็บภาพความทรงจำในสถานที่นั้นมาให้ได้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับไปอีกครั้งรึป่าว…

:: น่าเสียดายที่ตอนสุดท้าย เราไม่ได้ถ่ายรูปร่วมกันไว้เป็นที่ระลึก ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนในคืนนั้น…

เมืองโบราณ

:: เราตื่นนอนกันแต่เช้าทั้งๆ ที่ไม่อยากจะตื่นซักเท่าไหร่ อากาศข้างนอกหนาวมาก
แต่ให้ทำไงหล่ะ เรามีเวลาอยู่ที่เมืองนี้อีกแค่ ไม่กี่ชั่วโมง เพราะรถรอบแรกที่เราจองคือ 8 โมงเช้า
เราตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า เพื่อใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงที่เหลือ เดินเล่นชมเมืองยามเช้า
แล้วหาของร้อนๆ กินซักชามในอากาศหนาวๆ ยามเช้าแบบนี้…

:: อย่างที่บอก เข้าเมืองโบราณก่อน 9 โมงเช้า ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทาง ๕๕
เรานิเดินเล่นกันไปเรื่อยๆ จนไปเจอร้านๆ หนึ่งกำลังล๊วกเส้นอุดงที่มีควันโขมงโฉงเฉง
ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บตอนนั้น กับอุ่นไอ่ร้อนของน้ำเดือดๆ มันเป็นอะไรที่ต้องนั่งจริงๆ

:: พวกเราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเรากินอยู่คืออะไร เพียงแค่มีรูปและราคาที่เหมาะสมบอกไว้ในตอนนั้น
พวกเราก็ชี้นิ้วแล้วสั่งๆ ไป หนักกว่านั้นหน่อยก็ไปหน้าร้านหรือในครัว แล้วก็เอานิ้วชี้สั่งที่อยากให้เค้าใส่ลงไปให้
ดูจากภาพแล้วคงไม่ต้องบรรยายว่าการกินอุด้งในเช้าวันนั้น มันฟินขนาดไหน อร๊ยยยย > < หิวเบยยย

:: เราใช้เวลาที่เหลือหลังจากกินเช้า เดินช๊อปเดินชิมขนมแปลกตาไปทั่วเมือง
เจอผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามายิ้มแย้มและส่งรอยยิ้มสวยงามก่อนที่เราจะจากเมืองๆ นี้ไป
ศิลปะและวิถีชีวิตของผู้คนที่นี้ มันน่าดึงดูดใจและรั้งเราให้อยากอยู่ต่ออีกซักสองสามวัน

:: ภาพข้างบนเป็นอีกที่หนึ่งที่ผมแนะนำว่าให้มาถ่ายรูปรวมกันที่นี้ ตรงนั้นมีม้านั่งและฉากหลังที่ลงตัว
ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปครอบครัวตรงนั้น เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพื่อเตือนความทรงจำว่า เราเคยมาที่นี่แล้ว…

:: เวลามันเหลือไม่มากหรอก แต่ก็ยังอยากจะนั่งจิบชาร้อนๆ กับเค็กซักหนึ่งชิ้นแล้วซึมซับบรรยากาศสุดท้าย
ก่อนที่จะจากเมืองๆ นี้ไป เมืองนี้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ผมชอบจริงๆ มันสงบ มันร่มเย็น มันเป็นเมืองที่สามารถ
มาพักกายพักใจได้จริงๆ อยู่อย่างไม่รีบร้อน เรื่อยๆ ตามเข็มของนาฬิกา ปล่อยให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา
ค่อยๆ ผ่าน และก็ค่อยๆ จากเราไป…

:: มันอาจจะดูยื้ออารมณ์ไปซักนิด แต่คือไม่อยากกลับจริงๆ ผมใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีสุดท้าย
เดินไปที่ปลายฝายกันน้ำที่ยื่นออกไปในแม่น้ำ เพียงเพื่อตะโกนประโยคสั้นๆ ให้ดังลั่นเมืองว่า…..

สิ่งสำคัญ

:: ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันอีกครั้ง พ่อผมเป็นเก๊าบวกกับอากาศที่หนาว จึงเดินช้ากว่าคนอื่น
ผมก็พยายามเดินตามหลังตลอด พวกเราเป็น Backpacker กันจริงๆ และครั้งนี้
พ่อกับแม่ก็ได้สวมบทบาท ฺBackpacker กันแบบ 100%

:: ระหว่างที่เดินเราไม่มีจุดหมายเลย เพียงแค่ว่าเดินไปให้ใกล้ถนนหลักที่สุด
เพื่อหา Taxi พาเราไปยัง Bus Station แต่ก็ไม่มีคันไหนจอด และที่แย่ไปกว่านั้น
คือช่วงนั้นมันเพิ่ง 7 โมงกว่าๆ Taxi ไม่ค่อยออกมาให้เห็น เพราะมันเช้าเกินไป
เรารีบเร่งฝีเท้ากันอย่างเต็มที่ และขอให้โชคชะตาพาให้ Taxi มาเจอเรา…

:: ต้องรีบไปตีตั๋วก่อนครึ่งชั่วโมงรถออก และนี่มันก็เหลือเพียง 15 นาที
ไม่มี Taxi ให้เห็นเลยซักคัน เพื่อนๆ ที่พอมีแรงก็รีบเดินไปก่อน
ทำยังไงก็ได้ให้เข้าใกล้ Bus Station ให้ได้มากที่สุด ทางเดินเป็นทางชัน
แล้วพ่อกับแม่ผมหละ ผมคิดว่าทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน ผมเลยหยุดเดิน
แล้วโบกรถที่ผ่านไปผ่านมาตรงนั้นเลย ไม่รงไม่รอ Taxi แม่มแล้ว
โบกทั้งเบ๊นซ์ โบกทั้งแวน โบกทั้งรถขนผัก ในใจคิดว่าต้องมีซักคันแหละน้า

และในที่สุด….

:: เรามาถึงหน้า Bus Station ด้วยเวลาอันฉิวเฉียด เพื่อนอีกคนรีบวิ่งไปตีตั๋ว
ส่วนอีกคนก็เจรจาขอบคุณและให้สินน้ำใจไปเต็มๆ 40 หยวน
เรามาถึงโดยไม่ต้องตกรถแล้ว เพราะถ้าตกรถ คือต้องนอนค้างที่นี่อีกหนึ่งคืน
และแผนทุกอย่างก็จะพังพินาศลงเพราะช้าไปเพียงไม่กี่นาที
และนี่คือหน้าตาคนที่ช่วยเหลือชีวิตเราไว้คราวนั้น ขอบคุณอีกครั้งครับ

:: เรื่องดีเกิดขึ้น เรื่องร้ายก็ตามมา เพราะในขณะที่ทุกคนต่างรีบนั้น
ช่วงที่อยู่บนรถขนผัก ผมได้ทำถุงมือกันหนาวที่แฟนผมให้ก่อนมาทริปนี้ ตกไปข้างหนึ่ง
ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราคาไม่ไม่แพงมากเท่าไหร่ แต่คุณค่าทางจิตใจมันนับไม่ได้
ผมเช็คเวลาดูแล้ว รถจะออกในอีก 15 นาที ผมบอกพ่อแม่ว่าผมจะกลับไปเก็บมันมา
ด้วยความเป็นห่วงพ่อแม่จึงพยายามห้ามอย่างสุดกำลังที่ท่านจะทำได้
ผมหยิบกระเป๋าเงิน passport และของจำเป็น แล้วบอกว่า
“ถ้าไมตกรถ ไมจะค้างที่นี่หนึ่งคืน แล้วเราไปเจอกันอีกทีที่เมือง Wulinyuan เลย

:: ระหว่างที่วิ่งไปเรื่อยๆ ก็คิดทบทวนในใจอยู่สองข้าง สิ่งนั้นก็สำคัญ
แต่เราก็ลืมไม่ได้ว่าทริปนี้เราพาพ่อแม่มาเที่ยว ถ้าปล่อยให้พ่อแม่ไปโดยไม่มีเรา
ทริปนี้มันคงไม่สมบูรณ์แน่ๆ ผมจึงยอมหันหลังและเดินกลับไปบนรถคืน
และบอกพ่อกับแม่ว่า “ไมลืมไป ทริปนี้ ไมพาพ่อกับแม่มาเที่ยว ไมต้องดูแลพ่อแม่จนจบทริป”
ผมนั่งลงในที่นั่งหมายเลขของตัวเอง แต่ด้วยความกระวนกระวายใจ
จึงลงไปถาม Driver อีกครั้งว่าผมทำของตกไว้ จะขอวิ่งไปเอาซัก 15 นาทีจะได้ไหม
ตอนนั้นเป็นเวลา 9 โมงเช้า เป็นเวลาที่รถจะออกแล้ว ผมภาวนาให้แกตกลง
แต่โชคคงเข้าข้าง Driver บอกว่า เราจะเหลทออกไปอีก 30 นาที
ทันใดนั้นผมไม่รอช้าที่กลับเข้าไปบน Bus แล้วบอกพ่อกับแม่ว่า รถเหลท 30 นาที เด่วไมมา

:: ผมวิ่งไปอย่างสุดความสามารถ สุดกำลังเท่าที่ผมจะมี โชคดีที่ผมออกกำลังกายทุกวัน
ความสูงชันและระยาะทางของถนนคงจะทำอะไรผมไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะไกลขนาดนี้
ผมพยายามมองหาถุงมือสีดำอีกข้างหนึ่งบนถนน วิ่งไปเรื่อยๆ มองแล้วมองเล่าก็ไม่มีท่าทีจะเจอ
ในใจคิดว่า ถ้าถึงโค้งสุดตาโค้งนั้นแล้วไม่เห็น ผมคงต้องทำใจแล้วเดินกลับไปแบบเสียใจไม่รู้ลืมแน่
และพอถึงโค้งนั้น… มันกลับไม่มีถุงมือสีดำข้างนั้นให้เห็นจริงๆ ผมยืนนิ่ง ถอนหายใจ
และหันหลังกลับบวกกับปลงใจนิดหน่อย “คงมีคนเก็บไปแล้วสินะ” เพราะไม่คิดว่ามันคงไม่ไกลขนาดนี้หรอก
แต่ในใจก็คิดตีกลับว่า แล้วถ้าเลยโค้งนี้ไปหละ แล้วถ้ามันอยู่หลังโค้งนี่หละ
มันอีกแค่นิดเดียว ถ้ามันอยู่ตรงนั้นจริงๆที่ปลายโค้ง แต่เรามาหยุดอยู่ตรงหน้าโค้ง เราคงจะเสียใจไปตลอดแน่ๆ
ผมตัดสินใจหันหลังกลับมาอีกครั้ง แล้ววิ่งต่อไปอีกให้พ้นโค้งนั้น
หลังจากทีพ้นโค้งเป็นทางเนินลง และผมก็เห็นอะไรสีดำแว๊บๆ อยู่ข้างถนน
ผมไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งเข้าไปดูว่ามันคือถุงมือสีดำข้างนั้นจริงๆ รึป่าว
และในที่สุด มันก็คือสิ่งนั้นที่ผมตามหาจริงๆ มันเปียกไปด้วยน้ำล้างถนนของเทศบาลจีน
ผมบิดมันให้พอหมาด แล้วรีบวิ่งกลับไป เพียงเพื่อจะไปให้ทันเวลารถออก
ผมวิ่ง วิ่ง วิ่ง…. จนวิ่งต่อไม่ไหว ผมวิ่งช้าลงแล้วมองเข็มนาฬิการำไร ในใจคิดว่าต้องไปให้ทัน

และสุดท้าย…. ถุงมือสีดำ และตั๋วขาไปจางเจียเจี้ย ก็อยู่ในมือของผมที่นั่งอยู่ในรถบัสคันนั้น
คันที่จะทำให้ทริปในกระทู้นี้ เดินทางต่อไปได้จนจบทริปอวตาร…

ปล.เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกแฟนผมเลย : )

สวัสดีจางเจียเจี้ย

:: วิวข้างทางแปลกตากว่าบ้านเรามากๆ มันเป็นพื้นที่ทุ่งกว้างแบบสุดลูกหูลูกตาและมีเขาลูกใหญ่ๆ มาขั้นมาบังไว้สลับกัน
บ้านเรือนริมทางส่วนใหญ่จะไม่ทาสี และปูกระเบื้องเป็นที่กันแดดกันลม
ห่างออกมาจากตัวเมืองขึ้นเรื่อยๆ ทุกบ้านก็จะมีแผงโซลาเซลล์ประจำบ้าน
ถนนบ้านเราจะลัดเลาะไปตามตีนเขาแล้วค่อยๆ ลากยาวไปให้ถึงที่หมาย
แต่ถนนบ้านเขาจะเจาะภูเขาต่อสะพาน ผมเห็นวิวอะไรทำนองนี้ราวๆ 6 – 7 ชั่วโมง

:: สวัสดีจางเจียเจี้ย พวกเรามาถึงแล้ว สถานที่แห่งนี้คือดินแดนอวตาร
และมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเต็มไปหมด เราเริ่มเปิดเอกสารที่เราจัดเตรียมมา
เพื่อเช็คดูว่าโรงแรมที่เราจองสำหรับคืนนี้ชื่ออะไร มีอักษรภาษาจีนเป็นอย่างไร
เรามั่ว เรางมอยู่นาน ถามทงถามทางคนข้างทางไปทั่ว…

:: สุดท้ายก็มีผู้หญิงใจดีคนหนึ่งเดินมาส่งเราถึงหน้าโรงแรม พวกเราถึงกับทึ้งในความมีน้ำใจของคนที่นี่
ทำไมเค้าดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยว่ะ เราต่างพากันโค้งคำนับและสวัสดี คือขอบคุณแบบไม่รู้จะขอบคุณยังไง
หลังจากที่เข้าไปถึงโรงแรม เจ้าของโรงแรมก็เข้ามาทักชื่อพวกเรา และถามว่าใช่พวกเรามั้ย
เราบอกว่า ใช่ โอเค งั้นเอากุญแจไป พวกเราได้กุญแจกันไปคู่ละดอก แต่ก่อนที่จะขึ้นเอาของไปเก็บ
เค้าก็บอกให้เราบอกเค้ามาว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน ไปไหน เวลาไหนบ้าง เค้าจะได้แนะนำให้ถูก

:: สำหรับเย็นนี้ เราว่าง เราอยากจะเดินชม Downtown ของเมืองนี้
ซึ่งเค้าก็แนะนำว่าต้องนั่งรถสาย 1 แล้วไปลงที่ สวนสาธารณะ บริเวณนั้นสามารถชมเมืองมุมสูงได้
และเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง ก็จะเป็น Downtown เลย มีของกินเยอะแยะ
หลังจากกินเสร็จเที่ยวเสร็จ ถ้าจะกลับมาที่พักให้นั่งรถสาย 3 มันจะจอดที่ Bus Station แล้วให้เราเดินอีกนิดก็จะถึงโรงแรม

:: หลังจากที่แนะนำจบ ก็เข้าถึงทริปใหญ่พรุ่งนี้เช้า เราจะขึ้นเขาเทียนเหมินซาน
เฮียแกก็กางแผนที่แล้วก็วาดๆๆ ว่าควรไป route ไหนตรงไหนก่อน ห้ามพลาดอะไร
บนเขาเทียนเหมินซานเราจะใช้เวลาราวๆ 4 – 5 ชั่วโมง ในการเดินสำรวจเขาลูกนี้กันครับ
สถานที่หลักๆ ที่น่าสนใจก็จะเป็น ประตูสวรรค์ ทางเดินกระจก วัด และก็นั่งเคเบิ้ลที่สูงที่สุดในโลก
ช่วงที่เราไปเป็นช่วง low season ราคาเลยถูกลงมาก เฮียแกจัดการให้หมด
เราไม่ต้องทำอะไรเลย ทำตัวชิคๆ แล้วขึ้นเอาของไปเก็บข้างบนกันได้แล้ว

:: พูดถึงที่พักสำหรับคืนี้ ต้องบอกว่าดีมากๆ ครับ ไม่มีอะไรไม่โอเคเลย
เตียงนุ่ม สะดาด มีทีวี แอร์คอนดิชั่นและฮีทเตอร์ ห้องน้ำมีฟักบัว เครื่องทำน้ำอุ่น
และที่สำคัญ ส้วมเป็นแบบชักโครก ผมโอเคกับทีนี้มากๆ เจ้าของโรงแรมใจดี
รวมถึงภรรยาและลูกสาวของเฮียด้วย ส่วนโรงแรมชื่ออะไร ขึ้นไปดู บทที่พักข้างบนเลยครับ…

:: เอาหละ เก็บของเสร็จเฮียแกก็ใจดี เดินมาส่งเราถึงหน้าปากซอยพร้อมโบเมย์ให้เราด้วย
ขาไปให้จำไว้ว่าไปสาย 1 แล้วลงที่สวนสาธารณะ Huilong Park ตรงข้ามก็คือ Downtown
ส่วนขากลับจะกลับสาย 1 หรือสาย 3 ก็ได้ เลือกเอาเอาหล่ะ ที่แรก Huilong Park

:: การถามทางหรือ make sure ว่าที่นี่คือที่ไหนสำหรับทริปนี้ ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ทุกครั้งที่ไม่มั่นใจพวกเราจะถามทางทุกคนเพื่อให้มั่นใจ จนในบางครั้งถ้าฟังกันไม่รู้เรื่อง
ก็จะขอยืมโทรศัพท์เค้ามาเปิด google map แล้วก็ชี้ๆๆๆ ถามว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ๕๕๕

:: เมื่อไปถึงทางเข้าสวนสาธารณะ ก็ต้องตกใจกับบันไดอันสูงชัน ตอนแรกผมจะไม่ขึ้นไปแล้ว
แต่ก็นะ มันอาจจะเป็นครั้งเดียวของเราก็ได้ ก็เลยตัดสินใจเดินขึ้นไป ข้างบนไม่มีอะไรนะ
มีแค่เสาสูงๆ ที่เป็นสัญลักษณ์อะไรไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา กับวิวของเมืองๆ นี้
และทิวเขาเทียนเหมินซาน หุบเขาที่เรากำลังจะไปเผชิญในเช้าวันพรุ่งนี้…

เป็นคนที่นี่นะ

:: เอาหล่ะ ถึงเวลาทัว Downtown จางเจียเจี้ยแล้วครับเพื่อนๆ ขอไม่อธิบายอะไรมากแล้วกัน
อยากไปตรงไหน ไป อยากกินอะไร กิน อยากหยุดตรงไหน หยุด วันนี้ Free time สำหรับทุกคน…

:: เราเดินจนดวงอาทิตย์ลับฟ้าไป เดินจนปวดขา เดินกินของกินเล่นจนหิวกันอีกรอบหนึ่ง
ระหว่างนั้นก็เลยเดินเข้าไปในซอยดังรูปข้างบน ทั้งซอยจะเป็นร้านอาหาร รวมถึงร้านขายโอเด้งข้างทาง
ด้วยอากาศที่หนาวกับไอ่ร้อนของน้ำซุปโอเด้งที่ตีเข้าจมูกอย่างจังจึงทำให้พวกเราหยุดอยู่ที่ร้านนี้

:: อร่อยมากๆ ชอบโค๊ดๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ผมกินไปตั้งหลายไม้แหนะ วิธีการกินและการจ่ายตังค์จะเป็นแบบนี้ครับ
จะมีตั้งแต่ไม้ละ 5 – 15 หยวน กินๆ ไปเลย กินแล้วก็เก็บไม้ไว้ พอกินเสร็จก็รวมเศษไม้ที่กินยื่นให้จองของร้านนับ
เชื่อใจลุกค้ามากๆ นี่ถ้ากุจะโกงก็แอบโยนไม้ทิ้งข้างล่างซัก 10 อัน ร้านเมิงเจ๊งแน่ๆ ๕๕๕ เลว อิไม!

:: ด้วยความที่อยากกินอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ที่นี่ มีอยู่ร้านหนึ่งชื่อร้านอะไรจำไม่ได้แล้ว
คนต่อคิวเยอะชิดฮาย ก็เลยเค้าไปนั่ง ระหว่างนั้นก็ขอเมนูเค้า ให้ตายเถอะ จะจำไว้เลยครับ
สำหรับร้านนี้เราใช้เวลาสั่งอาหารนานกว่า 7 นาที ทั้งชี้ภาพ เขียนตัวเลข เอานิ้วจิ้มเมนู
เด็กเสิร์ฟแม่มก็ไม่เข้าใจตอนนั้นอารมณ์เคว้งมาก อารมร์ประมาณว่า เออๆ เมิงเอาอะไรมาให้ กุก็กิน
เชื่อมั้ย ผมบอกว่า No chicken, I cann’t eat chicken. pork and beef only พี่แกไม่เข้าใจครับ
ผมนิต้องลุกขึ้นมาทำท่ากากบาทโดยการเอาแขนสองข้างมาไคว้กัน เสร็จแล้วก็เอาแขนตีปีกพับๆๆ
แสดงให้เห็นถึงคำว่า No และก็ Chicken นั่นคือ ไม่เอาเนื้อไก่ แม่มก็ยังไม่เข้าใจ จนสุดท้าย อิโต๊ะข้างๆ ทนไม่ไหวมั้ง
เลยมาช่วยเราสั่งด้วย คุยไปคุมาแม่มก็ไม่เข้าใจ ผมก็เลยดูที่โต๊ะเค้า แล้วก็ชี้ๆๆ จานที่อยากกินไปเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น อิลูกชิ้นมีไส้สีขาวจานซ้ายเนี่ย อร่อยสุดๆ และเป็นเมนูแนะนำครับ ไม่รู้เรียกว่าอะไรนะ ๕๕๕

:: นิซื้อมาเพื่อถ่ายรูปเลยนะ ปกติไม่ดื่มน้ำอัดลม นี่ไง เปีปซี่จีน ไม่รู้ก๊อปป่าว ๕๕ แต่ก็หวานเหมือนกัน อิ๊
ขากลับเราก็นั่งรอรถที่ป้ายรถเมย์เพื่อโบกรถสายสามกลับโรงแรม ชีวิตคืนนี้ที่ใช้ชีวิตเหมือนคนที่นี่ดูวุ่นวายมั้ยหล่ะ ๕๕๕

เธอน่ารัก

:: เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรีบหาข้าวกินก่อนที่จะไปเดินชมเทือกเขาเทียนเหมินซานทั้งวันของวันนี้
บริเวณซอยทางเข้าโรงแรมมีร้านอาหารสามสี่ร้านให้เราได้เลือกทานกัน ซึ่งสำหรับผม
ก็คงจะหนีไม่พ้นอะไรร้อนๆ แน่นอน ส่วนคนอื่น ก็เดินหาของกินเล่นตามใจอยาก…

:: ถึงเวลาที่ต้องไปเก็บทางเดินกระจกแก้ว ประตูสวรรค์ และหลายเดสทิเนชั่นบนเขาเทียนเหมินซาน
คุณลุงเจ้าของโรงแรมมีรถคันหนึ่ง และบรีฟให้ทุกคนฟังก่อนเดินทางว่า
(คือคุณลุงไม่ได้ทำทัวร์นะ แต่คุณลุงบริการดีมาก ขายตั๋วให้เราในราคาถูก ขับรถไปส่ง คือทุกอย่างดูแลดีมาก)
ให้คนอายุดมากนั่งรถ ส่วนวัยรุ่นให้เดินไปที่ทางขึ้นกระเช้า หลังจากนี้ก็มีเพียงกลุ่มวัยรุ่นที่เดิน
คุณลุงก็เป็นโชเฟอร์ขับรถให้พ่อกับแม่เรานั่ง ส่วนลูกสาวเค้าก็เป็นคนนำทางเราไปที่บริเวณต่อรถเพื่อไปขึ้นกระเช้า…

:: ระหว่างทางเราได้เพื่อนใหม่ชื่อพี่อ๊อฟ พี่อ๊อฟมาจีนประมาณ 4 ครั้ง รอบนี้ เค้าพาพ่อแม่มาเที่ยว ซึ่งก็เหมือนกันกับผม
แต่แค่ครั้งนี้คือครั้งแรกของครอบครัวพวกเราสำหรับประเทศจีน และครั้งแรกของพวกเราสำหรับการเที่ยวต่างประเทศ
ผมทำความรู้จักกับพี่อ๊อฟเพียงผิวเผิน ระหว่างเดินเห็นคนนำทางนำหน้าคนเดียว
และคิดว่าเราควรทำความรู้จัก และติดคอนแทคไว้ เผื่อโอกาสหน้าเวลาดีได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

:: ผมยิงประโยคประจำชาติที่เค้าเอาไว้ทักกันสำหรับการทักเพื่อนใหม่ What’s your name? my name is Mike
และยิ้มสงสายตาเป็นมิตรไปยังดวงตาของเธอ เธอบอกชื่อเธอเป็นภาษาจีนกลับมา ซึ่งผมก็จำไม่ได้อีกเช่นเคย
เลยถามเธอไปว่า ขอชื่อภาษาอังกฤษได้มั้ย sure, you can call me Cherry : ) สายตาของเธอทำไมมันสดใสจัง
เราเดินกันไป คุยกันไป จากระยะทางที่ดูไกลๆ กับใกล้ลงมาเพียงไม่กี่นาที เธอเป็นคนดี น่ารัก ระหว่างที่เดินคุยกัน
ผมรู้สึกว่าผมต้องถ่ายภาพเธอไว้เป็นที่ระลึก แต่ก็ไม่กล้า เลยหยุดเดินแล้วบอกว่าขอถ่ายรูปแป๊ปหนึ่ง
เธอเดินไปก่อนเลย และนี่คือภาพที่ผมถ่ายเธอไว้ เ ป็ น ที่ ร ะ ลึ ก : )

:: เอาหล่ะ ถึงเรื่องสำคัญเรื่องที่สองของหนังเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้ชื่อ “การขึ้นเทียนเหมินซาน”
จะไม่เล่าเรื่องอะไรมากมาย จะเน้นแค่วิธีไป แนะนำแลนด์มาร์คต่างๆ รวมถึงทริคเพิ่มเติมเล็กน้อย

:: หลังจากที่เรามาถึงทางขึ้นกระเช้าไปเทียนเหมินซาน ก็ต้องเข้าคิวรอซื้อตั๋วขึ้นเขา
แต่ถ้าพักกับทางโรงแรมของคุณลุงละก็ พวกคุณไม่ต้องทำอะไรเลย คุณลุงเค้าจะเป็นธุระให้
เราเพียงแค่รออยู่เฉยๆ ในบริเวณที่คุณลุงบอกให้รอเท่านั้น

:: คราวนี้การเดินทางจะแบ่งเป็นสามตอน คือการนั่งรถขึ้นไปยังจุดถ่ายรถช่วงที่สอง
ก่อนที่จะนั่งรถช่วงที่สองขึ้นไปยังจุดเริ่มต้นของกระเช้าที่สูงที่สุดในโลก (รูทนี้เพิ่งเปลี่ยนมาได้ไม่กี่ปีที่ผ่านมา)
ทุกคนจะต้องต่อคิวกันขึ้นบัสเขียวคันเล็กไปยังจุด transfer ระหว่างทาง…

แผนที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

:: ระหว่างการเดินทางเพื่อนๆ ก็จะได้เห็นวิวเขาประตูสวรรค์จากแดนไกลเลยหละ…

:: ราวๆ 15 นาที เราก็เดินทางมาถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างบัสช่วงที่หนึ่งแล้วครับ
บรรยากาศบริเวณนี้ชิคมาก เราต้องใช้ตั๋วยื่นเป็นใบผ่านทาง เพื่อเข้าไปยังบริเวณถัดไป
นั่นก็คือการนั่งบัสช่วงที่สองขึ้นไปยังทางขึ้นกระเช้านั่นเอง…

:: ทางช่วงที่สองจะโหดมากครับ โค้งเรียกได้ว่าโหดสุดๆ และนี่แหละ คือถนน 999 โค้งเทียนเหมินซาน
ระหว่างทางเราได้รับข่าวร้ายว่า ประตูสวรรค์ไม่สามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้
เนื่องจากหิมะตกประปราย อาจจะเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้ เราถอนหายใหญ่ไปเหือกใหญ่
แล้วปล่อยให้ทุกอย่าง เป็นไปอย่างที่มันเป็น เราต้องสนุกกับมันให้ได้…

:: อีก 15 นาทีต่อมา ใครเมารถก็เมากันไปครับ เพราะบางช่วงบางตอน โค้งเป็นวงกลมวนหนึ่งรอบก่อนขึ้นครับ
ไม่ได้โม้นะ มีรูปมาให้ดู เด่วรอขึ้นกระเช้าก่อน เอาหล่ะ ตอนนี้เรามาถึงทางขึ้นกระเช้าแล้ว คราวนี้ก็ต้องต่อคิวกันเหมือนเดิมครับ
กระเช้าหนึ่งขึ้นได้ 8 คน ตอนที่ผมไปคนไทยเยอะมาก ๕๕๕ เรียกได้ว่า มาเที่ยวไทยชัดๆ

:: นี่ไงครับ โค้งที่ผมบอก ต้องหมุนวนหนึ่งรอบก่อนขึ้น ๕๕ ภาพนี้ถ่ายได้ตอนขึ้นกระเช้า (มุมสูง)

:: ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นครับ หิมะ หิมะ และก็หิมะ นี่คงเป็นสาเหตุที่ไม่อนุญาติให้เข้าประตูสวรรค์
เอาหละ คราวนี้เราต้องมาวางแผนใหม่ ว่าเราจะเดินไปทางไหนก่อนดี หรือไปแวะที่ไหนบ้าง
ระหว่างที่กำลังคุยกัน เมื่อมองย้อนกลับไปจากทางขึ้นกระเช้าที่เรามา ภาพที่เราได้เห็นมันสวยงามเหลือเกิน

เทียนเหมินซาน

:: ช่วงที่เราอยู่เทียนเหมินซาน ปกตินักท่องเที่ยวทั่วไปจะเดินทวนเข็มนาฬิกากัน  แต่พวกเราตัดสินใจที่จะเดินตามเข็มนาฬิกาเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน เราเดินไปเรื่อยๆ ชมความงามของบรรยากาศข้างบนนั้น บางจุดถูกปิดกั้นไม่ให้ผ่าน ทั้งประตูสวรรค์ จุดสูงสุดของภูเขา และรวมถึงทางเดินกระจกด้วย เราจึงทำได้เพียงแค่ถ่ายรูปวิวบริเวณทางเดินกระจกมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันครับ

:: นั้นคือจุดสูงสุดของเขาลูกนี้ครับ ชื่อว่า Yu Hu Peak

:: ตรงนี้เป็นทางเดินกระจกครับ แต่ก็ยังไม่ใช่ช่วงที่ยาวที่สุด ตรงนี้เป็นช่วงถัดจาก Yu Hu Peak ครับ เราลอดรั้วกันมาเพื่อมาถ่ายรูปวิวในทิศใต้เฉยๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว ทางเดินกระจกอยู่ทางด้านทิศเหนือครับ ในส่วนทางเดินกระจกทางด้านทิศเหนือ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 5 หยวนในการผ่านทางครับ วิวฝั่ง Southern ต้องบอกว่า ชิคมากจริงๆ มองลงไปข้างล่างแล้วแทบลืมหายใจไปเลย มันเหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก…

:: หลังจากที่เราเดินออกมาจากกระจกแก้วนั้น เราก็ยังคงเดินตามเข็มนาฬิกาเรื่อยๆ จนไปถึงวัดบนเขาเทียนเหมินซาน ก่อนจะถึงตัววัด จะมีสหกรณ์และที่นั่งพัก ให้เราได้พักเรี่ยวพักแรงครับ รับรองว่าเหนื่อยแน่นอน เพราะทางเดินยาวมาก ข้างบนนั้น ราคามาม่าสูงฉี่ถึง 15 หยวนเลย แพงกว่าปกติ 2 – 3 เท่า แต่ทำไงได้ พอเหนื่อยมันก็หิวครับ หลังจากทานเสร็จก็เข้าไปกราบไหว้พระในวัดกัน…

:: ทุกๆ ทางแยก จะมีแผนที่บอกทาง แต่แผนที่แต่ละที่ ไม่เคยบอกเหมือนกันซักครั้ง ไม่เชื่อลองสังเกตุดูนะครับ เป็นปัญหามากๆ

:: ใครจะไปรูทนี้ ต้องออกกำลังกายกันหนักๆ ก่อนมาเลยนะครับ เพราะว่าเดินเยอะมาก ข้างในวัดสวยงามมากๆครับ มีของขายของหายากวางขายเต็มไปหมด ภายในตกแต่งด้วยศิลปะตามแบบวัฒนธรรมของชาวจีนอย่างไม่มีสิ่งใดเจือปน เราเข้าไปรับรสของความเป็นชาติ ของความศรัทธาในสถานที่แห่งนั้น หลังจากเต็มอิ่มกับมัน เราก็เดินลงกลับมาที่จุดพักเดิม เพื่อซื้อตั๋วนั่งกระเช้าราคา 25 หยวน ขึ้นไปยังจุดชมวิวของที่นี่กัน…

:: กระเช้ารอบนี้ ดูเหมือนจะทำให้หัวใจเราเต้นแรงกว่าเก่า ดูแล้วความปลอดภัยมันก็มีนะ แต่ด้วยสภาพของกระเช้าท่าทางจะมีอายุหลายปี ที่สำคัญ มันดูกลางแจ้งเกินกว่าที่เราจะทำใจให้ปลอดภัยได้ พ่อผมเป็นคนกลัวความสูง หลังจากที่แกขึ้นไปนั่งกระเช้าตัวนี้ แกไม่กระดิกตัวเลย บอกให้หันมาถ่ายรูปก็ไม่หัน แกบอกแกกลัวล่วง ๕๕๕

:: หลังจากที่ขึ้นไปยังจุดสูงสุด หิมะก็ปกคลุมกระจาย เราต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกหลายขั้น เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว แต่จุดชมวิวที่เราเห็น มันดูไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ไม่ประทับใจจนไม่แม้ที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายมันเก็บไว้เลยหละ  แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเก็บภาพมันไหว คือยอดสูง Hu Yu Peak ที่เค้าปิดกันไม่ให้เราขึ้น ภาพที่ผมได้มามันดูน่าตกใจและน่าทึ่ง หากเราได้เอาตัวของเราขึ้นไปสัมผัสบนระเบียงตรงนั้น

:: หลังจากที่เดินลงจากบันได เพื่อนๆ มีอยู่ 2 Choices ให้เลือก คือ ลงลิฟท์กลับไปที่ จุดแรกที่ขึ้นมา Cable Station หรือนั่งกระเช้ากลับไปที่จุดพักสหกรณ์ แน่นอนว่าเราคงไม่หันหลังกลับ ลิฟท์ที่นี่มีแค่สองชั้น คือชั้นบนและชั้นล่าง เพื่อนๆ เอาตั๋วที่ซื้อ กระเช้า 25 หยวนมาโชว์กับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะใช้บริการลิฟท์ลงไปที่จุดเริ่มต้น แล้วมาเรื่มอีก Route ฝั่งทิศเหนือกัน…

:: รูททิศเหนือผมจะไม่อธิบายอะไรมาก เอาเป็นว่าเดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆ เหนื่อยบ้าง หลงบ้าง แต่ก็อย่าพลาดทางเดินกระจกแก้วที่ยาวที่สุดในโลกฝั่งนั้น เพราะมันคือจุดสำคัญของที่นี่ ใข้เวลาของทุกคนให้คุ้มค่าบนหุบเขาที่ชื่อเทียนเหมินซานนะครับ

:: เรานัดเจอกันที่ Cable Station เมื่อคนครบ เราก็กลับในรูปเดิมของเมื่อเช้า ทว่าร่างกายนั้นเหนื่อยชิดหาย กล้ามเนื้อดูเหมือนจะแหลกและแตกหมด แต่ก็ต้องทำใจและหึดสู้ แพลนของเราต่อจากนี้คือ เมื่อลงไปถึงข้างล่าง จะต้องรีบไปเก็บของ แล้วนั่งรถเมย์สายสิบสองไปยังอู่หลินหยวน… พรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปยังเมืองแห่งอวตารกัน…

จะคิดถึง

:: เรานั่งรถกลับมายังที่เดิม คราวนี้คนที่นั่งรถขาไป ก็ต้องเดินกลับที่พักเหมือนหนุ่มๆ ในตอนแรก
ด้วยความเมื่อย เหนื่อยหิว เห็นอะไรก็ซื้อหมดครับ หิวจริงๆ ของกันที่ประเทศจีน ราคาไม่ต่างจากบ้านเรามาก
และยิ่งอะไรแปลกๆ มันทำให้เราสนใจที่จะลอง ถึงแม้ว่ายังไม่เคยรู้รสชาติมันมาก่อนก็เถอะ
บางอย่างที่เรากินบางครั้ง เราไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร เค้าใส่อะไร แล้วเค้าทำยังไง ๕๕๕

:: เดินผ่านแปลงผักตรงนี้ ก็อดที่จะถ่ายรูปไว้ไม่ได้ครับ คนที่นี่ เค้าเห็นทุกอย่างเป็นโอกาสครับ
บางคนไม่มีที่อยู่อาศัย ผืนดินเล็กน้อยแค่นี้ ก็สามารถทำให้เค้าอยู่ได้ไปอีกหลายมื้อครับ
คนจน ก็จนสุดๆ ส่วนคนรวย ก็รวยล้นฟ้า…

:: เมื่อเราเดินทางมาถึงที่พัก ก็เก็บข้าวของเตรียมเดินทางไป อู่หลินหยวนกันต่อครับ
จากจางเจียเจี้ย ไปอู่หลินหยวน คุณลุงให้คำแนะนำมาว่า เรารอตรง bus Station แล้วขึ้นรถสาย 12
จากตรงนี้จะใช้เวลาราวๆ 1 ชม. ก็จะไปถึงตัวเมืองอู่หลินหยวนครับ
พวกเราขอบคุณในความมีน้ำใจของแก ทั้งครอบครัวแกดูแลพวกเราดีมาก
และก็ต้องขอบคุณกรุ๊ปคนไทย ที่บังเอิญมาเจอกันที่นู้น และได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกด้วย
มิตรภาพระหว่างทาง มันไม่เคยหายไปไหน มันหาง่ายแค่เพียงกล้าที่จะเปิดบทสนทนาครับ
เรื่องราวที่จางเจียเจี้ย มันทำให้ผมรู้ว่า…

คนบางคน
มาเพื่อพบ
มาเพื่อรู้จัก
และก็จากกันไป
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่
หรือทว่า… อาจะจะไม่เจอกันอีกเลย : )

คุณลุงใจดี มาส่งเราถึงท่ารถเลยครับ (ข้างถนน แล้วรอรถสาย 2) เมื่อเราขึ้นรถ ก็โบกมือบ่ายๆ แกครับ
ค่ารถตรงนี้ ตกคนละ 12 หยวนครับ ซึ่งประหยัดมากๆ ถ้าเราเข้าไปใน bus station จะอยู่ทีคนละ 25 หยวน
เซฟค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะครับ มะ เดินทางกันต่อ…

โดนเต็มๆ

:: ระหว่างที่นอนน้ำลายยืดกันอยู่ รถก็จอด พนักงานเก็บเงินก็มาปลุกแล้วทำท่าทางประมาณว่า ถึงแล้ว!
คงจะสุดสายแล้วมั้ง เราเดินลงมาจากรถ สังเกตุว่ามันคือวงเวียน มันเหนื่อยมาก เราคงไม่หาบัส
เราคงต้อง taxi กันอย่างเดียวแล้วหล่ะ เราเอาชื่อ hostel ให้คนขับรถดู แกเรียก 10 หยวน โอเค ไปกัน!

:: เราแบกของขึ้นรถ แล้วเดินทางออกจากตรงนั้น เห็นเมือง เห็นผู้คน แต่เราไม่ได้มอง
ข้างนอกมีเสียงแตร เสียงรถยนต์ เสียงคนเจี๊ยวจ้าว แต่เราไม่ได้ฟัง ใจเรามันไปนอนตายอยู่ที่ hostel แล้ว

:: เราไปถึงที่พักกันอย่างโทรมๆ รับกุญแจ ฟัง reception พูดๆๆๆๆ เก็บข้อมูลได้บ้างไม่ได้บ้าง
แต่ก็ต้องขอบคุณ เราขอแผนที่เมืองมา 1 ใบ และก็ให้เค้าแนะนำว่า แผนของเราเป็นไปได้รึป่าว
หากเราจะไปหุบเขาอวตาร แล้วไปแค่ 1 วัน ให้เค้าแนะนำว่า ต้องไปที่ไหน อย่างไร ไม่ควรพลาดจุดไหนบ้าง
พอเราฟังเสร็จ เก็บข้อมูล ก็ขึ้นมาบนห้อง เก็บของ เตรียมไปหาข้าวกินกัน

:: พ่อเดินมากไป เลยต้องหายาให้พ่อกินเลย ๕๕๕ เสียไป 20 หยวนๆ แบบขำๆ
อากาศหนาว พ่อเดินไม่ได้ วันนี้เราเลยจะหาอะไรกินใกล้ๆ ที่พักนั่นแหละ
มองไปตรงข้ามที่พัก เห็นร้านอาหารขนาดกลางๆ อยู่ร้านหนึ่ง เราเดินข้ามถนนไป
แล้วสั่งอาหารกันเหมือนคนไม่เคยกินข้าวมาเป็นเวลา 3 – 4 วัน

:: ไม่นานนัก อาหารทุกอย่างก็อยู่กันอย่างพร้อมหน้าบนโต๊ะ อย่าถามว่ามีอะไร
และแต่เมนูชื่ออะไร พวกผมไปหน้าร้าน แล้วชี้วัตถุดิบทุกอย่างที่อยากจะให้เค้าทำให้
จากนั้นก็ทำท่าปรุง แล้วบอกว่า OK รึป่าว เป็นสัญญาณว่า เมิงทำให้กุได้ปะ?
และนี่คือทุกอย่าง ที่ OK บนโต๊ะ เย็นนี้ครับ…

:: กินไปกินมา กินกันอย่างราชา กินกันอย่างรื่นรมย์ ยกนิ้วโป้ให้พ่อครัวหลายรอบมาก
มันถามตลอดเลยว่าขาดเหลืออะไรมั้ย ถามว่าจะเอาเหล้าดองมั้ย กุก็เอาสิครับ เค้าอุส่าห์ใจดีให้
กินกันอิ่มหมีพรีมัน ยิ้มแย้ม และรู้สึกว่า เค้าใจดีมาก เทคแคร์เราด๊เกิ๊นนน!
พอ bill มาเท่านั้น แทบอ๊วกครับ ๕๕๕๕

:: เชดแหม่ 374 หยวน โอ้วแม่เจ้า คิดเป็นเงินไทยเล่นๆ มื้อนี้ฟาดเข้าไป 1,600 บาท
นิกุกินอะไรเข้าไป กุไม่ได้จะสั่งเลย กุนึกว่าเมิงให้ฟรี สึส ผมนิของขึ้นเลยครับ
อาหารแต่ละจานเกือบ 100 หยวน เลยบอกแกไปว่า ไม่รู้ว่ามันราคานี้
เถึยงกันอยู่นานครับ เลยต่อแกไปที่ 300 หยวน เชดแหม่…. โดนเต็มๆ

ดินแดนแห่งอวตาร

:: ผมคงจะเล่าคร่าวๆ นะครั บเพราะถ้าให้เล่าทุกช๊อต บอกทุกภาพ คงไม่จบแน่ๆ รีวิวตัวนี้
เราตื่น 6 โมงเช้า ด้วยอากาศที่หนาวเลขหลักเดียว เลยหาอะไรร้อนๆ กินกันครับ
จากที่พัก เราเหมา taxi ไปส่งที่ หน้าทางเข้าอุทยานเทียนซีฯ ครับ ค่า taxi คันละ 10 หยวน

:: ประมาณไม่เกิน 10 นาที ก็ถึงทางเข้าแล้วหล่ะครับ ช่วงที่เราไปเป็นช่วง Low season ดังนั้น
ค่าตั๋วเข้าจึงถูกกว่าช่วง High season ครับ เราทำการซื้อตั๋ว และรอเวลาให้เจ้าหน้าที่เปิดประตู

:: สำหรับ season นี้ เราจ่ายกันคนละ 136 หยวนครับ ซึ่งเป็นการซื้อบริการแบบ Full sevice ครับ
คือรวมค่าเข้าสถานที่ต่างๆ และรถ bus รับส่งตามจุดต่างๆ เราจะเดินทางกันแค่ 3 ที่หลักๆ ครับ
คือไปสุสานนายพลฯ ไปดูที่ถ่ายทำอวตาร ลงลิฟท์แก้ว แล้วก็ไปแถวๆ ภาพวาดสิบลี้ครับ แม่น้ำแสงทอง
การเดินทางจะเป็นการทวนเข็มนาฬิกา ของแผนที่ที่โชว์ให้ดูครับ : )

:: การเดินทางครั้งนี้ ขออนุญาติให้ภาพเป็นตัวเล่าเรื่องราว แทนตัวอัษรนะครับ
ค่อยๆ ไปที่ละภาพ ที่ละสถานที่ ประติดประต่อออกมาเป็นเรื่องราวได้แน่ๆ ครับ
แต่ถ้าใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ นั้นๆ ก็ google กันเลยครับ : )

:: ผมว่าผมเล่าต่อดีกว่า เด่วงงกัน หลังจากที่ต่อคิวนั่ง bus มาซักระยะหนึ่ง bus ก็จะจอด
จอดให้เราเตรียมตัวขึ้น cable car ครับ ช่วงนี้จะต้องเสียค่า cable car ราวๆ คนละ 67 หยวน
หรือจะไปม่นั่ง cable car ก็ได้นะครับ แล้วนั่ง bus ต่อไปเรื่อยๆ แต่มาทั้งที ก็ขอนั่งหน่อยแล้วกัน : )

:: แม่บอกว่า ไปเชียงใหม่ ไปหาแม่คะนิ้งอย่างลำบาก มาจีน ดูธรรมดาไปเลย เห็นตรึม ๕๕๕

:: ตรงจุดนี้แหละครับ ที่จะเราสามารถซื้อตั๋ว cable car ได้อย่างง่ายๆ ราคาใบละ 67 หยวนครับ
ซื้อมาแล้วก็เข้าแถวเดินขึ้นไปบันได ไปขึ้น cable car เลย ถ้าให้เทียบจากที่ tiaenmen zhan
กระเช้าของที่นี่ดูเก่ากว่ามากครับ แต่วิวสวยคนละแบบนะ ระหว่างทางที่ขึ้นไปก็จะมีกล่องไม้
ขนาดสี่เหลี่ยมและวงกลมวางตามโขดหิน ร่องหิน ผมแปลกใจมากว่ามันคืออะไร
ทำเพื่ออะไร แล้วใครเป็นคนเอามันขึ้นมา แล้วขึ้นมาได้อย่างไร…

:: หลังจากขึ้นมาถึงข้างบน สิ่งแรกเมื่อเรามาถึงคือสูดอากาศลึกๆ เพื่อเอาอากาศที่โคตรหวานเข้าปอด
อากาศข้างบนนั้นมันหวาน มันหอม มันรู้สึกสดชื่นอย่างมากครับ…

:: เดินไปไม่กี่ก้าว ก็เจอบัสมาจอดรอครับ คนครบเมื่อไหร่ ล้อก็หมุนเมื่อนั้นครับ หรือถ้าคนไม่ครบ
บัสก็จะออกทุกๆ 30 นาทีครับ เราเดินรถตามบัสเลย คือทวนเข็มนาฬิกา บัสจะจอดทุกที่ครับ
อยากลงตรงไหนก็ลง ซึ่งอย่างที่บอกไปครับ เรามีเวลาแค่หนึ่งวันเท่านั้น เพราะฉนั้น ที่ที่เราจะแวะ
จึงมีแค่สามที่หลักๆ คือสุสานนายพลฯ สถานทีถ่ายทำอวตาร ลงลิฟท์แก้ว ไปแม่น้ำแสงทองและภาพวาดสิบลี้

:: เดินเข้าไปในสุสานนายพลฯ ก็ต้องตกใจครับ ที่นี่รวมอะไรแปลกๆ ไว้เยอะพอสมควร
ผมเพิ่งจะรู้ว่าคนจีนชอบพริกสับยัดโหลตครับ เค้าจะซื้อกลับบ้าน เอาไปฝากญาติพี่น้องกันครับ
เดินผ่านมาหน่อยก็จะเป็น Mc donald สไตล์จีนครับ สุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆ ครับ
ผมเคยไป New York ครั้งหนึ่ง เค้าบอกว่า ที่นี่คือ Mac Donald ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่พอมาเจอบนเขาเทียนซีเข้าไป ผมว่าทีนี่น่าจะใหญ่ และยาวกว่าครับ โหดมากกก > <

:: เดินถัดไปหน่อย ก็จะเป็นวิวและวัด รวมถึงร้านของฝากเต็มไปหมดเลยครับ
ช่วงนี้ก็จะโชว์แต่ภาพ ภาพ ภาพแล้วกันนะครับ : )

:: เอาหละครับ หลังจากทัวร์สุสานนายพลฯ์ เสร็จ จุดนี้ใช้เวลาราวๆ 1 – 2 ชั่วโมงก็น่าจะพอครับ
จริงๆ กะจะใช้น้อยกว่านี้ครับ แต่เดินไปเดินมา มันเพลินครับ เราขึ้นบัสชมพูคันเดิม
เพื่อยังไม่จุดถ่ายทำอวตารครับ ก็นั่งรถกันไป หลับกันไป สิบยี่สิบนาที ก็มาถึง….

:: เราไปถึงกันเกือบเที่ยงครับ เลยจะแวะทานเข้าให้เสร็จๆ ไปเลย เพราะดูเวลาที่ใช้สำหรับที่นี่แล้ว
นานพอสมควรครับ ต้องเดินลัดเลาะภูเขาไปเรื่อยๆ ทั้งไกล และต้องเหนื่อยแน่นอน
เราเดินทางมาเจอกับครอบครัวพี่อ๊อฟอีกแล้วครับ (พี่ที่พักห้องพักเดียวกันที่จางเจียเจี้ย)
ก็เลยรอเที่ยวและเดินด้วยกันเลย น่าจะดีกว่าเดินกันเอง พ่อแม่พี่อ๊อฟเค้าก็ชวนเราเข้าไปช่วยทานข้าวครับ
เนื่องจากว่าร้านบนนั้น ให้ข้าวมาเยอะมากครับ สั่ง 1 จาน แต่ให้มา 1 กาละมัง
กินกันไม่หมดครับ เกือบสิบคนกินไม่หมดจริงๆ ตอนนั้นผมไม่อยากกิน ก็เลยเอามาม่าที่ซื้อเตรียมไว้ไปกินด้านนอก

:: และระหว่างที่ผมกำลังก้มหน้าซดมาม่าร้อนๆ ท่ามกลางบรรยากาศเยนๆ บนเขาอวตาร
ก็เงยหน้าไปเจอคนๆ หนึ่ง เธอยิ้มให้และถามว่า are you asian? ผมก็เลยตอบกลับอย่างรวดเร็วไปว่า อิห่า! เมิงจะบ้าหรอ
หน้าตากุลาวขนาดนี้เมิงยังจะดูไม่ออกอีกหรอ กุมาจากยุโรปมั้งเมิง โถๆ ถ้าเมิงจะดูไม่ออกขนา… หลอกครับ 55
ผมตอบไปว่า yes i’m from Thailand. กราแลกบทสนทนากันจนกระทั่งผมต้องวางถ้วยมาม่าๆ อุ่นๆ ไว้กับพื้น
คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่แต่ก็อยากแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดแปลกๆ ของเพื่อนต่างชาติคนนี้
ซึ่งเธอก็น่าจะคิดเช่นเดียวกับผม เธอเป็นคนจีน แต่พูดอังกฤษกะญี่ปุ่นได้
เธอกำลังศึกษาอยู่ในมหาลัยแห่งหนึ่งที่นี่และรับจ๊อบเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง
คุยกันไปคุยกันมาเธอก็ย้ายจากฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างๆ ผม ผมถามว่าเธอชื่ออะไร
เธอเปล่งพยางค์ภาษาจีนออกมาสามพยางค์ ใช่ครับ.กุจำไม่ได้หรอก
แต่เธอก็รู้ว่าผมคงจำไม่ได้ เธอก็เลยบอก english name มา เธอชื่อ lucky โอ้ววว… ลั๊คคี๊ ยินดีที่ได้รู้จักครับ : )

นี่คงจะเป็นเสน่ห์ของการเดินทางซินะ : )

:: ตัดกลับมาที่การเดินทางของเราอีกครั้งครับ หลังจากที่ทุกคนพร้อม เท้าสองข้างก็เริ่มเดินทางครับ
เราเดินไปตามจุดหมายที่แผนที่แนะนำไปเรื่อยๆ และแล้ว เรื่องนี้ก็มีคำตอบครับ
ไอ่กล่องไม้ที่เจอเยอะๆ ตอนที่นั่งกระเช้าขึ้นมาครับ เค้าได้อธิบายไว้ตามภาพนี้เลยครับ : )

:: เราเดินกันไปเรื่อยๆ ครับ วิวแม่มเหมือนกันหมดครับ เชื่อว่าเพื่อนๆ อาจจะต้องเบื่อเหมือนพวกผมแน่นอน
นี่ขนาดเราไปหน้าหนาว ยังร้อนเ_ี้ยๆ ครับ เดินไปเถอะครับ ถ่ายรุปจนขี้เกียจถ่ายครับ เพราะวิวเหมือนกันหมดจริงๆ

:: ผ่านมาหน่อย ก็จะเป็นโซนคล้ายๆ Seoul Tower ครับ กุญแจทั้งภูเขาครับ เค้าเชื่อว่า
ใครที่เป็นแฟนกันแล้วเอาแม่กุญแจมาล๊อคไว้ที่นี่ จะรักกันไปจนวันตายครับ อย่าลืมโยนลูกกุญแจทิ้งนะครับ
จะได้ไม่มีใครสามารถทำลายความรักของเราได้ (กุไม่เชื่อครับ ๕๕)

:: หลังจบโซนกุญแจไป ก็จะเจอกับสะพานหินครับ เค้าบอกว่าเป็น สะพานเปิดโลกครับ
มันคือหินที่โค้งเป็นรูปสะพาน เชื่อมระหว่างเขาสองลุกครับ ผมไม่เห็นความสวยงามของมัน
เลยไม่ได้ถ่ายมาไว้ครับ รู้สึกธรรมดามาก แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ ลิง ครับ : )

:: ไม่ใช่จะชมว่าน่ารักนะครับ ลิงที่เนี่ย เ_ี้ยมากกกกกกก ถึงมากที่สุด มันคือโจรชั้นดีครับ
ขอเตือนเลยว่า ใครที่ไปเที่ยวอย่าเอาถุงพลาสติกไปด้วยนะครับ มันจะขโมยและวิ่งราวทุกอย่างที่เป็นพลาสติก
ของที่มันกินๆ อยู่ ก็คือของของนักท่องเที่ยวครับ ทุกชิ้น ผมเห็นกับหา พวกมันหน้าสุนัทมาก
อยากจะลากมาเตะให้ตายเลยครับ โดยเฉพาะหัวหน้าแก๊งค์ หน้าตาโคตรเ_ี้ย เรียกได้ว่าไม่กล้าไปยุ่งกับมันเลย

:: ถัดมาจากตรงนั้น ก็จะเป็นโซนปล่อยเต่าครับ ใครอยากหายจากไข้ก็มาปล่อยเต่า
อยากครองคู่กันไปนานๆ ก็มาปล่อยเต่า อยากรวยก็โยนเงินให้เต่า ผมว่าคนบนโลกทุกวันนี้แม่มบ้า
อยู่กันอย่างไร้สาระ เชื่อกุศโลบายกากๆ ที่บรรพบุรุษรุ่นที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายไม่รู้จักดราฟเอาไว้…

:: หลังจากนั้นก็ข้ามสะพานนี้ไปครับ จะไปเจอกับที่พัก รวมถึงรูปปั้นสัญลักษณ์ของอวตารครับ
พวกเค้าทำไว้ยิ่งใหญ่มากๆ ยิ่งใหญ่จริงๆ  ทำซะกุอยากถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกเลอะ หึหึ ไม่เชื่อดูภาพ ๕๕๕
เสร็จจากตรงนั้น ก็หมดของดีแล้วครับ เดินร้อนๆ ตากแดดหน้าหนาวกันไป
พอถึงบัส ก็นั่งไปเรื่อยๆ คราวนี้หลับเป็นตายกันเลยครับ  เพราะช่วงเดินชมอวตารไกล ชัน และร้อนมากๆ

ลิฟท์แก้ว

:: นั่งรถมาเรื่อยๆ ก็ถึงจุดลงลิฟท์แก้วครับ หรือเพื่อนๆ จะนั่งบัสต่อก็ได้นะครับ ยังไงก็ไปลงที่เดียวกัน
แต่เค้าว่า ที่นี่เป็นลิฟท์แก้วที่สูงที่สุดในโลก และก็เป็นลิฟท์เดียวที่ไม่สนใจ UNESCO ครับ
ประมาณว่า กุจะสร้างในสถานที่ที่เป็นมรดรโลกอะ ใครจะทำไม ที่นี่เป็นที่ของกุ จะสร้างไม่สร้างเรื่องของกุ ประมาณนั้น
คำห้ามปรามหรือตักเตือนของ UNESCO ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อรัฐบาลจีนครับ ลิฟท์แก้วจึงเกิดขึ้น…

:: ผมไม่รู้ว่ามันสูงจากพื้นดินกี่เมตรนะครับ แต่ราคาตั๋ว 72 หยวน ทำเอากระเป๋าจางครับ
แล้วที่สำคัญ เวลาที่ใช้อยู่ในลิฟท์แก้ว แค่ประมาณ 1.20 นาทีเท่านั้น ซึ่งถามว่าคุ้มมั้ย
เรื่องนี้เพื่อนๆ ก็ต้องไปตัดสินใจเอาเองนะครับ ว่าจะใช้บริการ หรือจะไม่ใช้บริการ ๕๕๕

:: หลังจากลงมาถึง ก็เจอกับวิวที่ต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปอีกแล้วครับ
มองย้อนกลับไป ก็จะเห็นลิฟท์แก้วขนาบข้างกับเขาหินเลย ดูแปลกตา และสวยอย่างแปลกๆ

:: ลงมาอย่างงงๆ ครับ อยู่ดีๆ ก็มาถึงพื้น ถามว่าตื้นเต้นไม่ ก็ยังงงอยู่ครับ
ถามว่ารู้สึกยังไง อันนี้ก็ยิ่งงงไปใหญ่ คำตอบของคำถาม คือเพื่อนๆ ต้องลอง ครับ ๕๕
เราเดินลงบันไดไป เพื่อจะรอรถบัส ไปยังธารแสงทอง และภาพวาดสิบลี้ครับ…

:: ตอนนั้นต้องบอกว่า แรงใครเหลือก็เอากันต่อครับ ต้องมีบ้างแหละ คนหมดแรง
เพราะแต่ละที่ ต้องเดินกันยาวมาก แถมทางก็ไม่ใช่จะราบๆ อย่างเดียว มีทั้งบันไดและทางชัน
หลังจากเดินทางไปถึงธารแสงทอง ก็พบว่ามันต้องเดินเข้าไปอีกลึกมาก เกือบ 10 กิโล
พ่อ แม่ พี่สาว และเพื่อๆน อีกหลายคนขอบายครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมก็ขอเดินเข้าไปซักโลสองโลแล้วกัน
เนื่องจากฤดูที่เราไป เป็นฤดูหนาว ภาพธารแสงทองสวยๆ ที่เห็นตามรีวิว จึงไม่เกิดขึ้น…

:: นั่งรถต่อกันไปอีกไม่เกิน 10 นาที เราก็จะมาถึงภาพวาดสิบลี้กันครับ การเที่ยวชมภาพวาดสิบลี้
เค้าจะมีรถรางให้นั่ง เป็นรถเขียวๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายขาไปขาเดียวอยู่ที่ 35 หยวน (ถ้าจำไม่ผิด)
และถ้าไปกลับก็ประมาณ 60 หยวนมั้ง ผมคิดว่า เจอลิฟท์แก้วไปแล้ว ไม่อยากจะเสียเงินไร้สาระ
ก็เลยไม่ใช้บริการในส่วนนี้ แล้วอีกอย่าง ผมไม่ได้สนใจภาพวาดสิบลี้ขนาดนั้น คิดว่ามันไม่น่าจะต่างอะไรกันมาก
(ตอนแรกคิดว่าภาพวาดสิบลี้ คือมีคนมาวาดภาพบนผาความยาวสิบลี้) จริงๆ ไม่ใช่ครับ
ภาพวาดสิบลี้ คือยอดเขาบางยอด หรือบางกลุ่มที่ซ้อนทับกัน จนกลายเป็นรูปสัตว์ รูปอะไรต่างๆ นาๆ
พอรู้แบบนี้แล้ว เราก็เลยเดินเล่นกันไปเรื่อยๆ เพื่อดูภาพวาดสิบลี้ตามจินตนาการของใครก็ไม่รู้
บัสรอบสุดท้ายจะหมดตอน 17.00 น. ครับ ทุกคนต้องรีบกลับมาขึ้นบัสให้ทัน
เพราะถ้าตกบัสแล้ว นั้นหมายถึง คุณจะไม่มีทางออกจากที่นี่ หรือมีแต่ก็คงจะลำบากหน่อย
แพลนทุกอย่างจะเปลี่ยน จะต้องหาที่พักนอนเอาในอุทยานฯ (ในอุทยานฯ มีเกสท์เฮ้าส์ รอรับนักท่องเที่ยวที่ตกบัส)

:: นาฬิกาที่ข้อมือ เตือนเวลาให้เราต้องวิ่งกลับมาที่บัส ภาพวาดสิบลี้ก็ตามที่คิดไว้
ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น เราวิ่งกลับโดยไม่รู้สึกเสียดายเลย แค่ได้มาสัมผัส
และเห็นบางส่วนของที่นี่ ก็โอเคแล้ว เราวิ่งไปที่บัส ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากัน
ต่างคนดูหมดเรี่ยวแรงและพร้อมที่จะยัดห่าในมื้อเย็นวันนี้…

:: หลังจากเดินทางจากตัวอุทยานฯ พร้อมนักท่องเที่ยวกว่าร้อยกว่าพันชีวิต
ไม่มีเสียงสนทนาใดๆ นอกจากคำว่าเหนื่อย หิว และหมดแรง เราเดินมาข้างหน้าอุทยานฯ
รอบัสหมายเลข 1 เพื่อนั่งเข้าไปในเมือง และระหว่างที่นั่งเข้าเมืองนั้น ก็ทำให้รู้ว่า พ่อผมเป็นคนชิคๆ

:: ระหว่างที่ผมกำลังรวมภาพทำรีวิว “จางเจียเจี้ย” อยู่ ก็ดันไปเห็นรูปนี้
มันคิดถึงบทสนทนาที่พ่อใช้วาจนะภาษาสื่อกับแม้ค้าขายส้มเหลือที่ประเทศจีน
อย่างที่บอกว่าพ่อผมเป็นคนชิคๆ แกเป็นคนไม่โรแมนติก แต่ขี้เล่น เวลาแกอยู่ประเทศไทย
ถ้าได้ไปตลาดกับแกจะรู้ว่าแกเป็นคนชอบต่อสินค้า ไม่ใช่งก แต่เพื่อรักษาสิทธิของตัวเอง
ไปจีนคราวนี้ แกก็ไม่ลืมที่จะต่อบทกับแม่ค้าด้วยวาจนะภาษาชิคๆ ของแก แกพูดลาวใส่แม่ค้าจีนรัวๆ
แล้วต่อราคาไปอย่างคูลๆ แม่ค้าจีนถึงกับตกใจ ทำไมกล้า… แกพูดลาวใส่ แม่ค้าก็โต้กลับเป็นจีน
โดยมีผมใช้อังกฤษเป็นสื่อกลางในบางครั้ง เพื่อทำให้ทั้งสองคนเข้าใจกัน ระหว่างการเดินทางกลับโรงแรม
สองคนนี้กลับคุยกันเล่นยังกะเพื่อนสนิท อีกคนคุยลาว อีกคนคุยจีน เออ… แม่มก็ไปด้วยกันได้อย่างคูลๆ
แถมพ่อ deal ราคาจนกลายเป็นซื้อ 1 แถม 1 ผมว่าพ่อผมไม่ใช่แค่เป็นคนชิคๆ ธรรมดาแล้วหล่ะ แต่แม่มโคตรชิคเลอะ

เหนื่อย เปื่อย เพลีย

:: บัสจอดตรงถนนใหญ่ เราเดินเข้ามาย่าน down town กันยะกะซอมบี้
กลิ่นหอมของกับข้าวตามท้องถนน มันทำให้เราต้องรีบหาร้านนั่งพักกันให้เร็วที่สุด
เดินไปต่ออีกไม่ใกล้นัก ก็พบว่ามีร้านนหึ่งคนว่าง เราไม่รอช้าที่จะโยนข้างของ แล้วนั่งค้างกันที่ร้านนั้น

:: เรากินกันอย่างง่ายๆ แต่อาหารที่ได้มาก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ทุกอย่างดูน่ากิน และเหมาะสมมากๆ
แถมจบราคาด้วยเลขหลักสิบคูลๆ แบบไม่ต้องนั่งเถียงกัน ผมกับพ่อแม่แยกตัวกัน
พ่อแม่ขอไปนอนพักเก็บแรง เพื่อที่จะเดินทางต่อในเช้าวันพรุ่งนี้
ส่วนผมขอเก็บเรื่องราว Night Life สั่งลาที่นี่ ก่อนที่จะกลับไปจางเจียเจี้ย…

:: จริงๆ แล้ว เพื่อนๆ สามารถไปเที่ยวอีกวันก่อนกลับจางเจียเจี้ยก็ได้นะครับ
แต่เนื่องจากกลุ่มของผมหมดแรงกันจริงๆ และคิดว่าทุกอย่างมันไม่น่าเที่ยวแล้ว
เพื่อนๆ สามารถเดินทางออกไปอีกฝั่งเพื่อจะไปทะเลสาบ และชมความงามของถ้ำหินงอกหินย้อย
ช่วงที่ผมไปเป็นหน้าหนาว น้ำน่าจะแห้ง ผมก็เลยไม่อยากที่จะเสียเงินเพิ่ม
ส่วนถ้ำหรอ… ในไทยเจ๋งกว่าเยอะครับ ผมคงเที่ยวเยอะ จนเอียนแล้ว
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไป อยากไป ผมแนะนำให้ไปครับ ราคาสองที่รวมกัน
น่าจะจ่ายเพิ่มต่อหัวคนละประมาณไม่เกิน 150 หยวนครับ ยังไงก็เที่ยวให้สนุกนะครับ : )

ขากลับ

:: เมื่อเย็นช่วงที่ทานข้าวกัน พ่อตอง พี่เคน พี่เอ็ม แยกตัวไปจองตั๋วรถให้เราครับ
วันนี้เราจะออกจากที่นี่รอบ 8 โมงเช้า เราปรึกษากันว่า จะไปนอนตายกันในโรงแรงทีจางเจียเจี้ย
พักซักวันให้ได้นั่ง ได้นอนกันอยู่เฉยๆ ใครบอกเดินป่าโหด ลองมาที่นี่สิครับ โหดกว่าเยอะ

:: Hostel ที่เราอยู่ที่ อู่หลินหยวนชิคมากครับ (ไปดูชื่อ Hostel หน้าสารบัญ)
ผนังจะเต็มไปด้วยรอยจารึกของนักท่องเที่ยวขาจรเต็มไปหมด ทุกคนล้วนเขียนความรู้สึก
และประมาณลายมือชื่อของตัวเองไว้ บ้างเขียนบอกรัก บ้างวาดรูปธรงชาติตัวเอง
ซึ่งผม ก็ไม่ลืมที่จะประทับตราความเป็นตัวตนเอาไว้ ที่หน้าประตูทางเข้าห้องที่ผมพักอาศัย…

:: เรากล่าวขอบคุณ เจ้า reception ตัวป่วน ก่อนทีจะออกมาเจอกับอากาศหนาวๆ เลขหลักเดียวข้างนอก
โบก Taxi เพื่อไปยัง Bus Station ครับ ถั่วทุกครั้ง ครั้งละ 10 หยวนต่อคัน (จำให้ขึ้นใจ ห้ามเกินนี้)

:: เราพร้อมกันที่ Bus Station หาของกินกันหิว และรอเวลาให้ล้อหมุน…

:: 6 – 7 ชั่วโมง เราก็มาถึง West Bus Station ที่เรามาตั้งแต่วันแรกครับ คราวนี้ เราจะบุกเมืองนี้กันแล้ว
เรากางแผนท่องเที่ยวเล่มใหญ่ให้คนจีน เพื่อถามว่า โรงแรมที่เราพักอยู่ ต้องนั่ง Bus เลขอะไร
พี่แกก็พอพูดอังกฤษได้ จับใจความได้เป็น Bus หมายเลข 2 ครับ (ไม่มั่นใจว่าใช่รึป่าว) เอาหล่ะ ไปหาบัสกัน…

:: เดินไปจนสุด ก็เจอกับคิวบัส ที่กำลังรันออกทีละคันครับ เราโชว์ชื่อโรงแรมของเราอีกครั้ง
ว่าบัสเลขนี้ผ่านรึป่าว (เพื่อความมั่นใจ) แกบอกผ่าน เราทั้งหมด ก็ขึ้นบัสกันไปอย่างไม่รีรอ
ระหว่างที่บัสเคลื่อนตัวเข้าเมืองไปเรื่อยๆ เราเห็นถึงความเจริญรุ่งเรื่องของเมืองจีนครับ
บ้านเมืองเค้าเจริญกว่าประเทศเรามาก นี่ขนาดเป้นเมืองหลวงในมณฑลเล็กๆ ยังเจริญมากขนาดนี้เลย
ระหว่างที่ล้อหมุนไปเรื่อยๆ สองตาก็คอยจับตาดูสองข้างทาง ว่าโซนไหน ที่เป็น Down Town
เราเตรียมตัว และพร้อมที่จะมาหาเพื่อนใหม่เพิ่มกันที่นี่ ก่อนที่จะกลับไทยไป…

:: จำไม่ได้ว่าทำไมเราถึงลงถูกที่ อาจเพราะมีคนบอก หรือใช้ sense ของเราเอง
แต่เอาเป็นว่าเราลงมาถูกที่ ผมจำไม่ได้เลยว่าตรงข้ามตึกคือตึกชื่ออะไร หรือข้างๆ คืออาคารอะไร
คงจะเป็น Bus Driver ที่บอกให้เราลงชานชลานี้ ลงปึ๊บ ก็เห็นโรงแรมเลยครับ
ที่ที่เราจะพักในคืนก่อนปีใหม่วันนี้ เป็น MOTEL ครับ เข้าไปดูในห้องกัน…

:: สภาพห้องโอเคกว่าที่คิดไว้เยอะครับ มีลิฟท์บริการด้วย ที่สำคัญ ติดถนนใหญ่ ใกล้ Subway
เดินทางสะดวกโค๊ดๆ พวกเรานอนพักทิ้งกายไปกับเตียงนุ่มๆ ซักพัก รอเวลาให้เย็น
แล้วก็จะออกไปแรดกัน งานนี้พ่อกับแม่ขอบาย น้องรอที่ห้อง ส่วนพี่เคน พี่เอ็ม พี่ตอง
ก็ขอแยกตัวไปตั้งแต่มาถึงแล้ว งานนี้คงจะเป็นคู่หู Duo ลุยเมืองกับพี่สาวสองคน…

:: ชานมไข่มุกที่นี่ อร่อยมากครับ ต้องจัดนะ อย่าลืม…

นับถอยหลังรอปีใหม่

:: หลังจากนี้ เราจะเดินชมมือง ชมผู้คน เสพไอเดียเก๋ๆ จากที่นี่ และรอ Countdown เข้าปี 2015 กัน…

:: เราเดินกันจนเมื่อยขา หา location ถ่ายรูปคูลๆ กันเยอะมาก แน่นอน เราได้เพื่อนใหม่
เราถ่ายรูปกลุ่มด้วยกัน พวกเค้าน่ารักมาก เราแลกเมลล์กัน เพื่อส่งรูป และติดตามกัน
เวลาบอกว่าเราต้องกลับเข้าไปที่ downtown เพื่อเริ่มนับการถอยหลังได้แล้ว
ผมเก็บขาตั้งกล้องและรีบเดินกลับไปกับพี่กันสองคน เดินมาตามเสียงของ sound แด๊นซ์
แต่หลังจากที่มาถึงก็ต้องงง เพลงแม่มโคตรแด๊นซ์ แต่ไม่มีใครแด๊นซ์
อารมณ์ควรจะถือเบียร์คนละป๋อง ชนกัน กลับไม่มี ทุกคนมากันอย่างเงียบๆ พร้อมเพื่อนฝูง
บ้างมากับคู่รัก ยืนกอดกัน และรอให้เวลาถอยหลังข้ามผ่านพันปี…

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: 5 ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: 4 :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: 3 ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: 2 :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: 1 ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

:: ไม่มีเสียงพลุ ไม่มีการแสดงใดๆ ไม่มีแสงไฟยักษ์ใหญ่ให้ตื่นตา
มีเพียงลูกโป่งหลักร้อยลุก ที่ลอยขึ้นฟ้าพร้อมกับหันหน้าเข้าหา
แล้วบอกว่า Happy New Year…

คำถามหลายคำถามเด้งขึ้นมาในหัว จนกระทั่งมาตั้งกระทู้ตอนนี้ ก็ยังงงอยู่
ว่าทำไม… เค้าไม่จุดพลุ ???

มันยังไม่จบ

:: เดินกลับ MOTEL กันอย่างงงๆ ก็มาเจอตลาดปลากลางถนนแบบดื้อๆ เลยครับ
Unseen ดีนะครับ เอารถขนปลา มาเทขายปลากันกลางถนนเลย

:: เดินลงไป Subway ก็มีตลาดกลางคืน ให้ได้ช๊อปกันครับ รวมถึงสีสันของไอเดียเก๋ๆ เต็มเมืองเลย

:: เราตื่นเช้ากันเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ข้อมูลที่หามาจาก net แล้ว print มาเป็นเล่มยังคงอยู่ในมือ
เราเปิดหน้าคำว่า Airport แล้วโชว์ให้ Taxi ดู ต่อราคากันพอเหมาะสม เอาให้ไม่เกิน 100 หยวน
ต่อลงเป็น 80 แกบอกว่าไม่ได้แล้ว เอาวะ 100 ก็ 100 ถ้าต้องกลับไปนั่ง shuttle bus ราคาคงพอๆ กัน
ผมและครอบครัว ขึ้นไปใน taxi คันแรก แล้วตะโกนบอกพี่ๆ ให้ตามไป…

:: อีกไม่กี่นาที ภาพในเมืองฉางซา จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เราพยายามชักภาพให้ได้มากที่สุด…

:: Taxi ที่นี่คล้ายๆ ที่ New York ครับ มีกรงกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร

:: เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ทำให้เราลืมภาพฉางซาไปเลย สนามบินอยู่ตรงหน้าของพวกเราแล้ว…
เราลงจาก Taxi แล้วรอขึ้นเครื่อง ทุกคนดูเต็มอิ่มกับทริปนี้ แต่ละคนคงได้อะไรไปเยอะเลยหละ
ตลอดหลายวันมานี้ มีประสบการณ์หลายอย่าง ที่ไม่คิดว่าจะเกิด ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกับตัวเอง
เราเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยเห็น กินอะไรหลายๆ อย่าง ที่ไม่เคยได้กิน
นอนต่างที่ คุยต่างภาษา แต่มันก็ทำให้เรามีความสุขมากๆ
ทริปนี้จะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไปอีกเช่นเคย
หลังจากเครื่องทยานสู่แผ่นดินไทย ไม่กี่อึดใจผมก็เดินทางต่อขึ้นไปภาคเหนือ
และก็ได้ภาพนี้ กลับมาให้เพื่อนๆ ได้ไปตามรอยอีกเช่นเคย

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ….

Backpack ดอยหลวงเชียงดาว – ถ้ำเชียงดาว ด้วยเงิน 2,000 บาท : http://pantip.com/topic/33075940

ปล.สรุปค่าใช้จ่ายเด่วจะมาแจงให้ฟังนะครับ : )

 

2 Comments

Leave a Reply

*