โหดสัส “รัสเซีย” ล่าแสงเหนือ 6 วัน 5 คืน ด้วยเงิน 18,000 บาท (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)

แสงเหนือ คือสิ่งที่อยู่ใน Bucket List ของใครหลายๆ คน ซึ่งไมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันที่ปักหมุดเตรียมล่าแสงเหนือไว้ในลิสต์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสได้ล่าแสงเหนือเร็วขนาดนี้…

คนไทยส่วนใหญ่จะไปล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์และนอร์เวย์ ใช่ เพราะนั่นเป็นประเทศที่ล่าแสงเหนือที่ฮิตที่สุดบวกกับวิวและบรรยากาศที่หลายคนที่ไปถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงามและลงตัว จึงทำให้ใครหลายคนอยากจะไปที่นั่น แต่ในรีวิวตัวนี้ ลืมสองที่ยอดฮิตของเมืองไทยไปก่อนได้เลย เพราะไมจะพาเพื่อนๆ ไปสถานที่ที่แปลกใหม่สำหรับการล่าแสงเหนือของคนไทยอย่าง “ m u r m a n s k “ ประเทศรัสเซีย เพราะเป็นประเทศเดียวที่สามารถล่าแสงเหนือโดยไม่ต้องขอวีซ่าจร้าาาา…

Murmansk คือที่ไหน?

ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก Murmansk กันก่อน ว่าที่นี่คือที่ไหน….. มูร์มันสค์ (รัสเซีย: Му́рманск, [ˈmurmənsk]) เป็นเมืองท่าของประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งสองแห่งและริมฝั่งของอ่าวเว้าแหว่งหรืออ่าวฟยอร์ด Kola Bay ปากทางเข้าของปากแม่น้ำสู่ทะเลแบเร็นตส์ อยู่ห่างจากชายแดนนอร์เวย์ไป 67 ไมล์ (108 กม.) และห่างจากชายแดนฟินแลนด์ 113 กิโลเมตร (182 กม.) เมืองนี้ตั้งชื่อตามชายฝั่ง Murman ชื่อเก่าแก่ภาษานอร์เวย์ในภาษารัสเซีย

ประโยชน์จากกระแสน้ำอุ่น ทำให้มูร์มันสค์มีลักษณะคล้ายกับเมืองขนาดใหญ่ในทางตะวันตกของรัสเซีย โดยมีทางหลวงและทางรถไฟเข้าสู่ส่วนอื่น ๆ ของยุโรป และระบบรถไฟฟ้าล้อยางที่อยู่เหนือสุดในโลก ละติจูดทางตอนเหนือ 68 ° 58’N ทำให้มูร์มันสค์อยู่ทางเหนือของวงกลมอาร์กติก 2 ° โดยอยู่ที่ประมาณ 66 ° 33’N การเชื่อมต่อของเมืองแตกต่างกับการแยกของท่าเรืออาร์กติก Dikson และ ดินแดนครัสโนยาสค์ ในไซบีเรียบนชายฝั่งของทะเลคารา และ Iqaluit, Nunavut ในแคนาดาบน Baffin Island ในอ่าว Frobisher bay นอกทะเลลาบราดอร์ สภาพภูมิอากาศในมูร์มันสค์มีช่วงฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยหิมะและมีการกลั่นกรองโดยน่านน้ำที่ปราศจากน้ำแข็งโดยรอบ

ข้อมูลข้างต้นอิงจากพี่วีนะครับ (Wikipedia) นั่นแหละครับ ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการทั้งปวงด้านบน จึงทำให้ Murmansk เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สามารถล่าแสงเหนือได้ดีพอๆ กับสองที่ยอดฮิต และเผลอๆ อาจจะถูกกว่าสองที่ยอดฮิตด้วย เพราะค่าครองชีพที่นั่นพอๆ กับบ้านเราเลย เปรียบเทียบง่ายๆ 2 รูเบิล จะมีค่าประมาณ 1 บาทเท่านั้น คิดเงินง่ายมากครับ จับหารสอง จบ

ควรเตรียมอะไรก่อนไปบ้าง?

เอาล่ะ… เกริ่นมาพอสมควร เราไปดูสิ่งที่เพื่อนๆ ควรจะต้องรู้ก่อนมาที่นี่เพื่อมาล่าแสงเหนือกันดีกว่า ว่าจะต้องเตรียมตัว เตรียมอะไรกันมาบ้าง

  • เครื่องนุ่งห่มสำรหับอากาศร้อนที่สุดที่ 0 องศาเซลเซียส ส่วนหนาวก็หนาวถึง -40 องศาฯ เลย สามารถเช็คอุณหภูมิคร่าวๆ ได้ที่ https://goo.gl/Ss7gxa

ในส่วนของผมก็เตรียมตัวมาพอสมควรเลยล่ะ ทั้งทริปเอาไป 4 ชุด คือชุดเดินทาง ชุดเที่ยว ชุดกันหนาว และชุดนอน คือชุดเที่ยว ชุดนอน และชุดเดินทางนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ชุดกันหนาว กันลม กันหิมะ และกันน้ำในตัวเดียวกันนี่สิ ต้องหามาด้วยนะทริปนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่ Murmansk มีทั้งลม ฝน หิมะ ในอุณหภูมิติดลบต่ำๆ ก็ 10 องศา ชุดกันหนาวจึงสำคัญมาก

ไม่ได้ขายของนะ แต่อยากแนะนำตัวที่ใส่อยู่ เป็นของ Columbia คือดีมาก กันทุกอย่างที่พูดมาข้างบน ที่สำคัญ น้ำหนักเบาเกินสรรพคุณ คือปกติชุดกันน้ำ กันน้ำ กันหิมะ กันฝน มันจะหนักใช่ไหม แต่ตัวนี้แบบ เบาพอเหมาะ เหมือนใส่เสื้อคลุมหรือแจ๊คเก็ตธรรมดา แต่แม่งเอาอยู่ ตัวนี้คือรุ่น Men’s Outdry Rogue™ 3-in-1 Interchange Jacket  ราคา 15,570 บาท แจ๊คเกตที่ให้ทั้งความอุ่นและปกป้องเราจากน้ำ ฝน และลมในตัวเดียว มี Outer shell ชั้นนอกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีกันน้ำที่ดีที่สุด Outdry Extreme ผลิตด้วยผ้าที่มีเทคโนโลยีกันน้ำและระบายอากาศได้เป็นอย่างดี และมี Hybrid|Thermarator™ InsulationJacket ตัวชั้นในเป็น Insulated ผสมกับ Fleece Titanium ที่ผมใส่อยู่ด้านในคือเอาอยู่เลยล่ะ


  • เดือนที่ควรมาจะเป็นช่วงหน้าหนาว จะอยู่ในช่วง ตุลาคม – มีนาคม ของทุกปี
  • ควรแลกเงิน USD มาจากเมืองไทย แล้วเอา USD มาแลกเป็นเงิน RUB ที่มอสโคว
  • อ่า… ไม่มีบินตรงนะ ตรง Transfer ที่ Moscow ซึ่งหากมีของที่โหลดต้องสำแดง กระเป๋าอาจจะถูกกักไว้ที่มอสโควได้ ฉะนั้น แนะนำให้อย่าเอาอะไรที่เสี่ยงต่อการตรวจค้นกระเป๋ามาเลย จะทำให้ทริปไม่สนุกเปล่าๆ เพราะมัวแต่กังกลเรื่องกระเป๋า

  • ซึ่งเพื่อนๆ สามารถหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกได้จาก Traveloka นะครับ ตัวเว็บจะทำการเปรียบเทียบรูทบินจากหลายสายการบินมาเทียบให้ได้ราคาในหลายๆ แบบ เช่น ถูกที่สุด เร็วที่สุด ดีที่สุด เป็นต้น แต่มากกว่านั้นก็ยังมีตัวกรองให้เพื่อนๆ ได้เลือกความต้องการอื่นๆ อีกด้วย เช่นบินตรง Transit 1 ครั้ง Transit 2 ครั้ง บินเช้า บินเย็น เป็นต้น

จองตั๋วเครื่องบินไปรัสเซีย กับTraveloka

  • รูปลั๊กเสียบจะเป็นหัวกลมสองรู ยังไงดูตามรูปนี้เลย…

  • สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากตัวเมือง 100 – 200 กิโลเมตร และรถสาธารณะในช่วงที่เราไปดูแสงเหนือไม่ค่อยสะดวกและไม่สามารถกะเวลาได้ ฉะนั้นการไปล่าแสงเหนือ จึงจำเป็นจะต้องเช่ารถขับเอง จ้างไกด์ หรือติดต่อทัวร์แบบจอยกรุ๊ปไปเลย
  • ซึ่งถ้าให้แนะนำสำหรับคนที่ขับรถไม่แข็ง หรือไม่ค่อยได้เที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ แนะนำให้จ้างไกด์ หรือปรึกษาบริษัททัวร์ ซึ่งบริษัทที่เราแนะนำคือ ArcticFreedom คือดูแลดีมาก สามารถเข้าไปปรึกษาหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.arctic-freedom.com
  • แต่สำหรับคนที่จะเช่ารถขับ แนะนำให้เช่ารถมาก่อนเลย แต่ให้ระวังอันตรายด้วย เพราะถนนค่อนข้างโคตรอันตราย และขับพวงมาลัยซ้ายนะจ้ะ ไม่ใช่ขวาเหมือนบ้านเรา ถ้าไม่เชื่อ ดูรูปด้านล่างเลย

  • โหลดแอพพลิเคชั่นเช็คความเข้มของแสงเหนือไว้ เพื่อไม่ให้ว่าว (ว่าวคืออาการออกไปหนาวติดลบแล้วเสือกไม่เห็นอะไรเลย) คือแบบ อย่าเสร่อออกไปแบบไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีแสงเหนือให้มึงดูไหม อะไรประมาณนั้นอ่ะ ๕๕๕ สามาโหลดได้ที่ My Aurora Forecast จริงๆ มีหลายแอพฯ เลย ลองหาดูเพิ่มเติมได้ใน google

  • แสงเหนือ เห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถถ่ายด้วยมือถือที่เปลี่ยนเป็นโหมดโปร หรือโหมดกลางคืนได้ แต่ถ้าจะให้ดี DSLR เวิร์คสุด ซึ่งทริปนี้ผมใช้ Canon 70D และ Canon M50 ส่วนเลนส์ก็จะมี 18-135 mm. และ 10-22 mm.
  • ขาตั้งกล้องโคตรจำเป็นสำหรับทริปนี้ เพราะการจะได้ภาพสวยๆ กับแสงเหนือนั้น กล้อจะต้องนิ่ง และปรับค่าให้เหมาะสมกับแสงของคืนนั้นๆ
  • ไฟฉายก็จำเป็น ซึ่งหากใครถ่ายรูปไม่เป็นจริงๆ ก็ไม่ต้องห่วง เพราะหากไปกับ ArcticFreedom เค้ามีบริการถ่ายให้ฟรี แถมยังมีดนตรีให้เต้นสนุกๆ และชาร้อนๆ แก้หนาวในช่วงที่รอแสงเหนืออีกด้วย

สำหรับผม 12 ข้อนี้คงเพียงพอ ส่วนการจองตั๋วเครื่องบินนั้น หากจะหาตั๋วถูกๆ ผมว่าอยู่ในเรท 20,000 บวกลบ 3,000 คือโอเคแล้วอ่ะ ถ้าจะหาถูกกว่านี้คือพระเจ้าจอร์จเกินไป เรื่องซื้อตั๋วไปจัดการเอาเอง แต่ก็แนะนำ Traveloka นะ เพราะเปรียบเทียบสายการบินให้เห็นชัดเจนดี ไม่มีราคาแอบแฝง ที่สำคัญตัวเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นทำออกมาให้ใช้งานง่ายมากๆ

ที่นี่เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่ควรมาตายเอาอาบหน้า…. คือกูว่ากูหลักการเยอะเกินไปละ เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวพาเที่ยวเลย แล้วแทรกหลักการไว้ในแต่ละเรื่องๆ ไปเลยแบบนี้นี่กว่าเนอะ เดี๋ยวจะไม่ได้เห็นวิวเห็นเมืองเค้าพอดี ถ้าพร้อมแล้ว Chapter ที่หนึ่ง เริ่มมม!!!

DAY 1 – 13 HOURS

เห็นชื่อ chapter ก็พอจะเดาได้แล้วมั้ง ว่าหมายถึงอะไร ดีใจด้วยสำหรับคนที่เดาถูก และสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร เดี๋ยวเราจะเฉลยให้ฟังในอีกไม่กี่ย่อหน้านี้เลย…

การเดินทางไป Murmansk เราจำเป็นจะต้องไปต่อเครื่องที่ Moscow ครับ ซึ่งเราต้องเช็คข้อมูลการจองตั๋วให้ดีนะ บางคนไม่รู้ว่ากรุงเทพมีสองสนามบิน คือมี ดอนเมือง กับสุวรรณภูมิ ใครที่ไม่ค่อยได้บินบ่อยๆ ก็เช็คให้ดีๆ ว่าสรุปแล้วเราบินที่ไหน ไม่ใช่ว่าบินไปกรุงเทพคือจะต้องไปดอนเมืองอย่างเดียว ให้จำง่ายๆ แบบนี้เลยว่า ในประเทศส่วนใหญ่จะเป็นดอนเมือง และต่างประเทศรูทไกลๆ จะเป็นสุวรรณภูมิ ซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้เราบินออกจากสุวรรณภูมิ อ่า… อีกเรื่อง ใครที่เอารถมาเองเนี่ย ค่าจอดรถที่สนามิบนสุวรรณภูมิคิดค้างคืน คืนละ 250 บาทนะครับ เพราะฉะนั้น ถ้าไปหลายวัน คิดดีๆ ว่าควรเอารถไปจอด หรือว่าเอารถไปฝากไว้บ้านเพื่อนแล้วนั่ง Taxi ไป เพราสมมติไปสัก 8 วัน ค่าจอดรถก็ปาไป 2,000 บาทแล้วนะ ถ้าเป็นผม เก็บตังค์ไว้ไปทำอย่างอื่นที่นู่นดีกว่า ๕๕๕๕

ซึ่งช่วงเวลาที่เราจะไปดูแสงเหนือนั้นเป็นช่วง Winter Season ของรัสเซียครับ สังเกตุได้จากวิวนอกเครื่องบิน เพียงแค่มอสโควเท่านั้น บ้านเรือนนอกหน้าต่างเครื่องบินก็ขาวโพรนไปหมดแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าที่ Murmansk อากาศจะเป็นยังไง

จากสุวรรณภูมิไปมอสโควใช้เวลาราวๆ 9 ชั่วโมง และส่วนใหญ่ถ้าเราจองแบบ Transit ในรูทเดียวกัน เค้าจะให้เราขึ้นที่สนามบินเดิมอยู่แล้ว ไม่เปลี่ยนสนามบิน อย่างมากก็เปลี่ยน Terminal ซึ่งสำหรับคนที่บินน้อยๆ ผมเป็นห่วงมากๆ อยากให้สังเกตุเรื่อง Terminal ดีๆ นะครับ เพราะถ้าเราไปผิดที่ จะเสียเวลาจนทำให้เราสามารถตกเครื่องได้

อย่างในกรณีของผมนั้น บินกับ AeroForce (อาหารบนเครื่อง ดีใช่ได้เลยล่ะ) ซึ่งจะลงที่ Terminal คนละที่กับขาลง ซึ่งขาออกภายในประเทศ จะต้องบินต่อที่ Terminal B นี่แหละ เลยอยากเน้นให้เพื่อนๆ ที่บินน้อยๆ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ตั้งสติ ดูป้าย Transit ดีๆ จากนั้นดู Terminal ที่เราจะต้องไปโดยเช็คจากหางตั๋ว หรือ Flight บินใน Schedule ก็ได้ สุดท้ายถ้ายังไม่เข้าใจ หากไม่เจอ ได้โปรดถามพนักงานเลย นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด

ในรูทนี้เรา Transit กัน 2 ชั่วโมงครับ กว่าจะลง ปั้ม ตม. และเดินทางไปอีก Terminal ก็ใกล้จะถึงเวลา Boarding แล้ว ทำให้รูทนี้ของเรา ไม่ได้แลกเงิน RUB ไว้ตั้งแต่ที่สนามบินนั่นเอง เดี๋ยวไว้ไปแลกในเมืง และเอาเข้าจริงๆ เราควรซื้อ Sim โทรศัพท์ที่นี่ให้เสร็จพร้อมๆ กับการแลกเงินด้วย ถ้ามีเวลา เอาล่ะ… เดี๋ยวบินต่อรอบดึกจาก Moscow – Murmansk อีกสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว และนั่นเอง ทำไม DAY 1 ผมถึงตั้งชื่อว่า 13 HOURS เพราะแม่งเฉพาะเดินทางมา เราต้องเสียเวลาเดินทางไปถึง 13 ชั่วโมงนั่นเอง…

เป็นอีกครั้งที่ผมตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวแบบจริงๆ ผมไม่เคย Landed แบบทั้งๆ ที่หิมะยังตกอยู่ แล้วพื้นก็จะปกคลุมด้วยสีขาวกลายๆ การ Landed ครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่าตื่นเต้นสุดๆ และหลังจากที่ลงจอดได้อย่างปลอดภัย ทุกคนบนเครื่องปรบมือด้วยความยินดี พร้อมกับส่งเสียงดีใจและชื่นชมนักบิน

จริงๆ ถ้าจะเอาให้เข้าใจง่ายๆ คือ เชี่ยยยย เย่ๆๆๆ กูไม่ตายแล้ว อารมณ์ประมาณนั้นแหละ พอเอาขาออกไปนอกตัวเครื่องบิน อื้อหืมมมม ขอบอกเลยว่า เด็ดดวงมากๆ เกล็ดหิมะปะทะหน้า แล้วต้องรีบเดินลงไปขึ้นรถ เหมือนไปสนามบินเกาะกูดอย่างไงอย่างงั้น

คืนสนามบินเล็กมาก เล็กแบบมากๆ เหมือนมีแค่แบบสองสามเที่ยวต่อวัน สายพานมีสายเดียว สนามบินเล็กจัด ไม่มีซิมขาย ไม่มีที่แลกเงิน ไม่มีคนมาคอยถามว่า ไปไหนๆ แท็กซี่ไหม เยอะๆ เหมือนบ้านเรานะ เพราะฉะนั้น ต้องเตรียมตัวให้ดี หรือจริงๆ มันอาจจะมีแหละ แต่คงต้องไปอีกตึกหนึ่งรึป่าว อันนี้ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่า เตรียมตัวมาให้ดีๆ พอมองเห็นสภาพไหม คืออากาศหนาวติดลบ ใครมันจะรอผู้โดยสารเพียงแค่เที่ยวบินละ สองสามเที่ยมต่อวันวะ ไม่มีหรอก เพราะฉะนั้น การติดต่อไกด์หรือทัวร์มาก่อนสำหรับประเทศนี้ จึงเป็นอะไรที่แนะนำอย่างยิ่ง ซึ่งทริปนี้ เราติดต่อและได้คำปรึกษาจาก ArcticFreedom ตลอดทั้งทริป

พอไปถึงสนามบิน ArcticFreedom ก็ส่งคนมารับเราเลย และไม่น่าเชื่อว่า คนคนนี้ จะเป็นเพื่อนซี้เราไปโดยปริยาย ไปสอง แต่เหมือนไปเที่ยวกันสามคน อะไรประมาณนั้น Sergei มารอรับเราที่สนามบิน พร้อมชูป้าย PALAPILII ให้รู้ว่า กูมารอรับมึงนะ ๕๕๕๕

เอาล่ะ พอมาถึงตรงนี้ ต้องขอแจ้งรายละเอียดทริปคร่าว ก่อนเลยว่า ทริปนี้เราจะใช้เวลากี่วัน และมาทำอะไรกันบ้าง ซึ่งก็จะใส่ราคาและรายละเอียดให้เพื่อนๆ ได้พอเห็นภาพแบบสังเขปและเข้าใจง่ายขึ้น ทริปนี้เราใช้ทัวร์ 4 Days ของ ArcticFreedom ครับ ซึ่งใน 4 วันนี้ จะไม่ Fix ว่าวันที่หนึ่งคุณต้องไปที่ไหน วันที่สองคุณต้องไปที่ไหน แต่เราจะมาช่วยกัน Design Trip พร้อมกัน โดยอิง Reference จากทาง ArcticFreedom ว่ามีสถานที่หรือกิจกรรมให้เราไปทำอะไรที่ไหนบ้าง ซึ่งการออกแบบทริปของเราครั้งนี้จะเป็นประมาณนี้ครับ

DAY 1 – ลุยตอนใต้ของเมือง

  • Khibiny Mountain
  • Snow Village
  • Snowboarding (จ่ายเอง)
  • Ice Fishing Expericene

DAY 2 – ลุยตอนเหนือของเมือง

  • Teriberka Village
  • Teriberka Lake
  • Snowmobile to the Arctic beach and Crystal waterfalls (จ่ายเอง)
  • Forest / Tundra / Rocky Mountain Road Trip

DAY 3 – ลุยหมู่บ้านซามี

  • Husky Farm
  • Reindeers Feeding
  • Reindeers Sledding
  • Banana Snowmobile

DAY 4 – ทัวร์เมือง

  • Light House
  • War Monument
  • Fire Monument
  • Highest McDonald In The World
  • Downtown Sightseeing

ในกิจกรรมข้างบนคือสิ่งที่ Offer ให้เราทำกิจกรรมครับ ซึ่งทัวร์ 4 วันของ Arctic Freedom จะตกคนละ 13,500 บาทโดยประมาณ และรวมอาหารเที่ยงทุกวัน แต่สิ่งที่ไม่รวมจะเป็นพวกกิจกรรมที่ต้องใช้อุปกรณ์นอกเหนือจากที่ไกด์สามารถทำให้ได้ อย่างเช่น Snowboarding, Snowmobile และอาหารเช้าเย็นทุกมื้อ

อีกสิ่งหนึ่งทีควรทราบคือ การล่าแสงเหนือจะคิดแยกออกจากราคานี้ เพราะเค้าให้เหตุผลว่า เราไม่สามารถการันตีได้ว่า คุณจะเห็นแสงเหนือวันไหน ฉะนั้นอยากไปวันไหน เพียงแค่จ่ายตังค์เพิ่มคนละ 4,800 RUB ต่อครั้ง เท่านั้นเอง ซึ่งสำหรับผม มันก็ค่อนข้างแพงอยู่นะ และนั่นคือกิจกรรมทั้งหมดที่เราเลือกใช้ของ ArcticFreedom เอาเข้าจริงๆ แล้วก็คือ Landmark เด็ดๆ ทุกที่ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ข้างบนนี่ยังไม่รวมกิจกรรมที่เราไปทำกันเองด้วยนะ เด่วอ่านไปเรื่อยๆ แล้วเพื่อนๆ จะอยากไปเที่ยว Murmansk มากขึ้นแน่นอน

คืนนี้เรานอนกันที่ Smart Business Hotel ครับ เป็นโรงแรมไม่หรูหรา มีความเหมาะสมตามชื่อ คือมาเพื่อมาทำงาน ไม่ได้มาพักผ่อน ๕๕๕๕ เพราะฉะนั้นห้องหับห้องนอนก็จะประมาณนี้แหละ ไม่น่าเกลียด ที่สำคัญ ราคาถูกราวๆ 1,000 บาทต่อคืน รวมอาหารเช้า และอยู่ในโลเคชั่นที่ไม่พลุกพล่าน แต่ก็ไม่ห่างจากดาวน์ทาวน์ที่ 10 กิโลเมตรเท่านั้น จองผ่าน Booking เหมือนเดิม ที่พักใหญ่ สะอาด สบาย โอเคเลย ไม่โอเคแค่อาหารเช้าแค่นั้น เพราะกินไม่เป็น ๕๕๕

สำหรับที่พัก สามารถรับส่วนลด 1,000 บาทไปเลย เพียงจองผ่าน https://www.booking.com/s/palapi11 แบบผูกบัญชีบัตรเครดิท แค่นี้เงินก็จะจ่ายคืนกลับเข้าไปในบัตรแบบสบายกระเป๋าหลังจากเข้าพักเรียบร้อยแล้ว แต่ใช้สิทธิ์ได้แค่คนละ 1 ครั้งเท่านั้นนะ และยอดจองต้องมากกว่า 2,000 บาท ขึ้นไปด้วยจร้าาาา คืนนี้ขอไปพักก่อน พรุ่งนี้ลุยยยย!!!

DAY 2 – SOUTHERN MURMANSK

สำหรับวันนี้ถือเป็นวันแรกของการเริ่มทริปใน Murmansk ครับ และแน่นอนว่าหลังจบทริปวันนี้ ตอนกลางคืนเราจะล่าแสงเหนือกันแน่นอน คือจะล่ามันทุกคืนเลย Sergei นัดเราราวๆ 9 โมงเช้า เพื่อมารับเราที่โรงแรมครับ เออ… ลืมบอกไปเลยว่า ช่วงล่าแสงเหนือเนี่ย ตอนกลางวันจะมีเวลาน้อยมากๆ อย่างช่วงที่เราไป มีเวลากลางวันแค่ 4-6 ชั่วโมงเท่านั้น ช่วงที่เราไปคือพระอาทิตย์ขึ้น 8:30 น. ตก 14:30 น.

ห้างร้านส่วนใหญ่จะเปิดบริการเวลา 10:00 น. ครับ ฉะนั้นใครตื่นมาจะทำอะไร ก็ดูเวลากันด้วย ต้องวางแผนดีๆ นะ ไม่งั้นจะเสียเวลา Khibiny Mountain ห่างจากตัว Murmansk ไปราวๆ 200 กิโลเมตรครับ ระหว่างทางที่เราไปจะเห็นหิมะปกคลุมตลอดทั้งทาง

จนไปถึงช่วงหนึ่งที่ Sergei จอดให้เราชมกับทะเลสาบขนาดใหญ่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะ และแข็งพอที่เราสามารถที่จะยืนบนทะเลสาบได้ ระหว่างที่ถ่ายรูปกันสนุกๆ ก็มีสองตายายลากอุปกรณ์บางอย่างเข้าไปในทะเลสาบ เรามารู้อีกทีว่าแกจะตกปลา เราเลยขอตามแกไปด้วย

แกลากไปท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนมาตกแล้วหนึ่งกลุ่มกลางทะเลสาบนั่น เราเขาไปดูวิธีการและพูดคุยกับแกตั้งแต่แก่เริ่มเอาสว่านมือมาเจาะน้ำแข็ง ขุมหลุมราวๆ 3-4 บ่อ แล้วเอาเต้นท์กางกันลมกันหิมะ คือมันหนาวมากนะ เอามือออกมาถ่ายรูปมือก็แข็ง

จริงๆ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ผมอยากทำมากๆ หมายถึงอยากใช้เวลาอยู่นานๆ แบบตกมาเห็นปลาแล้วเผาไฟกินกันตรงนั้นเหมือนแถวบ้านอะไรอย่างงั้นเลย แต่ก็ถูกจำกัดด้วยเวลาและเกรงใจ Sergei ด้วย เลยขอตัวกลับก่อน แต่ก็ต้องขอเตือนเพื่อนๆ ด้วยเลยตรงนี้ว่า เตรียมชุดกันหนาวดีๆ รองเท้านี่ยิ่งต้องดีใหญ่ ต้องกันหนาว กันน้ำ กันทุกอย่างจริงๆ ดูสิ… เหมือนจะเป็นหิมะปุยๆ แต่พอเหยีบไปทะเลสาบก็ยังไม่แข็งหมดร้อยเปอร์เซ็นเสียทีเดียว เปียกนะครับถ้ารองเท้าไม่กันน้ำเนี่ย ๕๕๕๕

Ice Fishing นี่ไม่ได้รวมใน Program นะ แต่ถ้าเราอยากดู ก็บอกไกด์ได้ ไม่ยาก ไกด์ที่นี่แคร์ความรู้สึกนักท่องเที่ยวมาก Sergei มักเอาคอมเม้นท์ไม่ดีๆ เสียหายของคนไทยมาให้เราอ่านบ่อยๆ แต่เค้าไม่ได้ด่า ArcticFreedom นะ เค้าด่าแบบกราดดด อ่ะ ด่าแบบทั่วถึง แต่มันก็ทำให้คนที่ทำธุรกิจที่นี่เดือดร้อนไปด้วย นี่เลยอยากคอนเฟิร์มสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจเลือกไกด์เลือกทัวร์สักที่หนึ่งว่า ArcticFreedom เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ดีมากๆ คอนเฟิร์ม

เอาล่ะ… เดินทางต่อ ชมวิวแบบไม่มีหลับกันเลย เพราะระหว่างทางมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางที่ที่คิดว่าภูเขา แต่ก็ไม่ใช่ ด้วยความที่ภูมิประเทศในแถบนี้เป็นหินเสียส่วนใหญ่ หมายถึงข้างใต้นะ เค้าเลยมักจะขุดหาแร่ หาธาตุ หาทรัพยากรที่มีค่าขึ้นมา แล้วเอามาทับถมกันจนกองโตเหมือนภูเขานั่นเอง เราเดินทางไปถึงเมืองอุตสาหกรรมเมืองหนึ่ง เราไปแลกเงิน และซื้อซิมกันที่นั่น จะบอกว่าซิมมือถือที่นี่ราคาถูกมากกกก ประมาณ 250 บาทเองมั้ง เป็น 4G ที่ใช้ได้ถึง 6 GB ในราคาหลักร้อยบาท บ้าไปแล้ว ส่วนใช้ได้นานเท่าไหร่ นี่ไม่มั่นใจนะ เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ๕๕๕ บอกแค่ว่า อยู่ 6 วัน เค้าก็จัดมาให้เลย

เสร็จจากตรงนั้น Sergei ก็พาเราตรงดิ่งไปที่ Ice Village เลย แต่บริเวณหน้าทางเข้า Ice Village จะมีโรงแรมอยู่ ซึ่งเราจะเข้าไปทานข้าวกลางวันกันที่นี่ ซึ่งข้าวกลางวันก็อย่างที่บอกว่ารวมกับราคาทัวร์แล้ว

อาหารเป็นไลน์บุเฟเฟ่ต์ครับ ตักเท่าที่อยากเลย รสชาติที่กว่าที่พักมาก คือกินเพราะทั้งหิว และกินข้าวเช้าไม่ลง อาหารก้ไม่ได้พิเศษอะไรมาก เป็นอาหารธรรมดาครับ ซึ่งเค้าจะให้บัตรเรามาคนละใบ จากนั้นก็ตื้ดเข้ามาใยนโซนอาหาร ทานเสร็จก็เสียบบัตรเข้าคืน แค่นั้นครับ เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะเข้าไปชมความสวยงามของ Snow Village กัน

ต้องขอโทษด้วยที่ภาพดูมืดๆ แต่นี่แหละ คือสภาพอากาศของที่นี่ หาแสงแดดยากมาก และคือจะมีลมและหิมะตกตลอด บางช่วงแรงถึงขนาดเรียกว่า Blizzard เลยล่ะ และจะมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ที่เราเข้าใจคำว่า Blizzard อย่างถ่องแท้ เดี๋ยวจะเล่าอีกที

บริเวณด้านนอกก็จะเป็นรูปหิมะแกะสลักจากศิลปินต่างๆ มากมายวางเรียบรายอยู่ด้านหน้าและด้านหลังครับ ซึ่งช่วงที่ผมไปหนาวมากกก ลมแรงมากกก อยู่ข้างนอกนานไม่ได้จริงๆ โปรแกรมนี้เราไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มนะครับ ทาง ArcticFreedom เค้าจะเป็นคนจัดการเรื่องตํ่วค่าเข้าให้เราเอง ปกติจะใช้เวลาเดินชมประมาณ 30 นาที แต่บวกเลยว่าสำหรับพวกเรา 10 นาทีเห็นจะได้ ยังไงลองไปดูบรรยากาศด้านในกัน

คือตอนแรกเข้าใจว่า Snow Village จะอารมณ์ประมาณหมู่บ้าน Shirakawa แต่ไม่เลยจ่ะ มันคือการเอาหมู่บ้านเอสกิโมมาต่อเรียงกัน แล้วแกะสลักด้านใน คือแกะสลักผนังตลาดทางเดิน แล้วก็จะมีชิ้นงานแกะสลัก และอื่นๆ ภายในให้เราได้ชมกัน ถือเป็นอะไรที่ผิดคาดมากๆ ส่วนเรื่องสวยเนี่ย ต้องชื่นชมศิลปินทุกคนจริงๆ

พอเดินออกมา Sergei งงเลยอ่ะ ประมาณว่าพวกมึงไปวิ่งเล่นกันหรอ หรือวิ่งแข่งกัน ทำไมออกมาเร็ว ๕๕๕๕ เอาล่ะ ทีนี้ก่อนกลับ เราก็จะไปเล่นกิจกรรม Extra ที่ต้องจ่ายเงินเอง นั่นก็คือ Snowboarding ขับรถออกจาก Snow Village ไม่ไกลเลย แต่อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่าลมแรง และหิมะตก Cable Car เลยไม่เปิดให้เล่นเพราะกลัวอันตราย ทีนี้เอาไงอ่ะ ใจมันไปแล้ว อ่ะยอมมมมมม

ยอมนี่คือ ยอมเล่นครับ เล่นในโซนฝึกหัดก็ยอม ๕๕๕๕ ใจมันมาแล้วอ่ะ ให้ทำไง แต่ที่ตกใจที่สุดคืออะไรรู้ไหม ราคาครับ ราคาถูกมาก ให้ตายเถอะ ค่าเช่าชุด ค่าสายพาน ค่าเช่าบอร์ดคือถูกมาก คือชั่วโมงละหลักร้อยบาท แล้วมี package เป็น Day ด้วยนะ ซึ่งถูกมากๆ อย่าง เล่น 2 ชั่วโมง Set หนึ่งก็แค่ 725 RB หรือราวๆ 350 บาทไทยอ่ะครับ ให้ตายเถอะ Set นี่คือรวม Board กับรองเท้าบูธนะ คือถูกมากกกกก > <

จ่ายตังค์เสร็จ ไม่รอช้านะ ออกสนามจริงกันเลย ตัวผมเองเนี่ย เป็นในระดับหนึ่ง แต่แฟนผมก็ต้องไป Re-Skill กันนิดหน่อย แต่ชีก็เก่งขึ้นเยอะนะ ไม่ล้มบ่อยๆ แล้ว จำได้ว่าตอนพาไปเล่นครั้งแรกที่ Canada ล้มจนร้องไห้อ่ะเอ้า ๕๕๕๕๕

เล่นไปสักพักไม่ไหวแล้วครับ เล่นเหมือนไม่ได้เล่น เลยยอมแบกกระดานขึ้นเขาไปเองเลย คือเข้าใจไหม ว่าปกติเค้าจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป แต่นี่คือแบกบอร์ดเดินลุยหิมะขึ้นไปบนเขาเลย เอาสักหนึ่งลูกก็คงจะดี

ให้ตายเถอะ ลมแรงโคตรๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมเค้าถึงไม่เปิดกระเช้า คือขึ้นไปแค่เดินแรกก็ไม่ไหวแล้ว ลมแรงแบบพัดทุกอย่างกระจุย บอดร์ดที่ว่าหนักๆ ถือไปยังมีเอียง แต่ก็ทำอะไรกับความยากเราไม่ได้นะ สรุป เล่นไป 3 รอบ หมายถึงเดินขึ้นไปสองรอบ ๕๕๕๕

คือก็เล่นกันจนรีสอร์ทเปิดไฟอ่ะ ก็กลัวจะกลับดึกกัน เลยพอก่อน หิมะตกหนักแค่ไหนไม่รู้ แต่ขากลับ รถถอยออกไม่ได้ คือมันพัดมาจนแบบท่วมล้ออ่ะ แล้วคือพัดเข้าไปใต้ท้องรถ รถออกไม่ได้ เลยลำบากต้องเอาพรั้วมาขุนหิมะออก กว่าจะได้กลับนี่เหนื่อยเลย แต่ก็คือเป็นวันแรกในการท่องเที่ยวใน Murmansk ที่โอเคทีเดียวล่ะ แต่ๆๆๆ

หลังจากกลับไปถึงที่พัก เราทานข้าวเย็นเรียบร้อย คือที่พักเราอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าครับ เลยสะดวกพอสมควร ทาง ArcticFreedom นัดรับเราตอนสี่ทุ่ม บอกว่าเดี๋ยววันแรกวันนี้ จะพาไปล่าแสงเหนือ ด้วยความดีใจที่มันมากกว่าความเหนื่อย ก็เลยทำให้เราตาค้างหลับๆ ตื่นๆ รอจนคนมารับ คือพอเข้าใจไหมว่า มันหลับไม่สนิท แล้วคืออารมณ์ประมาณบ่ายสามก็มืดแล้ว นี่คือเรารอกันจนหลับไปตื่นหนึ่งแล้วตั้งปลุกขึั้นา ไม่ทันไรก็มีคนมาเคาะประตู ป้ะ… ไปล่าแสงเหนือกัน

คืนแรกนี่เล่นเราซะปวกเปียกเลยครับ คือต้องทำการบ้านมาีกว่านี้อ่ะ คืนแรกเราไม่เจอแสงเหนือแม้แต่วิฯ เดียว แถมของก็หายอีก คือมันหนาวมาก หนาวแบบถอดถุงมือออกมาแล้วมือแข็งเลย การไปล่าแสงเหนือ เราต้องอยู่ที่ให้ห่างตัวเมือง หรือห่างจากแสงเมืองมากที่สุดครับ แล้วคือการถ่ายรูปก็ควรเป็น DSLR นะ ตั้งค่างามๆ พอให้มันเห็นแสงสีเขียวหน่อย แต่คือ Aurora หรือแสงเหนือเนี่ย มันสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า เรามีหน้าที่ตั้งค่ารอ แล้วค่อยยิงภาพตรงบริเวณที่เค้าโชว์ตัวครับ สำหรับคืนแรก หนาว ทรมาน และไม่เจอแสงเหนือ กลับบ้านไปนอนเถอะพักพวก T T

DAY 3 – TO THE EDGE

วันนี้คือวันที่สามครับ มีแพลนไป Teriberka Village หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ดังมากๆ ถ้าดูในรูปตาม Google นี่หาความสวยไม่ได้เลย การเดินทางก็ค่อนข้างใช้เวลาหน่อย เพราะต้องเดินทางผ่านสภาพภูมิประเทศถึงสามช่วงด้วยกัน ได้แก่ ป่า ทุนดร้า และ เทือกเขา

จากแผนที่ด้านบน จะพอเห็นเส้นทางของเราแล้ว ว่าขายโพรนนน ไปตลอดเส้นทาง การเตรียมตัวจึงสำคัญ และโดยเฉพาะคนที่เช่ารถขับเอง ผมบอกเลยว่าค่อนข้างอันตราย คือบางช่วงหิมะมันแข็ง แล้วปกคลุมพื้นถนน มันลื่น และอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ลืมเรื่องโซ่หุ้มล้ออย่างที่เคยไปที่อื่นมาเลย ที่นี่ไม่มี งงมาก คือเค้าดูชิลและดูธรรมดาๆ ไม่ช่ปัญหาอะไร

ช่วงแรกที่เป็นป่า นั่นหมายถึงสองข้างทางมีที่ป่าสนเต็มไปหมด ถ้าวันไหนหิมะตก ป่าสีเขียวก็จะถูกปกคลุมด้วยสีดำ เราขับรถ รองเพลงคุยกันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาออกจากตัวเมืองราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็เห็นคนข้างทางเล่นกิจกรรมหนึ่งที่เรียกว่า Kite Surfing

อีเจ้า Kite Surfboard มันก็เหมือน Kite Surfing ตามทะเลทั่วไปเลย แต่เพียงแค่เปลี่ยนจากน้ำทะเลมาเป็นหิมะ เหมือนบานานาโบ๊ทที่เปลี่ยนจากน้ำทะเลมาเป็นหิมะเหมือนกัน คืออยากรอดูค้าเล่นมาก แต่ก็นะ กลัวจะมืดและเวลาไม่พอที่จะทำกิจกรรมอื่นๆ ในวันนี้ แต่ก็เก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ ได้อยู่

จากบรรยากาศ ดูท่าทางว่าเราจะเข้าโซนทุนดร้าแล้ว คำว่า ” ทุนดร้า ” คือพื้นที่โล่งกว้างครับ คือแบบ มองไปสุดลูกหูลูกตา ไม่มีภูเขา ไม่มีขอบเขต เหมือนมองไปแล้วไม่เห็นอะไรเลยนอกจากขอบฟ้า นี่คือคำจำกัดความของคำว่าทุนดร้า ที่ผมเคยสัมผัสและเคยเห็น ก็คงจะเป็นทุ่งกุลาร้องไห้แถบภาคอีสาน และทะเทรายตามประเทศแอฟริกาเหนือเท่านั้น แต่พอมาที่นี่สิ ไอ่บ้าเอ้ยยยย นี่มันทะทรายหิมะชัดๆ

เอาจริงคือก็ถ่ายรูปตรงจุดนี้กันเพลินและนานพอสมควรเลย เพราะมันเหมือนกับ Studio ใหญ่ๆ ที่หนึ่งเลยล่ะ คือมันสวยจนแบบไม่มีคำพูดใดๆ จะบรรยายได้ดีเท่ากับจองตั๋วมาดูด้วยตาตัวเอง นี่ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้ามีแสงแดดจะแสบตาขนาดไหน ช่วงทุนดร้านี้กินระยะทางไปราวๆ 40 กิโลเมตรเลยนะ คือกว้างใหญ่มากๆ

จากทุนดร้าก็เข้าสู่ช่วง Rocky Mountain ถามหาวิวคือไม่ได้สวยหรือยิ่งใหญ่มากถ้าเทียบกับที่แคนาดานะ มันเหมือนขับผ่านภูเขาเล้กๆ มากกว่า แต่ระหว่างทางก่อนถึง Sergei เลี้ยวขวาออกนอกเส้นทาง และพาเราไปดูทะเลสาบที่ใหญ่มากๆ นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าหน้าร้อน ที่นี่จะสวยงามขนาดไหน

คือตอนปล่อยโดรนนี่สงสารโดรนมาก โดนทั้งลม ทั้งฝน ทั้งหิมะ ภาพที่ได้ทุกภาพในวันนี้คือปล่อยโดรนลุยหิมะนะครับ แล้วคือบินไล่ตามรถมาเรื่อยๆ คือยอมใจเลย รักมากนะลูก อยู่กับพ่อไปนานๆ โดรนที่ผมใช้อยู่คือ DJI Mavic pro ตัวเก่าครับ ใช้งานได้ดีเลยล่ะ ซึ่งหลังจากที่เก็บภาพกันเสร็จ Sergei ถามเราว่า จะกินข้าวก่อน หรือไปมหาสมุทรก่อน ซึ่งแน่นอนครับ ขอไปเที่ยวก่อน แล้วกลับมากินข้าวทีเดียวเลย

ที่แรกที่เราแวะคือจุดชมวิวที่มองเห็น Teriberka Village อยู่ไกลๆ จริงๆ แล้วสมัยก่อนหมู่บ้านนี้มีประชากรเพียงน้อยนิด และมีอาชีพทำประมงเสียส่วนใหญ่ แต่เวลาผ่านมาหลายยุคหลายสมัยและสงครามโลกครั้งที่สอง เลยทำให้ที่นี่เจริญขึ้นเรื่อยๆ จากบ้านไม้ กลายเป็นปูนปะปนกันไป เราจะได้เห็นซากเรือที่มีอายุมากกว่า 150 ปี Sergei ให้เหตุผลกับเราว่า สมัยนี้ ใครเค้าเอาไม้มาทำเรือกัน เป็นคำตอบที่ตลก แต่จริง มันก็คงจะเก่าแก่อย่างที่บอกไว้นั่นแหละ

วิวตรงนี้เองทำให้เราได้เห็นธานน้ำแข็งที่ลอยเหนือน้ำ และกลุ่มนกเป็ดน้ำ หรือเป็ดไม่รู้ แหวกว่ายอยู่เต็มอ่าว ให้ตายเถอะ พวกมันอยู่กันได้ยังไงวะ นี่แหละ คือสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เราถาม Sergei ว่า เคยไปข้ามฝั่งไปขั้วโลกเหนือเลยไหม เค้าบอกว่าไม่ และไม่คิดว่าน่าจะมีคนอยู่ นอกจากพวกนักวิทยาศาสตร์ หรือพวกทำสารคดี

เราขับรถต่อกันไปเรื่อยๆ ไปทาง The Arctic Village จนถึงไปถึงโรงจอด Snowmobile มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มนั่ง Sled ไปทางมหาสมุทร บางกลุ่มเดินก็มี เรากำลังจะไปดู Crystal Waterfall และ Arctic Ocean กันครับ ซึ่งถ้าจะให้สะดวกและประหยัดเวลา จะต้องนั่ง Snowmobile ไปนี่แหละ จ่ายคนละ 800 RB สวมแว่น และลุยเลย

เชี่ย คือหนาวมาก คือหนาวที่สุด แม่งคือหนาวเหี้ยๆ ไม่บันยะบันยังอะไรทั้งนั้น ชุดกันหนาวที่ใส่มาหลายชั้นสำหรับแถบนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย ดีที่ยังมีแว่นกันหิมะกันลม ไม่งั้นเละแน่นอน ใช้เวลาไม่นาน ราวๆ 7 นาที เราก็ไปถึงที่แรก นั่นก็คือ Crystal Waterfall

หนาวขนาดนี้ ทะเลไม่เป็นน้ำแข็งก็บุญขนาดไหนแล้ว ที่มหาสมุทรไม่แข็งนี่เป็นเพราะมีกระแสน้ำอุ่นผสมอยู่นะครับ ในเชิงลึกต้องไปหาข้อมูลกันอีกที่ในด้านภูมิอากาศและภูมิประเทศ และด้วยอุณหภูมิติดลบบวกกับพื้นที่ที่อยู่ในวงละติจูดที่ 2 ของโลก จึงทำให้น้ำตกที่ว่าไหลอยู่ตลอดเวลา แข็งไปอย่างที่เห็นนี่แหละ

ส่วนตัวผมเอง พยายามถามไกด์ที่พาไปด้วยแล้ว ว่าน้ำตกชื่ออะไร แต่แม่งคุยกันไม่รู้เรื่องครับ คนที่นี่ พูดภาษาอังกฤษกันน้อยมาก หลังจากพาเราชมน้ำตกเสร็จ คือต้องขอบอกก่อนเลยว่า ไม่กล้าเข้าไปใกล้ครับ หนึ่งคือกลัวมันระเบิด แล้วเราตกลงไป สองคือกลัวลื่นแล้วโง่ตกลงไปเอง ไกด์พาเราเดินไปชมวิวมหาสมุทรอีกที่หนึ่งบริเวณใกล้ๆ หลังน้ำตก

พอหอมปากหอมคอ หิมะก็ตกหนักเหลือเกิน คราวนี้เราก็นั่ง Snowmobile แล้วเดินทางกันต่อไปที่บริเวณ Beach ของ Arctic Ocean ระหว่างทางคือยั่งกับทุนดร้าเหมือนตอนที่ขับรถผ่านมา แต่ทรมานกว่าเยอะครับ ทรมาณมากๆ หนาวจัดเลย คิดไม่ตกถ้าเกิดรถน้ำมันหมดจะทำยังไงต่อ…

ราวๆ 10 นาที ก็เดินทางมาถึง Beach ครับ คือคลื่นดี ลมแรง น่า Surf มาก แต่ถ้าใคร Surf นี่ผมกราบเลยครับ คือมันหนาวมาก หนาวแบบบ้าไปแล้ว พยายามจะใช้สายตามองด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่สะดวก เพราะหิมะตกแรงมาก มองจากภาพเหมือนไม่มีหิมะ หรือหิมะไม่แรงนะ แต่ตอนอยู่ตรงนั้นคือทรมานสุดๆ นี่คือสังเกตว่าตัวเองพูดคำว่าทรมานหลายรอบมากแล้ว คนอ่านคงเบื่อกัน เอางี้ดีกว่า เตรียมเสื้อผ้ากันไปดีๆ แล้วกัน ไปดูบรรยากาศกันครับ

คือมี moment หนึ่ง ผมโมโหบรรยากาศ อันนี้เล่าให้ฟังนะ คือมันหนาว มันแข็งจนแบบไม่สามารถถอดถุงมือได้ แล้วคือใจก็อยากจะเก็บภาพ ถ่ายรูป นู่นนี่นั่น แต่เผอิญว่ามันลำบากต่อการเคลื่อนไหว นี่ก็ถือของพลุงพลัง เพื่อนๆ เชื่อไหมว่า มันหนาวจนแบบพลาดสติกแข็งตัว ไม้ 3-way Gopro pod ของผมนี่หักเลย หักเพราะเพียงแค่กระแทกลงพืนที่เป็นหิมะนุ่มๆ อ่ะ คือแบบ โฮเอ็มจี กระดูกข้างในคงร้องโอดครวญอยู่แน่ๆ หลังจากซึมซับบรรยกาศตรงนี้ได้เพียงชั่วครู่ ถึงแม้อยากอยู่นานกว่านี้ แต่ร่างไม่ไหวจริงๆ เราก็เดินทางกลับเข้าไปที่ Teriberka Village ครับ

จะมีร้านอาหารร้านหนึ่งติดมหาสมุทร ผมจำชื่อร้านไม่ได้ แต่เป็นร้านเดียว และข้างๆ จะมีชิงช้าขนาดใหญ่ให้นั่งเล่นชมวิวมหาสมุทรอาร์กติก คือไฮมาก และเก๋ด้วย ภายในร้านพอเข้าไปแล้วต้องกราบขอบคุณมากๆ อุ่นเหลือเกิน ส่วนใหญ่คนมาที่นี่เค้าจะสั่ง King Crab กันครับ แต่ด้วยความที่ว่า เราไม่มีเวลา เลยต้องรีบทานอาหารที่ Included มากับทัวร์ก่อน ซึ่งก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ไม่สิ มื้อนี้น่าเกลียดที่สุด มีแต่ข้าว กับเนื้อ และไม่มีผักอะไรให้เราเลย แต่ก็ทานได้ครับ กินเพื่ออยู่ ภายในร้านก็น่ารักประมาณนี้

เนี่ย… ดูข้าวเค้าสิ ให้เราเลือกว่าจะกินหมูหรือปลา กูบอกหมูไป ได้มาเคียงกับข้าว เลยงงเลยว่า สรุปอะไรเป็นเครื่องเคียง อากาศแบบนี้ ต้องมีเบียร์สักแก้วครับ เค้าแนะนำ Dark Beer ซึ่ง…. อร่อยมากกกก หวาน กลมกล่อม อะไรไม่รู้ทำให้หมดไป 3 แก้ว แต่ขอด่าเรื่องการบริการที่นี่หน่อยเหอะ ใช้ไม่ได้เลย แย่มากๆ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะมีร้านเดียวที่นี่แหละมั้ง เค้าคงไม่ง้อลูกค้า เด่วแม่งเปิดแข่งเลยดีมะ ๕๕๕๕

ก่อนกลับเดี๋ยวพาไปดูชิงช้าที่ว่าหน่อย คือนี่กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าฟ้าเปิด แสงเบาๆ แฟรตอนอาทิศขึ้นหรือตก บวกกับมหาสมุทรสุดเขตเหนือของโลกแห่งนี้นั้น คงจะสวยงามกว่าบาหลีหลายเท่า เพราะที่นี่ ไม่ใช่ว่าใครก็เลียนแบบได้ ด้วยสภาพภูมิประเทศและอากาศ มันยูนิคจริงๆ เอ้า… เล่นไปเล่นมา สนุกเฉยๆ ๕๕๕๕

สังเกตเห็นภาพไหมครับ ใช่… หิมะตก และลมแรงมาก ขอเล่าย้อนไปในช่วงทานอาหารนิดหน่อย ระหว่างที่ทานกันอยู่ จู่ๆ Sergei ก็ต้องออกไปช่วยเพื่อนครับ บอกว่ารถเพื่อนติดหล่ม ไม่ใช่โคลนนะ แต่เป็นหิมะ ซึ่งก็นั่นแหละ อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรามีเวลาแดกเบียร์ไปสามแก้วนั่นเอง ๕๕๕๕

ขับกลับเราลำบากมากครับ… พายุซัดกระหน่ำ แบบหิมะลอยผ่านเป็นเส้นตรงแนวนอน ลมแรงมาก พระอาทิตย์ก็ตก Sergei บอกว่า ปรากฏการณ์แบบนี้แหละ ที่เรียกกว่า Blizzard ถ้าเพื่อนๆ ยังจำกันได้ช่วงต้นของเรื่อง ผมพูดเรื่อง Blizzard ไปแล้วรอบหนึ่ง ใช่… มันคือเมนูใน Dairy Queen ครั.. ถุย!!! ไม่ใช่โว้ยยย มันคือปรากฏการณ์พายุหิมะที่หมุนวนด้วยความเป็วเป็น Turbulence คือแบบพัดวันเป็นหย่อมๆ และแน่นอน เราเข้าใจปรากฏการณ์นี้แล้ว เพราะ…

มันสร้างเรื่องราวให้เราแล้วล่ะ มันแรงจนกระทุ่งพูนขึ้นมาสูงกว่าระดับถนนปกติถึงครึ่งล้อรถ และดึงรถเราลงข้างทาง เหมือนเวลาที่เราขับลงบ่อน้ำเล็กๆ บนถนนอ่ะ มันถึงแบบไหน หิมะก็ดึงแบบนั้น และเป็นการดึงลงไปที่ไม่สามารถออกได้ ใช่ครับ เราติดอยู่อย่างนั้นหลายสิบนาที ไม่มีทางออก พายายามกวักหิมะออกจากล้อแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร Sergei พยายามติดต่อภายนอก แต่สัญญาณก็ไม่มี และถ้าเพื่อนๆ จำทุนดร้าขามาได้ ใช่ครับ ห่าราก กูติดอยู่บริเวณทุนดร้าเลย จากภาพที่เคยมองไปสุดลูกหูลูกตา แลบอ้างว้างแล้ว ครั้งนี้ visible length แค่ 10 เมตรไม่รู้จะมองเห็นไหม

ขอ Soundtrack เป็นแบบแนวอวกาศ และภาพก็ค่อยๆ Slow motion อิเหี้ย!!! มีรถผ่านมาแล้ว เราโบก เพื่อให้เค้าช่วย คุยกันได้สักพัก สรุปคือรถเราไม่มีพลั่วหรือห่าไรเลยครับ ต้องใช้สาย Cable ผูกติดไว้กับรถอีกคันแล้วดึงรถเราให้ออกจากหล่มให้ได้

ไม่น่าเชื่อว่ามันไม่ออกครับ พยายามกี่รอบก็ไม่ออก พยายามจนรถคันอื่นสวนมาเรื่อยๆ และติดบริเวณเรา เอาล่ะ และนี่คือเรื่องราวที่ผมอยากจะแชร์ให้เพื่อนๆ รู้ อาจจะดูธรรมดา แต่ก็ยังคงซึ้งในน้ำใจ แม้ว่าอากาศจะหนาว หิมะจะตกหนักแค่ไหน หนักเสียจนมองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำ ดูจากเลนส์กล้องผมก็รู้ แม่งต้องคอยเช็ดตลอดที่ถ่ายรูปช่วงนี้ ทุกคนยอมสละเวลาและความสบายออกมาจากรถอุ่นๆ เพื่อนมาช่วยเราครับ

สุดท้ายแล้ว… เราก็รอดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแบบที่เป็นอีกความทรงจำที่ดีที่ทิ้งไว้ให้กับเมืองนี้ครับ ดูเหมือนลำบาก แต่ไม่เลย เราสนุก เราได้เห็นความร่วมมือ ได้เห็นจิตใจ ได้เห็นผู้คน ได้เห็นสติของคนเดินทางด้วยกัน ได้เห็นความช่วยเหลือ ได้เห็นกำลังใจของคนใกล้ตัวซึ่งในโมเม้นท์แบบนี้ มันไม่มีสถานการณ์ใดที่สามารถพิสูจน์ที่ไหนก็ได้แบบนี้หรอก หลายคนอาจจะดูว่ามันมืดน่ากลัว แต่เปล่าเลย เหตุการณ์แม่งเกิดตอน 4 โมงเย็นแค่นั้น ฮาๆๆ เย็นนี้เรากลับไปถึงที่พักอย่างปลอดภัย สั่งซูชิกิน และ Big Mac หนึ่งชิ้นอย่างมีความสุข ส่วนล่าสแงเหนือหรอ ดูอากาศสิ จะออกไปให้เด๋อด๋าทำไม อากาศแบบนี้ ยังไงก็ไม่เห็น ๕๕๕๕

DAY 4 – SAAMI VILLAGE

วันนี้ทั้งวันเราจะไม่ไปไหนเลยครับ จะไปแค่เพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า Saami Village แล้วจะรีบกลับมาเตรียมตัว ภาวนาให้คืนนี้เจอแสงเหนือทีเถอะ เพราะเดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ ก็ต้องบินกลับบ้านกันแล้ว

Saami Village ใช้เส้นทางเดียวกันกับ Khiniby Mountain ครับ แต่จะเลี้ยวซ้ายออกมาก่อนถึง Khibiny คือตอนนี้เริ่มงงและ ว่าสรุป Khibiny หรือ Khiniby ๕๕๕ แต่ก็นั่นแหละ เป็นหมู่บ้านที่ทำมาเป็นเชิงท่องเที่ยว เหมือนเวลาเราไปศูนย์การเรียนรู้ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตามต่างจังหวัดบ้านเราอะไรประมาณนั้น

พอไปถึง ก็เข้าไปข้างในครับ เหมือนไปฟังบรีฟว่าวันนี้เราจะไปทำอะไรกันบ้าง ซึ่งก็ขอสรุปง่ายๆ ประมาณนี้ว่า ไปเยี่ยมน้องๆ Husky ให้อาหารเรนเดียร์ในป่า จากนั่นก็นั่ง Sledding เรีนเดียร์ ควบด้วย Banana Boat หิมะ แล้วก็กลับมาทานข้าว และนี่คือกิจกรรมหลักๆ ทั้งหมด ซึ่งหลังจากบรีฟเสร็จ เค้าก็จะให้เหรียญที่ระลึกไว้กับเราเลย สวยมากๆ

ก่อนที่จะเข้าไปยังโซนของ Husky กับ Reindeer จะมีเสาไม้โบราณที่เป็นตัวแทนความรัก ความโชคดี ความศรัทธา อะไรทั้งหลายแหล่ ซึ่งผมจำได้ไม่หมด โดยเค้าเชื่อกันว่า หากนำเหรียญมาแปะติดกับไม้โบราณได้ แล้วอธิษฐาน สิ่งนั้นจะสมปราถนา ยังไงลองไปขอพรที่นี่ดูครับ

และโซนแรกที่เราจะเข้าไป จะเป็นโซน Fox and Husky ครับ น้องๆ น่ารักมาก เจ้า Husky มันชอบวิ่งไปหาคนที่มีของกินอ่ะ มันไม่วิ่งมาหาเราเลย จริงๆ Sergei บอกเราแล้ว ว่าหาขนมปังไปด้วย มันจะได้เข้ามาหา สรุปคือน้องๆ น่ารัก ถ่ายรูปคู่ด้วยได้ แต่ดื้อหน่อย เพราะอยู่ไม่นิ่ง

คือมันดื้อครับ สมควรแล้วที่จะถูกมัดเอาไว้ ไม่งั้นละก็ยุ่งแน่เลย มันเหมือนเด็กน้อยอ่ะ อยู่ไม่สุก แต่ขนมันนิ่มมาก แน่นมาก ถ้าจะให้เลี้ยงหมาสักตัว พันนี้คงเป็นพันอันดับต้นๆ ที่อยากเลี้ยงเลยล่ะ ชอบสุดๆ เอาล่ะ ไม่นานนักก็มีเสียงเรียกให้เราเปลี่ยนโซนไปโซนเรนเดียร์ครับ โซนนี้เป็นอีกโซนที่ผมรักและตื่นเต้นมากๆ นอกจากกวางเรนเดียร์แล้ว ยังมีน้องกระต่ายด้วยนะ ซึ่งเป็นความใจดีของเจ้าของหมู่บ้านมากๆ ที่ให้ขนมปังเรามา Feeding น้องๆ ไปดูภาพกัน

สังเกตุไหม ว่าทำไมบางตัวมีเขา บางตัวไม่มีเขา ก็เพราะว่า เขาของน้องเนี่ย จะผลัดออกทุกปี เพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิมนั่นเอง ซึ่งสำรหับคนที่นี่นั้น เขาก็สามารถเอาไปทำของที่ระลึกขาย หรือทำเครื่องลาง ตัวกวางเองเนี่ยก็เป็นอาหารโดยปกติของคนที่นี่ ซึ่งหากเราจะลองชิมเนื้อน้องดูหลังจากถ่ายรูปเล่นกับน้องเสร็จแล้ว ก็ดูจะไม่ควรเท่าไหร่ แต่….

ใช่ครับ เมื่อ Sergei ถามผมว่า อยากลองกินน้องเรนเดียร์ไหม ผมตอบ Yes อย่างไม่มีรีรอ หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ดราม่ากันเนอะ เพราะความเป็น Local การกินเนื้อกวางเรนเดียร์ที่นี่จึงธรรมดา แต่ก่อนที่เราจะไปหม่ำน้องเนี่ย ก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้สนุกกันอีกเพียบเลย นั่นก็คือ Reindeer Sledding และ Snow-Banana Boat ซึ่งรวมอยู่ในทริปเรียบร้อยแล้ว

เสียดายที่เล่นได้เพียงแค่คนละรอบครับ เพราะคนเยอะ และเวลามีจำกัด เอาล่ะ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปหม่ำเนื้อเรนเดียร์แล้ว ขอพูดแบบไม่อ้อมค้อมเลยว่า เนื้อเรนเดียร์ รสชาติเหมือนเนื้อวัวครับ แต่กลิ่นไม่หอมเท่า และไม่เหม็นสาบเหมือนแกะกับแพะ อาจจะมีตะขิดตะข่วงในใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาครับ ทานได้

//ภาพอยู่ในมือถือ เดี๋ยวโหลดมาให้ดูทีหลัง

ทีนี้หลังจากทานข้าวเสร็จ เค้าก็จะให้เรายืนเสื้อผ้าชาว Saami แต่งตัวถ่ายรูปสวยๆ ครับ คือที่นี่สามารถมานอนค้างคืนได้นะ ก็สามารถดู Aurora ได้ที่นี่ด้วย แต่ก็ไม่สะดวกสำหรับคนที่มีเวลาน้อยครับ สำหรับผม Day Trip ที่นี่ ก็เหมาะแล้ว

จากนั้นก็จะมีการละเล่นพื้นบ้านของที่นี่ครับ ไม่ว่าจะเป็น Saami Football, Fox vs Husky and Ice Slider เจ้าของบ้านใจดีมาก และเราก็เล่นกันสนุกมาก เอาจริงไหม สองสามวันที่ผ่านมา ผมกลับชอบที่นี่ที่สุด เพราะได้เข้าถึง และอยู่กับคนพื้นที่แบบจริงๆ นอกนั้นเหมือนไปดูธรรมชาติเชิงท่องเที่ยวมากกว่า คือใครไป Murmansk แนะนำว่าอย่าพลาดที่นี่เชียวล่ะ

วันนี้วันดี ท้องฟ้ามีสีคราม แสงแดดส่องรำไพ คือตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ วันนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่อาจจะได้เห็นแสงเหนือ ขากลับระหว่างที่นั่งอยู่เบาะหลัง มันอดไม่ได้ที่จะต้องเลื่อนมาเบาะหน้านั่งดูวิวท้องฟ้ากับสองข้างทางที่เต็มไปด้วยหิมะแบบนี้ ให้ตายเถอะ มันเป็นภาพที่สวยงามมาก

เย็นนี้เป็นอีกวันที่เราเตรียมตัวกันดีหน่อย หลังจากที่เราเข้าไปถึงที่พัก เราก็ไป Shopping Market เลย ไปซื้อข้าวกินครับ ก้กินอะไรเดิมๆ แต่ที่เพิ่มเติมคือ หาไวน์มาขวดหนึ่งครับ เหตุผลก็เป็นเพราะว่า ข้างนอกแม่งโคตรหนาว จำความรู้สึกวันแรกได้ว่าทรมานมาก เลยซื้อไวน์ที่แบบเปิดง่ายๆ ไม่ลำบาก แล้วกรอกใส่ขวดพลาสติกติดไปด้วยเลย วันนี้เป็นอีกวันที่ทาง Arctic Freedom นัดจะเข้าไปรับเราเวลาราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง

แสงเหนือแม่งเห็นได้ด้วยตาเปล่า ใช่ครับ มันเห็นได้ด้วยตาเปล่า ระหว่างที่เรานั่งรถไปล่าแสงเหนือในช่วงของคืนวันนั้น มีเพื่อนผู้ร่วมทางตะโกนว่านั่นไงๆ พร้อมกับชี้ ไอ่เราก็ตื่นเต้น และคิดว่ามันไม่น่าจะเห็นง่ายขนาดนั้น ไฟเมืองกระทบหมอกหรือเปล่า แต่พอทันทีที่เอาหน้าไปแนบชิดติดกระจกก็ต้องร้องว้าววววว มันเป็นแสงสีเขียวที่กำลังเต้นระบำอยู่กลางท้องฟ้า อิเชี่ยยยย กูเห็นแล้ววววววว > <

ไม่นานนัก เราก็จอดรถแล้วดูแสงเหนือข้างทางกันเลยครับ คิดว่าเพื่อนๆ คงอยากรู้แน่ๆ ว่าแสงเหนือเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เดี๋ยวนี่จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าแสงเหนือเนี่ย คือปรากฏการณ์แสงเหนือ เกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่าง ๆ กันออกไป ขึ้นอยู่กับแสงนั้นเกิดขึ้นในช่วงชั้นบรรยากาศไหน และเกิดจากก๊าซอะไร ใครอยากรู้เยอะกว่านี้ แนะนำทางนี้เลย https://hilight.kapook.com/view/146290

ซึ่งประเทศที่สามารถดูแสงเหนือได้ ก็จะมี ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ แคนาดา กรีนแลนด์ นอร์เวย์ อเมริกา สวีเดน เดนมาร์ก สกอตแลนด และที่ผมแนะนำที่สุดเลยคือที่นี่นี่แหละ เพราะทุกประเทศที่กล่าวมาจำเป็นต้องทำวีซ่าหมด ยกเว้น “รัสเซีย” นั่นเอง ที่สำคัญ ค่าครองชีพเหมือนบ้านเราเด๊ะๆ

ช่วงที่ควรไปล่าแสงเหนือมากสุดคือตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงมีนาคม เพราะเป็นช่วงฤดูหนาว กลางคืนจะยาวกว่ากลางวัน หรือบางเมือง เรียกได้ว่า แทบจะไม่มีกลางวันเลยก็มี เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Polar Night คือ ดวงอาทิตย์ไม่ขึ้นเลยประมาณ 40 วัน อะไรทำนองนั้น

และอย่างที่บอกว่าการไปดูแสงเหนือต้องดวงดี สามารถเช็คค่า KP Index Forecast ได้ตามแอพพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ต่างๆ ได้ (ลองเช็คเว็บนี้ก็ได้ http://www.aurora-service.eu/aurora-forecast/) แต่ถึงแม้ว่า KP มีค่าสูง แต่ก็อย่าลืมเรื่องสภาพอากาศด้วยล่ะ ถ้าวันไหนท้องฟ้าไม่เปิดก็อดเจอ ส่วนสำหรับของเราที่เห็น มีค่า KP Index แค่ 1-2 เท่านั้น แต่ไม่รู้สิ ได้เห็นแค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว ฮื้อออออ > <

สำหรับวันนี้จริงๆ ก็จบทริปได้เลยนะ แต่อย่าดีกว่า เพราะ Murmansk ยังมีอะไรให้เราไปสัมผัสอีกเยอะ แต่ก่อนจะจากกันไปวันนี้ อยากจะให้ Tips สำหรับการถ่ายเก็บแสงเหนือนิดหน่อยแล้วกันว่า ควรใช้ DSLR นะ อย่างภาพทุกภาพที่ถ่าย ไมใช้ Canon 70D แล้วก็ใช้เลนส์ 10-22 mm. กะแบบคลุมเห็นแสงเหนือกว้างๆ เลย (เลนส์ wide) ซึ่งหลักการสำคัญสำหรับการถ่ายแสงเหนืออย่างรวดเร็วนั่น ก็คือการเพิ่ม ISO เยอะหน่อย จะได้ไม่ต้องใช้เวลาในการเปิดรูรับแสงนานมาก แต่ถ้าใครตึงเคร่งเรื่องความละเอียดของภาพ ก็ทำสลับกับอย่างที่บอกได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้น การถ่ายแสงเหนือไม่มีอะไรที่ Set ค่าไว้ตายตัวครับ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับแสงในสภาวะจริง สิ่งที่เราจำเป็นมากที่สุดคือ ต้องเข้าใจการทำงานของการใช้กล้องแบบ Manual ของเราให้ดีก่อน ส่วนข้างหน้าจะต้องปรับอะไรยังไง รับรองว่าไม่พลาดแน่นอน สำหรับผม Canon 70D มันไปกับผมทุกที่อยู่แล้ว ก็เลยคุ้นมือกันมากกว่า ไม่ได้ขายของนะ แต่ถ้า Canon จะเข้า คืนนี้คงนอนหลับฝันดีแน่ๆ

DAY 5 – DOWNTOWN

Murmansk เป็นเมืองที่ออกเสียงยากมากสำหรับคนไทย บางคนอ่านเมอร์มันส์ บางคนอ่านมูร์มันส์ เอาเป็นว่า อ่านอะไรยังไง ก็ขอให้เข้าใจว่ากูไปที่เดียวกับพวกมึงก็แล้วกัน วันสุดท้ายวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว Downtown กันครับ ก็ไม่เชิง Downtown มาก แต่ก็เรียกว่า City Tour Program แล้วกัน ซึ่ง Murmansk เค้าก็มีอะไรเด็ดๆ มานำเสนอเพียบ เราจะขอไล่เป็นที่ๆ ไปเลยแล้วกัน

ที่นี่คือ Light House ครับ นึกภาพออกไปม ประภาคารไฟ ที่เวลาจะให้เรือเทียบท่าอ่ะ ที่เอาไว้สือสารการเข้าฝั่งของเรืออ่ะ เอออ นั่นแหละ เค้ายกรูปแบบของ Light House ของจริง มาวางไว้กลางเมืองเลย ซึ่งก็ใช้งานได้จริงๆ นะ แต่ไม่ได้ใช้ ตรงนี้เค้าทำเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงชาวเรือและพลทหารที่เสียชีวิตในเรือดำน้ำ Kursk ในวันที่ 12 สิงหาคม ปี 2000

และเพื่อความสมจริง เค้าเลยเอาสมอเรือของจริง ขึ้นมาตั้งไว้กลางเมืองนี้ด้วยเลย คือมันอยู๋แบบใจกลางถนนที่พอผมยืนอยู่บนสมอมองลงไป จะเจอถนนเป็นเส้นตรง แล้วเห็นเมืองทั้งเมืองเลยอ่ะ ตรงนี้พลาดไม่ได้เลยนะ สวยงามมาก

พอมองหันกลับไป ก็จะเป็นโบสถ์ครับ ที่นี่ผมไม่มั่นใจว่าเค้านิกายอะไร แต่โบสถ์ของเค้า ก็ยังคงความเป็นศิลปกรรมของรัสเซียได้อย่างก้ำกึ่ง คือไม่เสียทีเดียว แต่ก็สวยงามแบบคลาสสิค ผมดูแค่ภายนอก ไม่ได้เข้าไปดูภายในนะ ถือเป็นอีกจุดที่ถ่ายรูปสวยมาก

เราขับต่อไปกันที่ War Monument หรือ Monument To Alyosha และคนพื้นที่จะเรียกว่า Monument To The Unkwon Soldier.ซึ่งเป็นอนุสรณ์การสู้รับระหว่าง Murmansk กับกองทัพนาซี หลังได้ชัยชนะ ก็เลยทำอนุสรณ์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการรำลึก โดย Sergei บอกเราว่า ทหารที่ยืนอยู่ชื่อ Alex อันนี้ไม่รู้จริงไหมนะ ตัวหุ่นปั้นสูงถึง 42 เมตรเลยล่ะ ดูอลังกาลสุดๆ ภาพของ Alex จะมองไปที่แม่น้ำ ซึ่งเป็นเขตภูมิศาสตร์ในการสู้รับที่ได้เปรียบสุดๆ

ในตัวของอนุสรณ์ ก็จะมีป้ายชื่อของทหารยศสูงๆ หรือที่มีบทบาทต่อการสู้รับครั้งนั้นสลักอยู่ตามหินอ่อน มีปืนจริงๆ ที่ใช้ในการรบครั้งนั้นตั้งอยู่ด้วย คือผมชอบที่นี่มากเลย ส่วนประวัติที่มันตรงกว่านี้ ถูกต้องกว่านี้ เพื่อนๆ ลองไปหาเอาใน google นะครับ อันนี้ผมฟังมาจาก Sergei ล้วนๆ อ่ะ ไปดูภาพกัน

ด้วยภูมิประเทศ และพื้นที่ตั้งตรงนี้ จะทำให้เราเห็นวิวแม่น้ำที่ใช้เป็นเส้นทางขนส่งอีกทางหนึ่งที่เป็นสายหลักของ Murmanks ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเดินทางข้ามเมือง ขนของ ส่งสินค้า ก็ย่อมใช้เส้นทางเดินเรือจุดนี้หมด เรียกว่ามองลงไป จะเป็นเป็นท่าเรือเรียงรายสลับกับรางรถไฟเต็มไปหมด

วันนี้ทั้งวันผมใส่ Set ของ ARMANI Exchange ครับ ดูคูลเหมาะกับสถานที่สุดๆ

หมวก: classic logo patch beanie
เสื้อคลุม: classic bicolor logo hoodie
เสื้อยืด: regular-fit vertical stripe crew
กางเกง: sweatshkrt bermudas

และเมื่อพูดถึงสงคราม เราควรไปต่อกันอีกที่หนึ่งที่เป็นผลจากสงครามโลกครั้งที่สองกัน ที่นี่ก็คือ อนุสรณ์ปล่องไฟ (Chimney Monument)

คือตอนนั้นถ้าเอาตามความรู้สึกจริงๆ เลยคือไม่อยากไปดูแล้วอ่ะ คือมันดูเหมือนไม่มีอะไร แล้วคืองงมาก ทำไมปล่องไฟต้องเอามาเป็นอนุสรณ์สถานเลยหรอ แต่เหมือนมีบางอย่างทำให้เราต้องเดินลงไปครับ นั่นก็คือ เจ้าหมาสองตัวนี้ มันหยอกล้อกันอยู่ นี่ก็เลยเดินลงไปเล่นกับมัน สังเกตุไหมว่า หมาที่นี่ ถ้าจะเลี้ยง ต้องมีเจ้าของ ทำให้ถูกต้องตามกฏหมาย ถือที่หูมันดิ มีอะไรไม่รู้สีเหลืองๆ เย็บติดไว้อยู่ นี่คิดว่าน่าจะเป็นชิพนะ

แต่พอ Sergei ได้เล่าให้ฟังถึงประวัติ และภาพถ่ายเล่าเรื่องต่างๆ ที่ปิดอยู่กับอนุสรณ์แล้ว ผมนี่นึกโทษตัวเองเลยว่า การที่เราไปเที่ยว เราควรต้องไปให้ถึง ต้องเรียนรู้ เรื่องราว ของพื้นที่นั้นๆ ให้ได้อย่างคนที่อยู่ที่นี่เค้าได้รับรู้มาตลอดชั่วอายุคน

ก็คือที่นี่เค้าทำขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สงครามโลกที่เกิดขึ้นต่อเนื่องการ เมือง Murmansk โดนถล่มทางอากาศแบบราบเป็นหน้ากลอง แต่ทุกบ้านก็ยังมีสิ่งที่หลงเหลือเป็นซากให้เห็น ในคือปล่องไฟของทุกบ้าน

เล่นกับหมาไปก็พรางไปเห็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ (ภาพข้างบน) และมองไปไกลๆ ก็เห็นว่าคนที่นี่เค้าก็มีกิจกรรมสนุกๆ ทำเหมือนกันแฮะ บ้านเราไม่มีโอกาศได้มา Ski Cross Country แบบนี้แน่ๆ มันคือากรใช้ Ski ลากเลื่อนบนบนทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งไปแล้ว

ก่อนที่เราจะไปทานข้าว เรายังเหลืออีกที่ที่ต้องไปดูครับ นั่นก็คือ LENIN ไม่รู้ว่าภาษาไทยอ่านว่าอะไร แต่มันเป็นเรือทำลายธารน้ำแข็งที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์เครื่องแรกของโลกครับ

คือด้วยความที่ประเทศเมืองหนาวช่วงหน้าหนาว ทะเลก็จะมีธานน้ำแข็งใช่ไหม แต่การขนส่ง ระบบมวลชน และสินค้าทางน้ำ ก็ยังคง Run ต่อ เรือตัวนี้จึงเกิดขึ้น เรียกเต็มๆ ว่า Icebreaker Lenin นั้่นเอง

แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้การแล้วนะ หมดยุคไปแล้ว และกลายมาเป็นมิวเซียมแทน และถ้ามีโอกาสได้ไป จะเห็นว่ามีพวงกุญแจเต็มรั้วกั้นเลย ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับความรักนะ ผมว่า

เอา Package City Tour Day Trip นี้รวมอาหารเที่ยงครับ อย่างที่บอก และอาหารเที่ยงมื้อนี้ของเราจะดูดีกว่าที่อื่นๆ หน่อย เพราะอยู่ในเมือง Sergei พาเราขับรถไปแถวๆ Downtown และพาจอดหน้าร้านเลย

ร้านนี้ชื่อ Kruzhka ครับ เป็นทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และผับ ถ้ามองดูเผินๆ เหมือนเป็นบ้านคนเลยนะเนี่ย ที่นี่ก็แบบนี้ครับ อะไรดีๆ มักจะมองไม่ค่อยเห็น

ภายในร้านตกแต่งออกจีนๆ หน่อย ดูมีเสน่ห์น่าค้นหา คนมากินเยอะมาก ที่สำคัญคือบรรยากาศดี เพลงดี ผู้คนดี เรามานั่งโต๊ะปั้บ พนักงานก็ต้อนรับ และเอาออร์เดอร์มาให้อย่างเร็ว

การสั่งจะมีอยู่ 3 Steps เหมือนภัตตาคารทั่วไป ซึ่งก็จะเป็นแนว ออร์เดิร์ฟ ไล่ไปจนถึงของหวาน ทำนองนั้น แต่คืออ่านไม่ออกนะ ภาษารัสเซียหมดเลย ๕๕๕ สรุปคือต้องให้ Sergei ช่วย และนี่คือหน้าตาอาหารรวมๆ ที่เราสั่งมาลองทานกันดูครับ สั่งสลับอย่างกัน เพื่อให้ได้อาหารหลายแบบที่สุด ๕๕๕๕

อันนี้เป็นความยากพิเศษ ปกติแล้วคือชอบซูชิและก็ Salmon มากๆ เลยสั่งมาทานส่วนตัว สรุปไม่หมดครับ วันนั้นเจ้าของ ArcticFreedom มาร่วมทานอาหารเที่ยงกับเราด้วยนะ ก็คุยสัพเพเหระ แล้วก็สั่ง Local Beverage มาให้เราลองชิม รสชาติคล้ายๆ สาโธบ้านเรา แต่ของเราเด็ดกว่า

ระหว่างที่คุยกัน เหทือนคุยกันถูกคอครับ Roman (ชื่อเจ้าของ) ก็บอกเราว่า เค้ากำลังขยายสถานที่ท่องเที่ยวที่เค้าดูแบอยู่ในในโซนอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Moscow, St.Petersberg, Altai  และ Baikal Lake ซึ่งเราก็ถูกรับเชิญเรียบร้อยแล้วด้วย จะเป็นที่ไหน อย่าลืมตามกันล่ะ และสุดท้าย Roman บอกว่า ใครที่จองทัวร์ผ่าน ArcticFreedom โดยบอก Code ” PALAPILII ” ก็รับส่วนลดง่ายๆ ไปเลย 20% โห้ววววววว

ทริปนี้ยังไม่จบครับ ขอพาเข้าไปในตัว Downtown แบบจริงๆ จังๆ สักที ซึ่งก็ขอไม่อธิบายอะไรมาก เหมือนเดินเล่น ดูผู้คนเดินไปเดินมา ดูบ้านเมือง ดูความเป็นอยู่ ไม่ได้รู้ประวัติของแต่ละสถานที่เท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นอีก Moment ที่ดีพอสมควร เพราะได้ใช้ชีวิต เหมือนกับคน Local ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นไม่กี่นาทีก็ตาม ก็ทำให้พอจะรู้ความรู้สึกของคนที่นี่อยู่บ้าง ว่าการใช้ชีวิตในที่หนาวๆ มันเป็นยังไง

ระหว่างเดินเล่น เราได้ข่าวมาว่า ที่นี่มี Mcdonald ที่สูงที่สุดในโลกตั้งอยู่ ไม่ใช่อยู่บนตึก 100 ชั้นหรืออะไรนะ แต่อยู่ที่จุดละติดจูดสูงที่สุดของโลกนั่นเอง เรียกได้ว่าอยู่ในแกนพื้นที่ของขั้วโลกเหนือนั่นแหละ

ภายในร้านบรรยากาศเหมือน Mcdonald ทั่วไปเลย ไม่แปลกอะไร แต่ความรู้สึกตอนที่เรารู้เรื่องราวก่อนเข้าไปเนี่ยสิ มันทำให้เราตื่นเต้น ข้างฝาหนังตรง Oder Line 1 มีติดเส้นลิปดา บอก Location ของที่นี่ไว้ด้วย

ซึ่งก็พึ่งทานกันมาไหมล่ะ เอาว่าลองสั่งมาทานดูสักหน่อยแล้วกัน จริงๆ เราควรสั่ง Big Mac แต่ไม่สามารถจริงๆ ก็เลยเป็น Cheese Buger + Sunday Ice Cream แทน

รสชาติขอบอกว่า Mcdonal มากครับ เผลอแป็บเดียว ไม่รู้ว่ามีคนอ่านมาถึงตรงนี้เหรือเปล่า แต่ก็ใกล้จะจบแล้ว จริงๆ ช่วงที่ทานแม็คโดนัลกับทัวร์เมือง มันคือช่วงเวลาเดียวกันนะครับ เพราะมันอยู่แถบเดียวกันเลย แต่คืนนี้เราต้องบินกลับแล้ว จะไม่ให้ลอง The Must ของที่นี่ ก็กลัวมาไม่ถึง นั่นก็คือ King Crab นั่นเอง

ร้านนี้ชื่ออะไรผมจำไม่ได้นะ แต่ถ้าดูตามป้ายหน้าร้านคือ PECTOPAH ซึ่งถ้าจะให้ชัวร์ๆ ไปตาม Location นี้เลย 68.933194, 33.111014 นี่ จิ้มตามนี้

ข้างในร้านตกแต่งคูลมาก เป็นแสงนวลๆ อุ่นๆ แล้วคือมีพวกขนหมี ขนสัตว์ พวก Draft สิ่งมีชีวิตไว้เต็มเลย อันนี้ใครที่รักสัตว์อาจจะไม่ชอบ แต่คืออยู่นี่ ถือเป็นเรื่องธรรมดาครับ

โดนผ่านเข้ามาหน่อย ก็จะเห็นวัตถุดิบต่างๆ ที่เค้าจะเอามาทำให้เราทานครับ ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า สดมากๆๆ ไม่รอช้า สั่ง king Crab ก่อนเลย 4 ขา ราคาราวๆ 4,000 บาทไทยครับ  นอกนั้นอยากสั่งอะไรมาลองทาน ก็ตามใจชอบเลย

ต้องขอบอกว่าปูตัวใหญ่มาก สรุปคือสั่งมาแค่ 2 ขาครับ ตกราวๆ 2,000 บาท คือทานแค่นี้บอกได้คำเดียวว่าอิ่มเลย อยากได้ Sea Food จากบ้านเราไปมากๆ ของเค้ามันไม่ถึง ๕๕๕

และนี่ก็เป็นกิจกรรมวันสุดท้ายของพวกเราครับ ขากลับก็นั่ง Taxi กลับที่พัก ซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากที่พักมาก ค่า Taxi ราวๆ 65 RB ร้อยกว่าบาท เก็บของ รอเวลา แล้ว Roman ก็มารับเราไปสนามบิน ระหว่างที่เดินทางกลับ นึกว่าจะไม่ได้ควักกล้องออกมาถ่ายอะไรแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้แงะออกมาอยู่ดี เพราะ Roman พาจอดข้างทางไปดูน้ำผุดที่ใสสะอาดและสามารถดื่มได้

สาบานเลยว่า ผมชอบที่นี่มากๆ คือน้ำมันอร่อยมากอ่ะ คือจะไม่รีวิวก็ไม่ได้ ถ้าใน Maps.me จุดนี้เรียกว่า Rodnik Location อยู่ที่ 68.815366, 32.964755 คืออยู่ระหว่างทางไปสนามบินเลย ถ้ามีเวลาอยากให้แวะครับ นี่อากาศติดลบดึกๆ ยังแวะเลย

ถึงขั้นกรอกใส่ขวดเอากลับมาดื่ม คิดดูแล้วกัน และนี่ก็เป็นอีกทริปที่ผมประทับใจมากๆ ในปี 2019 อาจจะเป็นแค่ต้นปี แต่พอมันประทับใจแล้ว ยังไงมันก็เป็นทริปประทับใจครับ ยังไงถ้าเพื่อนๆ มีโอกาส Murmansk ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมแนะนำเลยล่ะ ขอจบภาพสุดท้ายด้วยการถ่ายรูปสนามบินอันแสนรันตทดที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และคุณกิติญาดาที่กำลังยกกระเป๋าให้ผม แล้วเจอกันระหว่างทางครับ