Backpack ปากเซ – ดานัง – ฮอยอัน ด้วยเงิน 7,000 บาท

DCIM114GOPRO

▲ ประโยคสั้นๆ ที่ลอยมากระแทกหู “ลาวใต้ สวยนะเมิง

แล้วทุกอย่างก็เงียบไป (—————————————-)

เออหว่ะ กุยังไม่เคยไปเลย น่าสนๆ หลังจบบทสนทนา ผมไม่ได้หาข้อมูลนะ แต่ผมหาเพื่อนไปเที่ยวด้วยเลย 1 คน
หลังจากได้ Buddy รู้ใจ ก็จองตั๋วขาไป (กทม. – ปากเซ) โดยที่ไม่รู้ว่าจะเลยเถิดมาไกลถึง “ฮอยอัน ฉันรักเธอ” ๕๕๕
แบ๊งค์พัน 7 ใบ กับตั๋วขาไปใบเดียว แบกกระเป๋าใส่หลังแล้วไปมันส์กันเลยดีกว่าครับ : )

https://www.facebook.com/PalapiliiThailand


▲ เพื่อง่ายต่อการเข้าใจของเพื่อนๆ
ผมได้ทำบทสรุปเป็นตารางที่ผมมักจะใช้เป็นประจำเวลาวางแผนเที่ยว
เพื่อนๆ จะได้ดูกันคร่าวๆ ว่า วันนี้ เวลานี้ เราไปไหน อยู่ตรงไหนกันบ้าง
จะได้สามารถปรับเปลี่ยนหรือลอกตามไปใช้ในคราวหน้า

ส่วนรายละเอียดและเนื้อเรื่องในการเดินทาง วิธีเดินทางจากจุดนั้นไปจุดนี้
กลลวงของเหล่าสามล้อ แท็กซี่ หรือแม้กระทั่งแม่ค้าขายของริมถนน
ผมจะมาแจงแบบหมดเปลือกให้ฟัง ม๊ะ ไปกันเลย เย่!!!!!

▲ เอาหล่ะ เรื่องแรกคือ ต้องจองตั๋วขาไป กทม. – ปากเซ ให้ได้ก่อนเลยครับ เพราะตั๋วจะเต็มเร็วมาก
โดยการเดินทางจะใช้เวลาราวๆ 12 ช.ม. และมีแค่ 2 รอบต่อวันเท่านั้น
ก็คือเดินทางตอนกลางคืน นอนในรถ แล้วไปเช้าที่ปากเซพอดี
ปกติ รถจะไปถึงปากเซราวๆ 9 – 11 โมงเช้าครับ ร

ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 900 บาท (บวกค่าบริการอีก 45 บาท)

เว็บสำหรับจองรถ : http://58.181.228.8:8080/transport/index.php

Tips : เพื่อนๆ ไม่สามารถจองไปกลับ กทม. – ปากเซ ได้ จองได้แค่ขาไป ขากลับต้องไปจองที่ลาว

DAY 1
▲ ชีวิตยังไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เมื่อใกล้ถึงช่องเม็ก พนักงานจะเก็บเงินเราคนละ 5 บาทครับ
จะเป็นค่าล่วงเวลาของพนักงานที่ ต.ม. คล้ายๆ กับทำ OT ครับ เค้าทำงานก่อนเวลา (ก่อน 8 โมงเช้า)
รถจะจอดให้เพื่อนๆ ได้ทำเรื่องออกนอกประเทศที่ช่องเม็ก
ก็ทำทุกอย่างตาปกติเลย เขียนใบออกนอกประเทศโดยอิงทุกอย่าง จาก passport ของเรา
ถ้าใครยังไม่เคยออกนอกประเทศ หรือไปต่างประเทศ ก็จะตื่นเต้นหน่อย ๕๕๕

(อย่าลืมเก็บส่วนขาเข้าไว้นะ เด่วงานเข้า ๕๕)

▲ หลังจากผ่าน ต.ม. ฝั่งไทย ก็ต้องข้ามไปฝั่งลาวให้ด่วนจี๋ ต้องทำเวลากันหน่อยครับ ถ้าอยากไปถึงปากเซเร็วๆ
บัสจะข้ามไปจอดรอเราที่ฝั่งลาวครับ ระหว่างทางข้ามจาก ไทยไปลาว ที่ช่องเม็กจะแปลกจากที่อื่นหน่อย
จะเป็นอุโมงค์ใต้ดินครับ และจะมีเหล็กขั้น ฝั่งเข้า และฝั่งออก ดูลุ้นดี ลุ้นว่า พอเราหลุดจากอุโมงค์ฝั่งลาวไปแล้ว เราจะเจออะไรเป็นอย่างแรก ๕๕๕

สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่มี passport และจะอยู่แค่ “ปากเซ”
สามารถทำใบผ่านแดนชั่วคร่าวได้ ดังนี้ครับ

ทำเรื่องที่ที่ว่าการอำเภอ (จะเสียเวลาหน่อย) หรือ จ้างทำหน้างาน
(แต่มีบริการครับ จ้างทำเอกสาร ราคา 100 บาท)เอกสารขอผ่านแดนชั่วคราวก็จะมีดังนี้1. บัตรประชาชน
2. รูปถ่าย 1 นิ้ว (เอาไปเผื่อทั้ง 1 นิ้วและ 2 นิ้วเลย เพื่อความชัวร์)
3. เอกสารที่จะต้องกรอก

หมายเหตุ : จะอยู่ได้เพียง 3 วัน 2 คืน หากเลยจากนั้นจะเสียค่าปรับวันละ 50 บาทครับ ^^


▲ หลังจากลอดผ่านอุโมงค์มาฝั่งลาว ก็ไม่มีอะไรครับ รู้สึกถึงความคันทรีเล็กๆ
ฝั่งนี้จะมีตลาดขายของก๊อปเต็มไปหมด ทั้งไทยทั้งลาวที่ติดชายแดนส่วนใหญ่
มักจะมา shopping กันที่นี้ครับ เราจะเห็นคนเดินพลุกพล่านเลยหละ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรา
รีบเดินไปทำเรื่องเข้าประเทศลาวกันดีกว่าครับ ๕๕ เดินตรงไป จะมีอาหาคารใหญ่ๆ ทางขวามือ
ขึ้นไปแล้วอ้อมไปข้างหลัง และก็กรอกใบขอเข้าประเทศ▲ ตรงนี้ผมไม่มั่นใจว่าถูกโกงรึป่าว ตอนที่ผมเข้าลาวฝั่งหนองคาย ผมจ่ายค่าเหยียบแผ่นดินแค่ 47 บาท
แต่พอมาคราวนี้ เค้าเรียกผม 200 บาทเลย (ยังไงรบกวนชี้แจงด้วยนะครับ ถ้าใครมีข้อมูลด้านนี้)
ออกมาจากช่องจ่ายตังค์ด้วยความสงสัยมากๆ แต่ก็ต้องรีบไปขึ้นรถครับ กลัวทำเวลาไปม่ได้

▲ เมื่อเราขึ้นรถ พนักงานก็จะมาเช็คยอดครับ ว่าคนครบรึป่าว ครบเมื่อไหร่ ล้อจะหมุนอย่างไม่รีรอครับ
ระหว่างทางเพื่อนๆ ก็จะเจอวิวทิวทุ่ง ภูเขา และวิถีชีวิตของคนที่นั้นครับ ระยะทางจากช่องเม็กไปปากเซ
ราวๆ 42 km ครับ ก็นั่งชมวิวเพลินๆ กันไป ไม่กี่นาที ก็จะถึงสะพานข้ามข้ามน้ำโขงที่ข้ามไปปากเซ
ความยาวสะพานราวๆ 1 km เลยหล่ะครับ เราออกไปถ่ายรูปไม่ได้ ได้แต่ถ่ายจากในรถ ๕๕๕

▲ หลังจากข้ามสะพานยาวกว่า 1 km เส้นนี้ไป รถบัสก็จะอ้อมวงเวียนแล้วเลี้ยวขวา จอดที่หลักสองครับ
เหล่าขบวนสามล้อก็จะกรูเข้ามาหาเพื่อนๆ อย่างไม่ขาดสาย ยอมรับเลยว่าตอนนั้น พวกผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ไม่รู้ว่า ที่เค้าจอดคือที่ไหน ๕๕๕ ก็เลยยังไม่ลงจากรถ รอให้เค้าไปทิ้งจนสุดทางครับ
และอึกอย่าง ด้วยความที่เราไม่มีแผนอยู่แล้ว ก็เลยถือซะว่า นั่งรถชมเมืองไปแล้วกัน ๕๕๕

▲ นั่งรถมาเรื่อยๆ ก็ได้เห็นบ้านเมืองเค้ามากขึ้นครับ ที่นั้นกำลังพัฒนา  ถนนและคูหาหลายหลัง
กำลังสร้างใหม่ๆ กันอยู่เลย จากหลักสอง เราจะต้องไปจอดสุดทางที่หลักแปด

▲ ถ้าเทียบกับบ้านเรา หลักแปด คือสายใต้ นั่นเอง เพียงไม่กี่นาที เราก็มาถึงแล้วครับ
สภาพแวดล้อม คล้ายๆ กับต่างอำเภอของต่างจังหวัดบ้านเรา รถที่ใช้คล้ายสองแถวหกล้อ
อาจจะดูเก่า หรือเฉย แต่สำหรับผมตอนนั้น นี่แหละ “ความคลาสสิค” ๕๕๕

▲ หลังจากที่เราลงจากรถ ก็ไม่แปลกที่จะมีขบวนสามล้อเข้ามาขอลายเซ็นครับ
เพราะเราหน้าตาดี ยังกะดาราแหนะ ๕๕๕๕๕๕๕ ขำๆ นะครับ เอาเป็นว่า “Say No” ไปก่อน
เพราะกุยังไม่รู้เลยว่ากุอยู่ที่ไหน แล้วกุจะไปไหน ๕๕๕

หลังจากเดินเข้าไปในตัว บขส. ก็ได้เห็นถึงความคลาสสิคสุดๆ ครับ
ที่นี่ เหมือนต่างอำเภอในต่างจังหวัดของบ้านเราไม่มีผิด : )

▲ ด้วยความมึนงงสุดๆ ผมเลยต้องรีบเข้าไปแก้สถานการณ์กับพี่ที่อยู่หน้าเคาท์เตอร์
เอาหล่ะ เราฟังกันรู้เรื่อง พี่เค้าพอฟังไทยได้ ผมพอพูดลาวได้นิดหน่อย
ตอนนี้เราอยุ่ที่หลักแปดครับ เป็นสถานนีขนส่งผู้โดยสารสายใต้
หลักๆ จะไปปากซอง และจำปาสัก (คอนพะเพ็ง) ตอนนั้นพวกเราไปถึงตอน 11 โมง
ยังเหลือเวลาให้เที่ยวอีกเยอะ ก็กะจะไปทัวร์ปากซองกันก่อน แล้วค่อยกลับเข้ามานอนในเมือง
ถามหามอเตอร์ไซต์เช่า เค้าก็บอกว่าไม่มี ถ้าอยากได้ ต้องนั่งสามล้อคนละ 80 บาท เข้าไปในตัวเมือง
ผมขอบคุณเค้าและกำลังจะเดินออกจากตรงนั้น แต่ด้วยความลังเลและอะไรบันดาลใจไม่รู้

“พี่ครับ มีตั๋วไปดานัง เวียดนามมั้ยครับ?”


▲ คำถามนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งครับ หลังจากได้ยินคำตอบเราก็เดินออกจากตรงนั้น
เพื่อไปจองตั๋วที่สายเหนือ ใช่ครับ เรากำลังจะไป “ดานัง” ประเทศเวียดนาม ๕๕
เดินออกไปไม่กี่ก้าว ก็เจอพี่สามล้อจอดรอขอลายเซ็นเลยครับ ๕๕
เราจะไปสายเหนือ พี่คิดผมกี่บาท (—— คิดแพร๊บ ——) 80 บาท
งั้น OK ไปกันเลยครับพี่

▲ 30 นาที เราก็มาถึงสายเหนือและจองตั๋วเสร็จเรียบร้อย ตรงนั้นมีร้านข้าวพอดี
เราก็เลยสั่งข้าวกินครับ สั่งกระเพรา เจ๊แกบอกไม่มี
สายตาเลื่อนไปมองเห็นลูกค้าชาวเวียดนาม ที่กำลังกินอยู่
พี่ เอาแบบนี้ 2 จานครับ ผ่านไป 5 นาที ทุกอย่างก็พร้อมบนโต๊ะ รอให้เรารับประทาน
แดรกไปแดรกมา แดรกไม่ได้ครับ ๕๕๕๕ แม่ม เครื่องในทั้งนั้น แถมเหนียวโคตรๆ
ก็เลยกินแต่ผัก ไม่อิ่มๆๆๆ > < เลยสั่งผัดมาม่า พี่เค้าทำหน้างง คุยกันไปคุยกันมาราวๆ นาทีเศษ อ๋ออออออ “คั่วมาม่า” ๕๕๕๕๕๕๕๕ โอเคๆๆ ทำมาให้หน่อยนะครับ ที่หนึ่ง
ข้อมูลเพิ่มเติม
ตั๋วรถ ปากเซ – ดานัง ที่ออกช่วงเย็น จะเป็นคล้ายๆ ตั๋วเถื่อนครับเพื่อนๆ
ถ้าอยากจะทำเวลาก็ต้องยอมไปวิธีนี้ แต่ถ้าวันเหลือ ก็ไปซื้อตามเกสเฮ้าส์ หรือท่ารถก็ได้
แต่จะมีแค่รอบเช้าเท่านั้น สำหรับ backpacker อย่างเรา ก็คงต้องเลือกการเดินทางที่ประหยัดเวลา
แต่ว่า… ต้องต่อรองราคากันหน่อยครับ พี่เค้าบอก ขอ 1,000 บาท
ด้วยความที่รู้ไต๋ของคนที่นี่ ผมก็ทำหน้าไม่พอใจใส่อย่างรุนแรง
และตอบกลับไปว่า “แพงไปมั้ย” ตั้ง 1,000 บาท
หลังจากพูดจบ สีหน้าพี่เค้าก็ดูจะเสียหลักไปครับ ก็เลยลดให้เหลือ 900 บาท
ผมมาคิดเป็นเงินกีบ ก็ยังคิดว่าแพงไปอยู่ เลยต่อไปเหลือ 750 บาท
คุยกันนาน จนต้องไปคุยกับหัวหน้าคนขายตั๋ว
สุดท้าย ก้ได้ราคาที่โอเคอยู่ คือ 800 บาทที่เล่าให้ฟังคือ จะบอกว่า ถ้าในตั๋วหรือที่ขายตั๋ว ไม่มีราคาเขียนไว้
แสดงว่าเป็นตั๋วเถื่อนครับ มันบอกราคามายังไง ต่อแม่มไปเลย
เอาจนเราคิดว่า ราคานั้น คุ้มค่ากับการจ่ายของเราครับ

▲ และนี่คืออาหารมื้อแรกของเราในลาวที่เราสามารถทานได้ครับ
แปลกแต่ดีกว่าเมื่อกี้อ่ะ “คั่วมาม่าเนื้อแพะ” ๕๕๕๕๕๕๕▲ นั่งไปซักพัก ก็เบื่อๆ และคิดว่าน่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ไม่อยากนั่งรอเฉยๆ
ไหนๆ มาที อย่างน้อย ก็ขอไปขับรถมอไซต์ชมเมืองซะหน่อย

▲เราคุยกับพี่สามล้อว่า หลังจากพาเราไปจองตั๋วเสร็จ ให้พาเราเข้าเมืองไปเช่ามอไซต์
เราจะใช้เวลา 4 ช.ม. ที่เหลือเพื่อทัวร์เมือง ดีกว่านั่งรอรถอยู่เฉยๆ
และมารอรับเราตอน ๕ โมงเย็น ที่ร้านเช่ามอไซต์ เพื่อไปส่งเราที่สายเหนือที่เดิม
ตกลงราคากันเบ็ดเสร็จ ก็ได้ราคาดีพอสมควรคือ 540 บาท อิอิ

▲ ร้านเช่ามอไซต์แถวนี้มีหลายร้านให้เลือกครับ ราคาจะเท่าๆ กัน แต่มีอยู่ร้านหนึ่งที่ราคาถูกว่าชาวบ้าน
เป็นเกสเฮ้าส์ชื่อ Alisa Gueshouse ครับ จำให้แม่นๆ เลยนะ เพราะที่นี่ ค่าเช่ามอไซต์ถูกมาก
เช่าวันละ 60,000 กีบ (240 บาท) ถ้าเช่าสองวันลดให้เหลือ 50,000 กีบ สุดๆ จริงๆ ร้านนี้
ที่สำคัญ บริเวณเกสเฮ้าส์มี Free wifi ให้พวกเราได้ศึกษาสถานที่ท่องเที่ยว กันก่อนแว๊นส์ด้วย ๕๕๕

▲ เอกสารที่ใช้จองก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ยื่น passport เป็นตัวประกัน แค่นั้นเอง
และก็จ่ายเงินค่ารถเค้าไป พอเรากลับมา ก็เอารถ มาแลก passport วินวินครับ : )
ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้น ที่นี่มี Free Wifi ครับ เราช่วยกันหาข้อมูลดิบๆ ในตอนนั้นกันเลย
ก็ได้ความช่วยเหลือจากสมาชิกบลูเรานิแหละครับ พี่ๆ ส่วนใหญ่บอกว่า
ถ้าไปปากซอง ไปแค่ “ผาส้วม ตาดเยือง” ก็จบแล้ว และถ้าเวลาเหลือ ก็บวก “ตาดฟาน” เข้าไป
ด้วยความที่เรามีเวลาเพียง 4 ช.ม. choice นี้ จึงเป็นอะไรที่ เป๊ะ! สุดๆ แล้ว
เก็บข้อมูล ถามทาง คิดความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางกับเวลา หาความเป็นไปได้ว่าจะทันเวลามั้ย

คำตอบคือ “ลุย!!!


▲ทริปนี้ผมยึดแผนที่นี่เป็นหลักเลยครับ เพื่อนๆ สามารถก๊อปไปได้เลย
ในแผนที่จะมีเลขกำกับไว้ตามที่ต่างๆ และจะมาอธิบายด้านล่างว่าหมายเลขนั้น คืออะไร
เราใช้เวลาศึกษาอยู่ชั่วครู่ สถานที่ท่องเที่ยวน้ำตกในปากเซ คือปากซองครับ
ต้องเดินทางไปรายๆ 30 – 40 กิโลเมตร สถานที่สำคัญๆ ก็จะมี
ตาดผาส้วม ตาดจำปี ตาดอิตู้ ตาดฟาน ตาดเยือง บลาๆๆ หลายตาดมากๆครับ
เมื่อผมลองหาข้อมูลเชิงลึกกันดู ก็สรุปได้ว่า “ตาดส้วม – ตาดเยือง” ก็พอแล้ว : )

▲เมื่อ Zoom เข้าไป ก็จะเห็นแบบนี้ครับ หลักๆ ที่เราจะไปคือ ตาดส้วม และตาดเยือง
ถ้าเหลือเวลาแนะนำให้เก็บตาดฟานด้วยครับ จะได้สมบูรณ์แบบ
การขับรถ เราก็ออกไปทางทิศตะวันออก ตรงยาวไปเรื่อยๆ เลยครับ

▲จุดแรดที่เราจะไปคือ “ตาดส้วม” ขับไปถึงหลัก 21 จะมีป้ายขนาดใหญ่บอกให้เลี้ยวซ้าย
เลี้ยวเข้าไปราวๆ 10 km จะมีป้ายเล็กๆ บอกทางให้เลี้ยวซ้ายอีกรอบครับ ถนนจะเล็กลง
ไม่นานก็จะเจอประตูทางเข้าครับ จอดและจ่ายค่าเข้า คนละ 10,000 กีบ
และจะต้องจ่ายค่าเฝ้าพาหนะให้เค้าด้วย ราคา 5,000 กีบครับ

▲ จอดรถทิ้งไว้ เดินลงไปไม่กี่ก้าว ก็จะมีแม่ค้ามาตั้งโต๊ะขายของพื้นบ้านครับ รวมถึงของกินด้วย
แต่อารมณ์ตอนนั้นคือ ผาส้วม ผาส้วม ผาส้วม ผาส้วม ๕๕ เรารีบจ้วงให้ไว เสียงน้ำกระทบหินก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนี้ ให้ภาพบรรยายตัวของมันเองแล้วกันนะครับ : )


▲ เป็นยังไงกันบ้างครับ ตาดส้วม พอไหวอยู่ใช่มั้ยครับ ตาดส้วมถือเป็นอีกตาดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก
เนื่องจากใกล้เมือง ที่สำคัญ ร้านอาหารที่นั้น เจ้าของเป็นคนไทยครับ ๕๕๕ ว่างๆ ก็ไปอุดหนุนกันครับ
ส่วนเรื่องความเป็นมา หรือข้อมูลเชิงลึก ยังไง เชิญ google กันเองนะครับ ๕๕๕


▲ เต็มอิ่มกับตาดส้วม แต่นาฬิกาก็ยังคงเดินต่อไปครับ เราขับรถกลับทางเดิม
พอถึงถนนหลักที่เราเลี้ยวซ้ายเข้ามาตาดส้วม ให้เราเลี้ยวซ้าย เพื่อตรงไปหลัก 40 ครับ
ระหว่างทางจะมีตาดเต็มไปหมดครับ ถ้ามีเวลา ปากซองถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าอยู่มากๆ
ตอนนั้นเราไปตอนบ่าย 3 บรรยากาศดีมากๆ หนาว เย็น และเต็มไปด้วยความเขียวขจี

ขับมาได้ซักพัก ใกล้ถึงหลัก 40 สังเกตุทางขวา จะมีจุดบอกให้เลี้ยวขวาเข้าตาดเยืองครับ

▲ เลี่ยวเข้าไปราวๆ 800 เมตร ถนนอาจจะขรุขระเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะครับว่าคุ้ม
ขับไปก็จะเจอด่านตรวจเข้าชมตาดครับ สำหรับมอไซต์ ต้องจอดรถไว้ข้างนอก แล้วเดินเข้าไป 400 เมตร
ค่าเข้าที่นี่ราคาคนละ 10,000 กีบ ส่วนค่าฝากรถ อยู่ที่ 5,000 กีบครับ

▲ เราเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร มาเหมือนที่ รีวิวบอก ก็น่าจะโอเค
เดินไปไม่กี่ก้าว เสียงคำรามของน้ำตกก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆ
เอามือปาดหน้าผาก “เห้ยพี่ทิม… ฝนตกปะว่ะ”
ปรากฏว่าไม่ใช่ครับ พอเข้าไปไกล เพื่อนๆ จะเห็นละอองน้ำที่ปะทุจากด้านล่างสู่ด้านบน
เหมือนมีพัดลมคอยเป่าไอ่น้ำขึ้นมาให้เราเห็นจากปล่อยงๆ หนึ่ง อยู่ตลอดเวลา
ทว่าภาพที่ผมเห็น ตอนเดินเข้าไปใกล้มันสุดยอดมากๆ
พวกเราตื่นเต้นจนลืม ถ่ายรูป และรีบวิ่งลงบันไดไปเพื่อไปดูอะไรบางอย่างข้างล่าง
และภาพตรงหน้าที่เรากำลังจะเห็น มันสุดยอดมากจริงๆ


▲ โอ มาย กอดดดดด นี่มันสวรรค์ชัดๆ ผมวิ่งไปจนสุดทาง หันหน้าเข้าน้ำตกและอ้าแขนรับพลังไอน้ำ
ที่พุ่งกระเซ้นเข้าหน้าเข้าตาอย่างไม่มีวันรู้จบ เพื่อนๆ ครับ มันอธิบายไม่ได้จริงๆ มันสุด แบบ แทบหยุดหายใจอะครับ
วิวที่ได้เห็น มันเหมือนสวรรค์บนดิน น้ำมวลมหาสาร หล่นตามแรงโน้มถ่วงของพื้นโลก
กระทบกับสายน้ำด้านล่าง กระเซ็นเป็นไอน้ำ พุ่งเข้ามาโจมตีพวกเราอย่างไม่มีวันรู้จบ
มากไปกว่านั้น แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ฉายมาจากด้านหลัง ราวกับเปิดไฟสีรุ้ง
ต้อนรับการมาเยือนของพวกเรา T T พูดแล้วก็น้ำตาจะไหล ปล่อยให้ภาพทำงานของมันไปดีกว่าครับ > <

||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||   ดูคลิป   ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
https://www.facebook.com/photo.php?v=720861098007672
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||

ดูคลิป : https://www.facebook.com/video.php?v=721124404648008
▲ อยากไปเห็นรุ้งแบบนี้บ้างมั้ยครับ???คลิกเพื่อซ่อนข้อความสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากเห็นรุ้งแบบนี้ ผมแนะนำให้ไปหลัง 4 โมงเย็นครับ
เพราะบริเวณที่น้ำตกกับดวงอาทิตย์ตก จะอยู่ตรงข้ามกันเลย เมื่อแสงกระทบผ่านละอองน้ำ
ภาพสวยงามตรงหน้า ก็จะเกิดขึ้น : )

▲  หมดเวลาสนุกแล้วครับ ผมยังไม่อยากเดินออกจากตรงนั้นเลย มันเหมือนฝัน
มันเหมือนเราเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ที่อยู่ในฉากมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น
เราเดินออกมาพร้อมกับคำว่า “ฮู้วววว ฮู้วววว สุดยอดอ๊าาาา” พูดวันไปวนมาอยู่อย่างนั้น
แต่เอาหล่ะ นาฬิกาก็ยังคงหมุนไป ไม่เท่าไหร่ ก็ปาไปสี่โมงครึ่งแล้ว
คราวนี้ เราต้องแว๊นส์ไปให้ทันพี่สามล้อที่เรานัดไว้ครับ ไปกันเลย!!!

▲ เราทำเวลาได้ดีครับ มาถึงภายใน 1 ช.ม. เอาเป็นว่าบิดแบบสุดๆ เลยหล่ะ
จากเสื้อเปียกๆ กลับกลายเป็นแห้งเหมือนเข้าเครื่อง ๕๕๕
เรารีบเอารถไปคืนในสภาพเดิม พร้อมกับเอา passport กลับคืนมา
ด้วยความเหนื่อยหล้าและหิวโหย เลยบอกให้พี่สามล้อจอดข้างทาง
เราขอกินข้าวจี่เพิ่มพลังก่อนขึ้นรถครับ

▲ แป้งจี่ เป็นอาหารที่แนะนำ เมื่อไปประเทศลาวครับ
นักท่องเที่ยว รวมถึงคนท้องถิ่น นิยมกินกันมาก
และที่สำคัญ ราคาโคตรถูก เพียงแค่ 20 – 30 บาทเท่านั้น
ที่บอกว่าถูกเพราะว่า อาหารตามสั่ง ข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวเหมือนบ้านเรา
ที่นั้นขาย 60 – 80 บาทหมดครับ ถ้าจะกินราคาขนาดนี้
กินพวกอาหาร inter ไปเลยดีกว่าครับ ไม่ก็กินแป้งจี่เหมือนพวกเรา ประหยัดโคตรๆ ๕๕

▲ บายปากเซ เราคงได้พบกันอีกนะ มองหันหลังกลับไปในเมือง ก็ยังอดคิดถึงไม่ได้
อยากอยู่ “ปากซอง” ซัก 2 วัน 1 คืน อะไรๆ มันคงจะดีไม่น้อย เอาเป็นว่า เด่วกลับมาใหม่แล้วกัน

▲ ขับมาใกล้ถึงสายเหนือ พี่เค้าก็จอดเติมน้ำมัน ครับ น้ำมันที่ประเทศลาวมีแค่ 2 แบบครับ
คือ น้ำมันทั่วไป(เบนซิล) กับน้ำมันดีเซล พี่เค้าก็บ่นๆ ว่า ประเทศไทยดีเนอะ
มีแก๊ส มี lpg ให้เติมกัน อยู่นี่ เสียค่าน้ำมันเยอะมากๆ ที่นี่น้ำมันราคาเท่าๆ บ้านเราครับ
ผมเติมเต็มถึง Honda wave หมดไป 20,000 กีบ ตกประมาณ 120 บาทครับ : )

▲ ที่เราคุยกันมาตั้งนาน มันยังไม่จบวันแรกของการเดินทางเลยครับเพื่อนๆ ๕๕๕
เรื่องเราวมันมีเยอะมากๆ เยอะจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังได้หมด แต่ก็จะเล่าแต่เรื่องราวที่สำคัญๆ ให้ฟังกันเนอะ
หลังจากนี้ ไม่มีใครคาดเดาได้ ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบอก
เราทั้งสองคนกำลังจะกลายเป็นผักปลา หรือสินค้า ที่จะถูก Export ไปต่างประเทศ

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงที่ 1 :::
(คิดเป็นรายหัวเลยครับ)

*** ก่อนเอื่น เราขอเทียบราคาค่าใช้จ่ายให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะครับ ***
5,000 กีบ = 20 บาท (ค่าประมาณ)

– ค่าตั๋วรถ กทม. – ปากเซ (รวมค่าบริการการจอง) : 945 บาท
– ค่าทำงานล่วงเวลาของ ต.ม. : 5 บาท
– ค่าเหยียบแผ่นดินลาว : 200 บาท
– ค่าเหมารถสามล้อ : 270 บาท
– ค่าเสบียง : 100 บาท
– ค่าข้าวมื้อแรก : 90 บาท
– ค่าเช่ามอไซต์ : 120 บาท
– ค่าน้ำมันรถ : 60 บาท
– ค่าเข้าตาดส้วม : 40 บาท
– ค่าฝารถที่ตาดส้วน : 15 บาท
– ค่าเข้าตาดเยือง : 40 บาท
– ค่าฝากรถที่ตาดเยือง : 20 บาท
– ค่าแป้งจี่ : 30 บาท
– ค่ารถ ปากเซ – ดานัง : 800 บาท

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงแรก รวม 2,735 บาท :::

— ผมตั้งใจที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อมานำเสนอให้เพื่อๆน ได้รู้และเอามาเป็นแนวทางกัน —
— ถ้ามันไม่มากจนเกินไป กด + เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ —

https://www.facebook.com/PalapiliiThailand


▲ เอาหล่ะครับ เบื้องต้นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เราจะต้องนั่งรถผ่านอะไรบ้างปากเซ – สุวรรณเขต – ชายแดน – เว้ – ดานัง – และฮอยอัน
พวกเราเรียกเจ้ารถคันนี้ว่ารถขนผักครับ ทำไมถึงเรียกว่ารถขนผักนะหรอ… หึหึ

1. ที่นอนเที้ยมาก ไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่มให้ ที่สำคัญ ใครขายาว เหมือนตกนรกทั้งเป็นครับ
2. ถ้าตัดสินใจนั่งรถด่วนคันนี้แล้ว ลืมไปเลยเรื่องการ Service แถมเรียกเราเหมือนหมูเหมือนหมาด้วย
3. ไม่มีข้าวให้กินเหมือนทัวร์อื่นๆ
4. สภาพรถเก่ามาก ไม่มีพัดลม ต้องเปิดกระจกนอนตลอดทาง
5. รถแม่มจอดทุกอำเภอ ทุกจังหวัด เพื่อรับของจากอีกที่ ไปส่งอีกที่

เป็นไงบ้างครับ 5 ข้อคร่าวๆ พอจะทำให้เพื่อนๆ เริ่มไม่อยากไปเที่ยวโดยใช้วิธีการนี้เหมือนผมรึป่าว
แต่สำหรับพวกผมสองคน ไม่สนและไม่แคร์ครับ ในเมื่อไม่มีแบบไม่มีแผน ก็ไม่ต้องไปสนอะไรแล้ว
แต่อย่างว่าครับ ไม่คิดว่ามันจะเที้ยขนาดนี้ ๕๕๕๕๕๕๕๕

▲ เพิ่มเติมให้ครับ สำหรับคนที่จะใช้วิธีเดียวกันกับเรา จุดขายตั๋วจะอยู่บริเวณ บขส.สายเหนือครับ
พอเข้าไปถึง จะมีร้านอาหารเล็กๆ อยู่ข้างในร้านเดียว ที่แยกออกไป ผมรู้สึกว่าจะมีแค่ที่เดียวด้วยนะ
ที่รับคนโดยสารจากปากเซ ไปส่งที่ดานัง ในช่วงเย็นเนี่ย ถามแล้วลองต่อราคากันดูครับ
ผมต่อได้ 800 บาท สำหรับผมคิดว่าโอเคแล้ว แต่ถ้าเพื่อนๆ สามารถต่อได้ถูกกว่านี้ ก็จะดีมากๆ เลยหล่ะ : )

▲ แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่มีเวลาเหลือเฟือ และไม่อยากลำบากเหมือนพวกเราละก็
สามารถคลิ๊กสปอยอ่านข้อมูลการเดินทางจาก ปากเซ  ไป ดานังแบบปกติได้นะครับ ข้างล่างนี่เลย

เพิ่มเติม
การเดินทางจากปากเซไปดานังโดยใช้ Sleeper Bus
ส่วนใหญ่จะมีแค่รอบเดียว คือรอบเช้าครับ ราคาจะตกอยู่ที่ราวๆ 240,000 – 270,000 keep ครับ
จะใช้เวลาราวๆ 15 ช.ม. ในการเดินทาง เอาเป็นว่า นั่งกันตูดบานกันเลยครับ
ยังไงก็ลองวางแผนกันดูครับ ว่าสมเหตุสมผลกับวันและสภาพร่างกายของเรารึป่าว ๕๕๕ตารางรถ

▲ ก้าวแรกที่ขึ้นรถ ต้องบอกเลยว่า เที้ยมากครับ เที้ยจนแบบ คิดว่า ทริปนี้ กุไม่สนุกด้วยแล้ว
บนทางเดินไม่ใช่พรหมอย่างที่คิด เป็นแค่แผ่นยางแหลมๆ ให้เราเอาเท้าไปทิ่มให้เจ็บเล่น
ที่นอนเป็นเบาะหนังที่ดูท่าทางจะเก่าร่วม 10 ปี ไม่มีหมอน ไม่มีภาห่ม ไม่มีแอร์
ทุกอย่างที่ได้สัมผัส เหมือนกุกำลังจะโดนหักแขนหักขา เป็นขอทานข้ามประเทศ ๕๕๕
หนักไปกว่านั้น ทั้งรถ ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย มีพอพูดลาวได้คนเดียว เออ เอาเข้าไป

▲ พวกเรามองหน้ากันอย่างเวทนา กุรุ้สึกสงสารเมิงหวะ แต่ก็สงสารตัวเองเหมือนกัน ๕๕๕๕๕
ขับไปซักพัก มองหน้ากันยังคุยกันไม่จบประโยค รถก็จอดครับ —————-




อ๋ออออ… แม่ม ส่งผักกันอยู่ครับ อ่าๆ ก็ไม่ได้อะไรมากครับ พอรับได้ คิดว่าเป็น รถ 99 แถวบ้านเราแล้วกัน ๕๕
แสงอาทิตย์เริ่มจาง มองข้างทางเริ่มไม่เห็นใคร มีแต่ป่า กับทุ่งนา ขับไปซักพัก รถดับครับ
พวกเราก็ไม่ได้คิดไร สงสัย รอผู้โดยสารคนอื่นมั้ง ไม่ก็ขนผักอีกแหละ
>>
>>
>> ประมาณ 10 นาทีผ่านไป//เห้ยย!! เห้!!!เสี่ยงตะโกนอย่างไร้มารยาทดังมาจากหน้ารถ พวกเราหันไป เห็นโชอเฟอร์โบกมือสวัดไสว คล้ายมีปัญหา
อ๋ออออออออ สราดดดดดดดดดด รถเสีย ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

เพื่อนๆ เชื่อมั้ยครับ พวกผมต้องมาเข็บรถบัสเที้ยนี้ เพื่อให้รถมันติดอะครับ
ทั้งรถมีผู้ช่าย 7 – 8 คน 2 ในแปดนั้นคือพวกผม เอาหล่ะ การเข็บรถบัสครั้งนี้ คือครั้งแรกของผมเลย
เพื่อนๆ ว่า ผมควรตื่นเต้น ดีใจ หรือรู้สึกยังไงดีครับ

ระหว่างที่เริ่มออกแรงเข็น เหมือนเอามือดันภูเขาครับ แม่ม ไม่มีที่ท่าว่าจะเคลื่อนตัวเลย
รถจอดนิ่งอยู่ราวๆ 5 วินาทีก็เริ่มเขยื่อน พร้อมกับเสียงโห่ร้องของเหล่านักกล้ามทั้งหมด

เห้ยยยยยยยย
โอ้ยยยยยยยย
เอออออออออออออออออออออออออ

อีคนขับเมิงก็ไม่ยอมใส่เกียร์ให้เครื่องมันติดซักทีนะเมิง กุหมดแรงแล้ว
ทันใดนั้น พี่ทิม ก็ขอถอนตัวออกไป เหลือผมกับชายอีก 3 – 4 คนที่เข็นกันต่อ
เราตะโกน เอาเลยๆๆๆ ติดเครื่องเลยๆๆ มันก็ยังไม่ติดเครื่องครับ

จนแทบจะหมดแรง สุดท้าย รถก็ติด ผมจำไม่ได้หรอก ว่าตอนนั้นผมอุทานอะไรออกไป ๕๕๕


▲ เรื่องราวในรถขนผัก มันเหมือนทำให้วันหนึ่งของผมมี 48 ชั่วโมงเลยครับ
หลังจากที่รถเคลื่อนตัวไปได้ซักระยะ รถก็จะจอดตาม หมู่บ้านหรือเมืองต่างๆ
เพื่อรับของจากชาวบ้าน ส่งข้ามผ่านไปยังเวียดนาม ด้วยความเหนื่อยหล้าเราเลยสลบไป:::::::::::
:::::::::::
:::::::
:::::::
::::▲ เสียงคุยกันโหวกเหวกชวนรำคาญ และความสว่างก็เริ่มแหย่ตาของเรา
ผมลืมตาขึ้นมา และหันออกไปนอกหน้าต่างรถ รถจอดนิ่ง นิเราคงมาถึงชายแดนแล้วสินะ
เวลาผ่านไปม่นาน โชว์เฟอร์ก็ตะโกนอย่างไม่มีมารยาทอีกครั้ง

เห้ยยย!!!
เห้!!!!

▲ เค้าพูดภาษาเวียดนามใส่เราอย่างเข้าใจ ถรุย!! เมิงพูดอางกีดด้ายม้ายยยยยย กุฟังไม่รู้เรื่อง
แล้วก็ทำภาษามือสอดคล้องกับคำที่เค้าพูด เราฟังไม่ออกหรอก แต่ก็เดาๆ ได้ว่า
อยู่ชายแดน ต้องทำเรื่องผ่านแดน แสดงว่า จะเอา passport ไปทำเรื่องผ่านแดนให้เราแหงๆ

ไอ่เราก็รีบหาให้มัน และเดินไปตัวเปล่า สุดท้าย มันทำมือไม่ใช่ๆๆๆ ให้เอามาทั้งกระเป๋าเลย
เอ้า อิสราดดดดดดดด ๕๕๕

▲ พวกเราต้องเอากระเป๋าออกจากรถ เพื่อไปนั่งรถคันอื่นที่ไม่ใช่รถคันเดิมครับ
ตอนนั้นเรากลายเป็นสินค้าเต็มตัว เราไม่ต่างอะไรจากผักปลากที่พวกเค้าจอดแวะรับข้างทางเลย
นึกแล้วก็ขำ โชเฟอร์เดินนำ และพาเราไปยังอีกรถคันหนึ่ง พอไปถึง ก็คุยกันอะไรก็ไม่รู้
พร้อมกับยื่นตังให้โชเฟอร์ของรถคันใหม่ แล้วมันก็เดินหนีเราไปเลยครับ

ง่ายสึส ๕๕๕

▲ คราวนี้อิโชเฟอร์คันใหม่ก็บอกให้เราจะรถนี้ไว้ และก็จำทะเบียนไว้ด้วย
เค้าจะไปจอดรอรับเราที่ฝั่งเวียดนาม หลังจากที่เราทำเรื่องผ่านแดนเสร็จ
เราก็เลยใช้กล้อง ถ่ายรูปรถคันนี้ไว้ซะเลย
และนี่ คืนการเริ่มต้นวันที่สองอย่างเป็นทางการ 55555555555

DAY 2
▲  สวัสดีเช้าวันที่สองของทริปอย่างเป็นทางการ และต้องขอบคุณหลายคนที่ติดตามมาถึงตอนนี้ครับ
หลังจากที่เราสะพรึ่งกับคนที่นี่มาหลายเหตุการณ์ ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องทำการ Say Bye ประเทศลาวชั่วคราว
ที่นี่จะเปิดให้ข้ามแดนไปยังเวียดนามได้ตอน 7 โมงเช้าครับ แต่ระหว่างนั้น
เราสามารถไปทำเอกสารรอก่อนได้ เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทางครับ
โดยการยื่น Passport เพื่อนให้เจ้าหน้าที่เช็คก่อนเวลานั้น
จะต้องซื้อตั๋วค่าล่วงเวลาก่อนครับ ราคาคนละ 10,000 กีบ
หลังจากนั้นก็ไปที่ช่องของ ตม. เพื่อยื่น Passport ท้ิงไว้
พอเวลา 7 โมงเช้า เราก็ค่อยเดินมาเอา Passport ของเรา แค่นั้นเอง

▲  ระหว่างที่รอให้เข็มของนาฬิกาไปแตะเลข 7 ก็เป็นการดีที่ผมจะได้ไปชำระล้างรายกายของตัวเองครับ
อย่างน้อยก็ขอแปรงฟันก่อนหล่ะหว่ะ เพื่อนๆ เชื่อมั้ย ต้องแต่ กทม. จนมาถึงชายแดนเวียดนาม
ผมไม่ได้อาบน้ำมา 3 วันแล้ว รวมถึงแปรงฟันด้วย นี่ถือเป็นโชคดีของผม ที่จะได้ แปรงฟันครั้งแรก ในประเทศลาว > <
▲ เข้าใกล้ 7 โมงเช้า ทุกคนบริเวณนั้นโดยเฉพาะชาวเวียด ก็กรูกันเข้าไปที่ ตม. อย่างไร้มารยาท
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเวียด ถึงไม่รู้จักคำว่า “คิว” หรือ “แถว” พวกเค้าทำตัวเหมือน เอิ่ม… นะ
เอาเป็นว่า สุดท้าย พวกเราก็ต้องใช้วิธีเดียวกันครับ คือการ “แทรก” เพื่อความอยู่รอดไปก่อน
จังหวะนั้นเรียกได้ว่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับประเทศเค้าให้เร็วที่สุดครับ
เอาหละ Passport ทั้งสองเล่ม อยู่ในมือเราแล้ว

▲ ทุกอย่าง นอกจากจะแข่งกับเวลา ยังจะต้องมาแข่งกับคนที่นี่อีกครับ ทุกคนรีบจ้วง เพื่อที่จะได้ไป ตม.ฝั่งเวียดเป็นคนแรก
พวกเราก็ใช่ย่อยครับ จ้วงยับเหมือนกัน ระหว่างทางเดินออกจากฝั่งลาว ก็รู้สึกดีครับ
มันเหมือนถูกปลดปล่อยแบบใจหาย นิเรากำลังจะข้ามประเทศ โดยที่ไม่ได้เตรียมเหี้_ อะไรมาก่อนจริงๆ หรอเนี่ย ๕๕๕
คือพวกเราไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ นะครับ ทุกอย่างหน้างานตลอดเลย
แถวบ้านเรียก “ไ ป ต า ย เ อ า ด า บ ห น้ า”

▲ เดินไปไม่นาน ก็ต้องผ่านประตูฝั่งลาวครับ เจ้าหน้าที่ก็จะเช็คความเรียบร้อย ว่าเรามีตราปั้มขาออกแล้ว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย สองเท้าใบเดิม ก็ก้าวไปสู่ผืนดินผืนใหม่ ที่เรียกว่า “เวียดนาม”

▲  หลังจากเดินข้ามฝั่งมายังประเทศเวียดนาม เราก็จะต้องทำเรื่องผ่านแดนตามปกติครับ
แต่ที่นี่ดีตรงที่ว่า ไม่ต้องเขียนบัตรเข้า บัตรออกให้เจ้าหน้าที่
เราเพียงแค่ยื่น passport แล้วจ่ายตังให้เค้า แค่นั้นครับ
ค่าเข้าประเทศเวียดนาม จ่ายเพียง 20,000 ดอง เท่านั้นครับเนื่องจากว่า ทั้งประเทศลาวและประเทศเวียดนาม
การใช้จ่ายแต่ละครั้ง ต้องจ่ายในจำนวนที่เยอะมากๆ บางทีตัวเลขมันเยอะไป จนเราก็เกรงว่า ถ้าจ่ายไป มันจะแพง
บางอย่างต้องจ่ายในหลักแสน ก็ต้องมานั่งคิดเป็นเงินบาท ว่าเท่าไหร่วะ
ทริคการจำง่ายๆ ครับ5,000 กีบ เท่ากับ 20 บาท
20,000 ดอง เท่ากับ 30 บาท

นี่แหละครับ จำแค่นี้พอ เวลาจะจ่ายตังก็ลองๆ คูณๆ หารๆ กันไปครับ
แต่บางครั้งแม่มไม่ไหวจริงๆ หว่ะ ต้องใช้เครื่องคิดเลข ๕๕๕

▲ เมื่อล้อรถหมุ่น เราก็พบว่าเวียดนามน่าอยู่ขึ้นเรื่อยๆ ครับ วิวเขาทั้งสองข้างทาง มีสายน้ำขนานคู่เคียงเรียงกันไป
ฝูงสัตว์น้อยใหญ่ เต็มทุ่งหญ้าที่ไกลสุดลุกหูลูกตา มองไปบนท้องฟ้าก็มีบอกบางหนาลอยเหนือยอดเขา
เมิงจะสวยงามไปไหนเนี่ย… เอาเป็นว่าก็เหมือนตามชายแดนนั่นแหละครับ มีบ้านเก่าๆ ฝุ่นเยอะหน่อย
มีภูเขาใหญ่ๆ โตๆ ที่ไว้ใช้แบ่งเขตแดน และก็มีทุ่งหญ้าเต็มสองข้างทาง มองดูระหว่างทางก็เพลินๆ กันไป

▲ มาดูในรถเรากันบ้างดีกว่า คราวนี้ไม่ใช่รถขนผักอีกต่อไป ขอบคุณสวรรค์บนฟ้า ที่ยังเห็นใจพวกเรา
ให้ตายเถอะ พูดแล้วก็น้ำตาจะไหลรัวๆ ที่ผ่านมา พวกกุนั่งรถเหี้_อะไรกันมาเนี่ย ๕๕๕
ในรถคันนี้เป็น Sleeper Bus ปกติ ที่ทุกคนควรจะได้นั่งได้นอนครับ
ก่อนขึ้นจะมีพรหมแดงให้เช็ดเท้า และก็ต้องเอารองเท้าใส่ในถุงพลาสติกที่แจกไว้
บนรถต้องถอดรองเท้าเดิน ที่นอนมีอยู่สามแถว แถวซ้าย ขวา และกลาง
ที่นอนเป็นสองชั้น มีหมอน มีผ้าห่ม มีทีวีให้ดู มีแอร์หนาวๆ ให้เราได้นอนหลับตาย
เพื่อลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่ผ่านมา

/// ระหว่างเดินทาง ผมเปิดเพลง Lost Start วนมันไปอย่างนั้น วนมันไปจนหลับไหลตามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ///

▲หลังจากนี้จะเป็นเรื่องราวระหว่างทางครับ เพื่อนๆ สามารถข้ามผ่านไปได้เลย▲
แต่ถ้าอยากรู้ทุกช่วงเหตุการณ์ระหว่างทาง ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง Click spoil เลยครับ


▲ ลืมตาตื่นฝื้นมาก็พบว่า เราอยู่ในเมืองเว้ ซะแล้วครับ ความเจริญของบ้านเรือน
ย่อมมาพร้อมกับความแออัดของผู้คน รถยน มอไซต์ บีบแตรใส่กันเป็นว่าเล่น

▲ ระหว่างนั้น ก็ตื่นขึ้นมาดูเมืองเค้ากันครับ ตอนนั้นความตื่นเต้นเริ่มมาแล้ว ที่สำคัญ
เวลาผ่านไปเร็วมาก มั้ง ออกเดินทางมาตั้งแต่ 6 โมงเย็น เพิ่งมาถึงเว้ตอน 11 โมงครึ่ง
ให้ตายเถอะครับ 17 ชั่วโมงผ่านไป ไวเหมือนโกหก

▲ ไม่นานนั้น รถก็จอดเพื่อให้ทุกคนในรถ ได้รับประทานอาหารกันครับ แต่ ไม่ใช่เราสองคน
คือแม่ม ทุกคนได้กินข้าว แต่พวกเราไม่ได้กิน แล้วพอจะสั่งเจือกฟังกุพูดไม่รู้เรื่องด้วย
พวกเราก็เลยต้องอดข้าวมื้อกลางวันวันนั้นไป ทำไงได้หละครับ ก็เราเป็นสินค้าของพวกเค้าอะ T T
อย่าไปคิดมากเลย อีก 2 ช.ม.ที่จะถึง ขอแค่พาเราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยก็โอเคแล้ว

▲ ล้อหมุนออกจากร้านข้าวได้ไม่นาน บรรยากาศข้างทางก้เปลี่ยนไปครับ
ทุกอย่างดูเริ่มสวยงามขึ้น ทั้งภูเขา ทั้งทะเลสาบ ทั้งถนน
ข้างทางฝั่งขวา เป็นรางรถไฟที่ไล่เทียบกับถนนไปเรื่อยๆ ครับ สวยมากๆ
ระหว่างนี้ ก็ชมวิวข้างทางที่ส่องผ่านกระจกรถของเราไปแล้วกันนะครับ : )


▲  เมื่อใกล้ถึงตัวดานัง ก็พบว่า มีเขาลุกใหญ่ลูกหนึ่งขั้นบังถนนเอาไว้
ให้ใต้เถอะครับ ทั้งรถไฟ รถยนต์ จะทำยังไง พอขับเข้าไปใกล้ๆ
เฮ้ยยยยย มีอุโมงค์เว้ยเห้ย เราตื่นเต้นกันมาก ที่ประเทศเราไม่มีแบบนี้
แล้วเพื่อนๆ รู้มั้ยครับว่า… ที่นี่คืออุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ภูเขาที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยหล่ะครับ > <

อุโมงค์หายเวิน (เวียดนาม: Hầm Hải Vân) เป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ภูเขาที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความยาว 6.28 กิโลเมตร เป็นทางเชื่อมระหว่างเมืองดานังกับเมืองเว้ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม

▲ พอเข้าอุโมงค์ ก็จะมีไฟสีเหลืองๆ สลัวๆ สองข้างทางยาวกว่า 6 กิโลเมตรครับ
ในรถเปิดไฟเพิ่มแสงสว่าง ให้กับผู้โดยสาร ระหว่างนั้นเอง ก็มีหนุ่มคนหนึ่ง หันหลังเข้ามาคุยกับเรา
สอบถามความเป็นมาพอสมควร เลยรู้ว่า เค้าเป็นเด้ก ป.ตรี เมืองเวียงจันทร์ ที่มาเรียนที่เวียดนาม
เค้าก็แนะนำให้เราไปนู่นไปนี่ครับ และเราก็ปรึกษาเค้าว่าไปนั้นไปนี่ควรไปอย่างไร
มีสถานที่ท่องเที่ยวตัวไหนน่าสนใจมั้ย ที่คุยกันรู้เรื่องเพราะเป็นคนลาวนะครับ เลยพอสื่อสารกันได้

▲ น้องคนนี้ชื่อ “หล้า” ครับ เราบอกแผนการทุกอย่างของเราให้น้องฟัง น้องกับรับฟัง
และก็พยายามอธิบายว่า ไปตรงนั้นต้องทำอย่างนี้ อะไรบ้าง ยังไงบ้าง และต้องแลกเงินที่ไหน
ส่วนใหญ่ ของใช้ที่นี่ราคาเท่าไหร่ อะไรยังไง ด้วยความที่รู้สึกว่า น้องเค้ามีบุญคุณกับเราเหลือเกิน
เราเลยแลก facebook กันครับ แล้วบอกว่า ถ้าไปเมืองไทยเมื่อไหร่ ให้ติดต่อเรามานะ : )

▲ 19 ชั่วโมงผ่านไป จาก 6 โมงเย็นของอีกวัน ถึงบ่ายโมงของอีกวัน เรียกว่าเดินกันไม่เป็นเลยหล่ะครับ
ก่อนลงจากรถเราก็ต้องอึ้งกันไป เพราะหล้าบอกว่า “ม่ะ.. ข่อยสิพาเจ้าไปแตกเบี้ย (แลกเงิน) เอง”
ให้ตายเถอะครับ อะไรจะใจดีขนาดนี้พวกเรานั่ง TAXI ผ่านความวุ่นวาย และเหล่าแก๊งค์สามล้อที่กำลังจะเข้ามาฟันเราเต็มๆ
สองฝั่งข้างทางเป็นเมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย มอไซต์ขับได้เหี้_ มากอย่างบอกใคร
เสียงบีบแตรอบอวนเคล้าคลุ้งไปกับบรรยากาศที่ร้อนระอุไม่นานนัก รถก็จอด ผมกับหล้า ก็โดนเข้าร้านทองแห่งหนึ่ง ปล่อยพี่ทิมนั่งรถเผ้าของอยู่บนรถ
ในร้านทองก็คือร้านแลกตังค์นั่นเองครับ เราโชคดีที่มากับหล้า เราเลยได้เรทที่ดีหน่อย ไม่ถุกโกงไปมาก
ผ่านไปไม่นาน หล้าก็ให้ TAXI จอดอีกครับ ลงไปเพียงไม่ถึง 2 นาที ก็กลับเข้ามาในรถ
พร้อมยื่นบางสิ่งให้กับเรา

สิ่งนั้นคือ sim มือถือที่เอาไว้ใช้ในเวียดนามครับ ให้ตายเถอะ ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยคิดจะเปิด sim ใหม่ในต่างแดนเลย
ปกติเวลาไปไหน ถ้าหลังหรือไม่มั่นใจ จะถามคนพื้นที่ตลอด แต่นี่มันอัลไลกัน
สิ่งนั้นเป็นการตอกย้ำพวกผมอีกครั้งว่า เมิงมีพระคุณกับกุมากจริงๆ

ระหว่างนั้น รถก็จอดที่หน้าหอหล้า หล้าเดินลงไปที่ฟุตบาทข้างถนน
และบอกว่า ถ้ามีอะไรผิดปกติ คนขับขับแปลกๆ ออกนอกเส้นทาง หรือว่าเรียกเงินเกิน 230,000 don
ให้โทรหาหล้า เด่วหล้าจะได้จัดการให้

คือระหว่างเรานั่งรถไปหอพักหล้า พวกเราได้ปรึกษากันว่า เราจะไปฮานอยกันต่ออย่างไรดี
ด้วยความที่น้องมันเป็นห่วง มันกลัวเราโดนหลอก ก็เลยต่อราคา TAXI ให้
จากดานังไปฮอยอัน คิดราคา 230,000 don ได้มั้ย หล้าได้ต่อรองราคาให้เราเรียบร้อยแล้วครับ T T

ให้ตายเถอะ จะไม่ให้ดราม่าได้ยังไง เราบ๊ายบาย โบกมือหล้า และบอกว่า
เด่วอ๊ายเถิงฮอยอั่น อ๊ายสิโทรหาเด้อ : )

และนี่คือหน้าตาของบักหล้าครับ ปรบมือรัวๆ ให้เค้าเลย ๕๕๕

▲ ขับออกไปไม่นาน คราวนี้ เราก็ต้องใช้ชีวิตตามปกติของ Backpacker เต็มตัวครับ
แต่ดีหน่อยที่มี TAXI ๕๕๕ คนขับ ฟังอังกฤษไม่ได้ เว๊าลาวบ่อเป็น สิ่งที่จะสื่อสารกันได้
คือมือ และมือเท่านั้นครับเพื่อนๆ แต่แล้ว เวลาผ่านไปไม่นาน สิ่งที่เราได้เจอตรงหน้าก็คือ “ทะเล”


สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่โชคไม่ดีเหมือนเรา วิธีการเดินทางจากดานังไปฮอยอันมีหลายวิธีครับ
แต่วิธีที่เราจะแนะนำมี 2 วิธีหลักๆ ก็คือ1. ถ้าไปเยอะ ควรเหมา Taxi ไปครับ จากดานังไปฮอยอัน ตกราคาราวๆ 400,000 don (ประมาณ 600 บาท)
ไปกับ 5 คนก็แค่คนละ 100 กว่าบาทเองครับ สะดวกด้วย ไม่ร้อนอีกต่างหาก แถมใช้เวลาราวๆ 45 นาทีก็ถึงแล้ว

2. ถ้าอยากเป็น Backpacker เต็มตัวก็ต้องนี่เลย นั่ง Bus ครับ ซึ่ง Bus ที่นี่จะออกทุกๆ 30 นาทีครับ
จากดานังไปฮอยอันใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง ราคาถูกจาก TAXI อย่างน่าใจหาย
อยู่ที่ 30,000 don ครับ หรือราวๆ 45 บาทเท่านั้น แต่ข้อเสียคือ ช้า ทำเวลาไม่ได้ คนเยอะ และก็ร้อนครับสำหรับวิธีการอื่นๆ ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเองเลยนะครับ : )

:: สรุปการเดินทางอย่างรวบรัด ::– นั่งจากปากเซ ไปที่ชายแดน ลาว – เวียดนาม
– บริเวณชายแดนลาว – เวียดนาม ต้องรอให้ด่านเปิดให้เข้าตอน 7 โมงเช้า
– เราต้องทำเรื่องออกประเทศลาว เข้าประเทศเวียดนาม
– เราจะต้องเปลี่ยนรถคันเก่า มาขึ้นรถคันใหม่ คันไหนก็ได้ที่ว่างรับผู้โดยสาร
– นั่งรถจากชายแดนเวียดนามสู่ดานัง
– และนั่งรถจากดานังสู่ฮออยอัน

▲ เส้นทางจากดานังไปฮอยอัน จากเหนือลงใต้ ฝั่งซ้ายเป็นทะเล
ฝั่งขวาคือบ้านเมือง ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา เราสนุกสุดขีด ตะโกนโหวกเหวกเหมือนเด็กอีกครั้ง
รถที่นี้จะขับไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ ไม่ว่าถนนจะว่างแค่ไหนก็ตาม
จากดานังไปฮอยอัน ระยะทางราวๆ 32 กิโลเมตร ก็ยิงยาวกันไปเล๊ยยยยยยยย

▲  แต่ไม่นานนัก พี่แท็กซี่ก็จอด และปล่อยให้เราลงสถานที่แห่งหนึ่ง
ผมไม่รู้หรอก ว่าชื่ออะไร แต่มันเป้นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาแวะกันครับ
ที่เมืองนี้ นิยมแกะสลักหิน หรือพลอย และทำเป็นค้า
พวกเราเข้าไปในร้าน ไปดูหินแกะสลัก และเพรชพลอยสวยงามเลอค่า
ทุกชิ้นงดงาม ฝีมือเลิศและรูปสลักหินก็ราคาใช่ได้เลย
ในร้านเขียนป้าย No Photo เราเลยไม่มีรูปมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน

▲  ออกมาจากร้าน ล้อก็หมุนอีกครั้ง ตดยังไม่ทันหายเหม็น รถก็จอด
เอิ่มม… ถึง “ฮอยอัน” แล้วครับ เราก็งง ทำไมมันถึงเร็วจังฟร่ะ ๕๕
แต่ก็ดีครับ เราจะได้มีเวลาไปหาที่พัก กับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนี้กัน
เนื่องจากว่าเราไม่มีแผน เลยไม่มีการจองอะไรก่อนมาทั้งสิ้น
สังเกตุที่มิเตอร์แท๊กซี่ครับ ฮู้วววววววว 500,000 กว่าดองแหนะ ดีนะ ที่บักหล้าต่อให้เหลือ 230,000 ดอง
การเดินทางคราวนั้น ก็เลยสบายกระเป๋าเราไประดับหนึ่ง : )
เราโบกมือลาพี่แท็กซี่ พร้อมรับนามบัตรพี่เค้ามา เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน พร้อมกับคำขอบคุณ

▲ เราเดินตรงไป ตรงไป และตรงไป โดยที่ไม่รู้ว่า ไปไหนไม่รู้ ๕๕๕
รู้แต่ว่า หาที่พักก่อนแล้วกัน พอเริ่มเดินตรงไปเรื่อยๆ จักรยานก็เริ่มมากขึ้น รถก็น้อยลง
นั่นทำให้มั่นใจได้ว่า เราเข้าไกลตัวเมืองแล้วหล่ะ
สองฝั่งข้างทาง เริ่มมีร้านให้เช่ารถ เช่ามอเตอร์ไซต์ และมี hostel รวมถึง guesthouse เรียงราย
ผมเดินตรงเข้าไปที่ Hostel แห่งหนึ่ง สอบถามราคา และเช็คเฟอร์นิเจอ เครื่องทำน้ำอุ่น
แอร์ ทีวีและที่สำคัญ มี free wifi รึป่าว ทั้งหมดนี้ราคาเพียงแค่ 12$
ใช่ครับโคตรถูก แต่กระนั้นแล้ว ด้วยความเคยชิน what’s about 10$ ?YES!

▲ ใช่ครับ เราเข้าพักในห้องนี้ ห้องที่มีทุกอย่างพร้อมให้เราในราคาเพียง 10$ เท่านั้น
หารกันสองคน คืนนี้เราจ่ายค่าที่พักแค่เพียง คนละ 150 บาทเท่านั้น ฟินจุงเบยยยย ๕๕
เราเข้าที่พัก และเช็คของทุกอย่าง ว่าอยู่ในสภาพดีรึป่าว เพื่อป้องกันตัวเองด้วย เวลาคืนห้อง
ในห้องโอเคมากครับ เหมาะสำหรับ Backpacker จิงๆ มีทุกอย่าง ที่จำเป็น
เรารีบนำปลั๊กสามตามาเสียบ และชาร์จแบตทุกอย่างที่เรามี
สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา การมีปลั๊กเสียบให้ใช้ไฟฟ้านั้น คือสวรรค์ชั้นสองเลยหล่ะครับ
เราช่วยกันหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัว sightseeing เมืองนี้ หลังจากที่เราวางแผนเสร็จ
เราก็นอนพัก เอาเรียวเอาแรง พร้อมรอเวลา 5 โมงเย็น เพื่อเดินทางไปแรดกันต่อ…

▲ ระหว่างที่เรานอนหลับพักผ่อน ผมจะมาอธิบายแผนที่ของสถานที่ต่างๆ ให้ฟังกันครับ
เส้นที่แดงที่ลากจากด้านล่างมาด้านบน จนมาจอดอยู่จุด TAXI นั่นก็คือ เส้นทางที่เรามาครับ
เราจอดลงที่จุดจอด TAXI แล้วเดินตามเส้นประสีดำมาเรื่อยๆ จนมาถึงโค้งๆ หนึ่ง
ที่พักที่เราอยู่ อยู่ในส่วนของโค้งในครับ ที่พักชื่อว่า “MINH QUANG” แนะนำให้ไปพักครับ : )
ส่วนในกรอบสีเขียวก็คือ พื้นที่เมืองเก่า รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของฮอยอันครับ

▲ เวลาที่นี่เร็วกว่าไทยราวๆ 1 – 2 นาที ผมเดินลงมาข้างล่างเผื่อสอบถามกับทางที่พักเกี่ยวการเช่าจักรยาน
ค่าเช่าจักรยานที่นี่วันละ 1$ ครับ ๕๕๕๕๕ ได้ใจมากๆ เช่าทั้งวันเสียแค่ 30 บาทเมื่อเราพร้อม เราก็ออกเดินทางครับเราปรึกษากันว่า เราจะปั่นออกไปนอกเมืองก่อน แล้วค่อยกลับเข้ามาในเมืองเก่าตอนเย็นๆ
ที่ปั่นไปนอกเมืองก่อน ไม่ใช่เพราะอะไรนะครับ พวกเราเห็นฝรั่งปั่นออกไปกันเยอะ
เราก็ make sense กันเองว่า มันต้องมีอะไรแน่ๆ
จากแผนที่ด้านบน เราปั่นออกไปทางเดิม ทางที่เราเดินมา ทางที่ TAXI ขับมา

▲ ระหว่างทางโคตรโรแมนติกครับ ออกแนวโบราณผสมผสานความคันทรี่
เป็นเมืองที่เหมาะจะมากับคู่รักมากๆ มองไปข้างๆ เอ้ยยย พี่ทิมนี่หว่า ๕๕๕๕
เราปั่นไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร เอาเป็นว่าฝรั่งปั่นไป เราก็ปั่นตาม
.
.
.
.

▲ เราจอดจักรยานไว้ที่จุดจอด พี่ชาวบ้านเดินเข้ามาเก็บค่าจอด ราวๆ 10,000 don
เรารู้สึกถึงความเหนียวเหนอะหนะ จากพื้นปูน กลายเป็นพื้นทราย
เสียงคนหยอกล้อคุยกันเดินทางผ่านสายลมมากระทบที่หู
เราเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับสิ่งที่คิดไว้ในใจว่ามันต้องใช่แน่ๆ
และมันก็ “ใช่” จริงๆ อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ทะเลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล

▲ ตอนแรกคิดว่าจะแค่แวะมาดู กลับกลายเป็นว่าเราละเลงเวลาไว้ที่นี่จนตะวันตกดินเลยหล่ะครับ





▲ ใช้เวลาพอสมควรกับทะเลฮอยอันครับ สมใจอยากจริๆง ตลอดเส้นทางที่เดินมา
เจออะไรที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ เล่นอะไรในสิ่งที่คิดว่าจะไม่ได้เล่น และทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ทำ
ไล่จากน้ำตก ยันทะเลกันเลยทีเดียว ๕๕๕ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมสนใจมากคือ “เรือ”

ชาวประมงที่เวียดนามที่ห่างออกจากเมืองใหญ่ๆ มักจะทำจากไม้ไผ่สานครับเพื่อนๆ
ชาวบ้านจะใช้เจ้าเรือตระกร้านี่แหละ พายๆ และจับปลากัน
ทะเลบริวเวณนั้นจะไม่มีเรือยนต์ เยอะแยะเหมือนบ้านเราครับ
แต่จะมีเรือตระกร้า หรือเรือไม้นี่แหละครับ สุดๆ ครับ Mood นั้น : )

▲ ผมว่ามันมืดแล้วหล่ะ เราสองคนเดินออกจากชายหาดพร้อมกับความค้างคาใจที่อยากจะนั่งเล่นต่อ
เพราะยิ่งดึก ร้านต่างๆ ริมหาดก็เริ่มมีไฟสลัว เสียงเพลงตื๊ดๆ ก็เริ่มมากัน
นิถ้าไม่ติดว่านอนคืนเดียว นิจะมา Full Moon ที่นี่ซะเลย เพราะวันที่เราไปเป็น Full Moon พอดี > < เราล้างตัวในพื้นที่ที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้ ก่อนปั่นจักรยานกลับไปในเมืองเก่าที่ขนานนามว่า “ฮอยอัน”


▲ นี่มันยังไม่จบวันที่สองของทริปเลยนะครับเพื่อนๆ รู้สึกมั้ยว่ามันยาวนานมาก
ใช่ครับ มันยาว เรื่องราวที่ผมกับพี่ทิมได้ไปเจอมันมีหลายเรื่องจริงๆ
นิขนาด ลบเรื่องราวบางเรื่องและตัดความทรงจำบางอย่างออกไปได้แล้ว
เพราะเธอคนเดียว ที่ทำให้ความรักาของฉั… เอ้ยยยยยย!! เมิงจะบ้าหรอ รีวิวต่อเดะ น้องเค้ารอ

▲ ช่วงกลางคืน จะเป็นช่วงที่เมืองเก่าอย่าง “ฮอยอัน” สวยและมีเสน่ห์มากๆ ครับ
ให้นึกถึงตลาดคนเดินเชียงใหม่ ถนนคนเดินปาย บรรยากาศคล้ายกัน
แต่ต่างกันตรงที่ ที่นี่คือเมืองมรดกโลก และไม่มีใครใช้ภาษาไทยครับ
ความท้าทายกับความซิบหาย คล้ายมีด้ายบางๆ คั้นอยู่
เราใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่น ใช้ คำว่า Night Life ให้เต็มที่ที่สุด เท่าที่เราจะทำได้

▲ เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่กันครับ ทั้งอาหารที่แปลกตา การใส่เสื้อผ้าที่แปลกไป
ประเพณีที่แปลกใหม่ ทุกอย่างธรรมรงค์ไว้อย่างไม่เปลี่ยนแปลงโพ๊งงงง!!!




เราได้ยินเสียงเหมือนของแตก และเหมือนจะมีเสียงคนโหวกเหวก ไม่มั่นใจว่าเชียร์หรืออะไรกัน
เข้าไปใกล้ๆ เห็นคนล้อมวงกันยกใหญ่ ทั้งตบมือ ทั้งส่งเสียงเชียร์ เค้าทำอะไรกัน!!!

▲ เราได้ไปเจอการละเล่นชนิดหนึ่งเข้าแล้วหล่ะ ครับ เกมส์นี้แถวบ้านเราเรียก “ปิดตาตีหม้อ”
พอเอามาเล่นที่นี่รู้สึกทุกคนจะดูสนุกและมีชีวิตชีวากันทีเดียว เป็นอีกสีสรรค์หนึ่งของเมืองในช่วงเย็น

▲ ฮอยอันเป็นอีกเมืองที่มีคนมาถ่าย Pre – Wedding กันเยอะมาก ช่วงที่เราไปเจอประมาณ 3 คู่ได้ : )

▲ รู้สึกว่าการมีแบ๊งค์ Dollar สามารถทำให้เราใช้จ่ายได้ง่ายขึ้นครับ
เวลาจ่ายก็คิดคร่าวๆ ว่าเราพอใจกับราคาที่จะจ่ายรึป่าว ถ้าโอเค ก็จ่ายไป
แต่ถ้าจะให้ดีสุดๆ คือจ่ายเป็นเงินเวียดครับ แต่ก็ลำบากเรานิดหน่อย ๕๕๕

▲ ไม่นานก็ต้องจอดแวะดื่มด่ำบรรยากาศแบบนั่งชิวๆ บ้าง
เรานั่งชิวลมชมวิวมองดูผู้คนและบรรยากาศในเมืองนี้อย่างไร้กังวล ไร้ความทุกข์โดยสิ้นเชิง
เมืองอะไรก้ไม่รู้ น่าอยู่ซิฟหายเบยยยย ระหว่างที่สั่งอาหารก็นั่งชมวิวไปเรื่อย
อร๊ายยยยยยยย ชิวโพ๊ดดดดดดดดดดด พี่น้องเอ้ยยยยยยยยย > <


▲  นี่เป็นอาหารมื้อแรกของเราในเวียดนามครับ



▲ คนนี้รู้สึกจะเป็นคนจีนครับ รักแท้พี่ทิมครับ ผมไม่เกี่ยว ๕๕๕
(ผู้หญิงไรไม่รู้ น่าร๊ากกกกกกกก อิอิ)


▲ ช่วงที่เราทานข้าวอยู่ที่ร้านนั้น ก็มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับน้องๆ สองคนนี้ครับ
เราคุยกันเพลินเลย น้องเค้าก็ถามนู้นถามนี่ เราก็เออดีมีเพื่อนคุยด้วย
ก็ถามเรื่องต่างๆ ที่เราสงสัย คุยกันถูกคอดีครับ แต่คุยไปซักพักน้องเค้าก็ทำหน้างง
แล้วก็ตบหน้าผมว่า “you all should study english more” พ่อง!!! ตบหน้ากุแรงไปนะ
ผมก็คิดในใจ เมิงหนิ speak ดีตายห่าเบยยย น๊าาาา ๕๕แต่เอาเป็นว่า ต้องปรองดองครับ ก่อนกลับเลยแลกเฟสและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะเลย ฮี้ยยย > <
▲ มื้อนี้เรารวยมั้ยครับ จ่ายเป็นแสนนนน ๕๕๕

▲ เรานั่งอยู่ร้านนั้นจนถนนคนเดินปิดครับ บริเวณเมืองเก่าและร้านอาหารที่ถนนคนเดิน
จะปิดเวลา 21.00 น. ยังไงถ้าเพื่อนๆ ไปก็วางแผนดีๆ นะครับ
พวกเราได้สอบถามน้องๆ ที่บอกให้เราไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม
น้องๆ เค้าก็แนะนำให้ไปอีกฝั่งหนึ่งครับ ที่สำคัญ ใจดีปั่นนำทางพวกเราไปด้วย ๕๕

▲ แหล่งท่องราตรี นั่งเป่าปี่ตีกลองของเมืองนี้จะอยู่ริมแม่น้ำทั้งสองฝั่งเลยครับ
ยังไงลองดูแผนที่ด้านบนประกอบนะครับ ผมตีกรอบเอาไว้อยู่
พวกเราปั่นจักรยานไปจนถึงบริเวณนั้น และก็ร่ำลาน้องๆ ทั้งสองพร้อมคำขอบคุณ

▲ โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ แต่นี่มันอัลไลครับ นี่มันอัลล๊ายยยยยยยยยยยย ๕๕
บรรยากาศที่นี่มันเป๊ะมาก มันใช่ มันได้ มันต้องกลับมาอีกครั้งแน่ๆ ๕๕๕


▲ ระหว่างที่กำลังตะเลิดกับความงดงามยามค่ำคืนของที่นี้ สายตาก็เหลือไปเห็นน้องๆขายกระทงอยู่
ใช่แล้ว เป็นการดีที่เราจะเอาประเพณีบ้านเกิดเรามาเผยแพร่ ให้ทั้งคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติได้รู้
เราร้องเพลงลอยกระทง พร้อมกับรำวงชวงช่อกัน นักท่องเที่ยวต่างหยุดดู และชื่มชมในความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย
โอ้ว มาย ก๊อด ทั้งหมดนี้ ผมโม้ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕

เอาหล่ะ กลับมาที่เดิม เราซื้อกระทง ราคา 10,000 don
อธิฐานและขอพรก่อนปล่อยมันลงไปเหนือผิวน้ำ
พร้อมกับคำพูดในใจว่า “กุพร้อมแล้วสำหรับคืนนี้”



▲ ถ้าเปรียบกับการละเล่น ชีวิตเราคืนนั้นเหมือนการเล่นเก้าอี้ดนตรี
เมื่อเพลงจบปั๊บ ก็ต้องรีบหาเก้าอี้นั่ง เรานั่งชิวอยู่แถบนั้นไปเรื่อยๆ
นั่งร้านไหนก็สั่งคนละขวด พอหมดขวดก็เปลี่ยนร้าน
หมดอีกขวดก็เปลี่ยนร้าน หมดอีกขวดก็เปลี่ยนร้าน วนมันไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกว่า “กรี่ม”

:: เพื่อนๆ ครับ ผมไม่รู้จะบอกเพื่อนๆ ยังไงดี แต่เอาเป็นว่า มาเหอะครับเมืองนี้
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าเพื่อนๆ จะเคยไปเที่ยวประเทศไหนมาบ้าง แต่ถ้าลองได้มานอนที่เมืองนี้ซัก 1 คืน
ผมเชื่อว่า เพื่อนๆ จะถูกตราตรึงด้วยความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลือน…

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::;

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงที่ 2 :::
(คิดเป็นรายหัวเลยครับ)

*** ก่อนเอื่น เราขอเทียบราคาค่าใช้จ่ายให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะครับ ***
5,000 กีบ = 20 บาท (ค่าประมาณ)
20,000 ดอง = 30 บาท (ค่าประมาณ)

– ค่า Taxi คนละ 175 บาท
– ค่าที่พัก 150 บาท
– ค่าเช่าจักรยาน 30 บาท
– เฉลี่ยค่ากินกับค่าเมาตกคนละ 300 บาท

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงแรก รวม 3,390 บาท :::

DAY 3
▲ สวัสดีเช้าวันที่ 3 ของทริปครับ เรื่องเมื่อคืนคล้ายว่าฝันไป ๕๕
เราสนุกนอนดึกกันเท่าไหร่ แต่ก็ตื่นเช้า ลุกขึ้นมาเพื่อมาชมเมืองฮอยอันในเวลาแบบนี้ครับ
ช่วงเช้ารถจะเยอะ เสียงแตรจะกังวาล เต็มไปด้วยจักรยานและรถยนต์
ผู้คนต่างเร่งรีบที่จะไปทำงาน และเรียนหนังสือ เราปั่นชมเมืองไปรอบๆ



▲ ใช้เวลาราวๆ 30 นาที เราก็มาหยุดที่ร้านๆ หนึ่งครับ อยู่ดีๆ ก็อยากหยุดที่นี่ เพราะร้านน่านั่งมากครับ
ร้านนี้ชื่อ Google Cafe อยู่บริเวณติดกับสี่แยกเลย เราจะได้นั่งอยู่กับที่ แล้วดูผู้คนใช้ชีวิตกัน
เราสั่งกาแฟมาคนละแก้ว ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของกาแฟที่ลอยเคล้าคลุ้งมากระทบปลายจมูกของเรา
เราค่อยๆ จิบกาแฟอุ่นๆ ท่ามกลางบรรยากาศในเมืองมรดกโลก รสชาติของกาแฟได้ใ…. หยุด!จริงๆ เราทั้งสองไม่ได้สั่งอะไรแบบนั้นหรอกครับ ผมสั่งชาร้อน ส่วนพี่ทิมก็สั่งกาแฟร้อนเหมือนกัน
เราสั่งไป เค้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง เมนูก็เป็นภาษาเวียดนาม กุอ่านไม่ออกครับ สุดท้าย ก็แค่ยกนิ้วชี้ให้ไป
ประมาณว่า เอามา 1 สรุป ก็ได้ดื่มด่ำกับแกแฟนเย็นตั้งแต่ตอนเช้าเลย สีสสสสส!!!

▲ เห้ยเด่วววว กลับกลายเป็นว่า Unseen แห๊ะ เรากชอบกาแฟแก้วนี้มากครับ
บ้านเราไม่มีขายแน่นอน ที่นี่จะใช้น้ำแข็งเป็นก้อนสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ก้อนหนึ่งเลย
ไม่ใช่น้ำแข็งเกล็ดๆ หรือเป็นก้อนเล็กๆ เหมือนบ้านเรา
ก่อนเสิร์ฟ เค้าก็จะใส่นมข้นไว้ข้างล่างพอประมาณ แล้วใส่น้ำแข็งหนึ่งก้อนนั้นไป
สุดท้ายเติมแกแฟแก่ๆ มาให้เรา แค่นั้น ไม่ต้องคนอะไรทั้งสิ้น ไอเดียนี้เจ๋งมากครับ ผมชอบ

▲ ที่ร้านมี free wifi ครับ

:: เอ่อ ลืมบอกไปเลย “ทั้งเหมืองของเมืองฮอยอัน มี Free wifi ให้เล่นทั่วเมืองครับ อิอิ” ::

▲ระหว่างที่นั่งจิบกาแฟ พรางมองวิถีชีวิตของชาวฮอยอัน เราก็หาข้อมูลท่องเที่ยวในฮอยอันต่อครับ
คือเราไม่รู้ว่า ถ้ามาฮอยอันต้องไปที่ไหนอีก บังเอิญไปเจอ “สะพานจีน” ครับ เห็นเป็นรูป
อยากไปครับตอนนั้น คือเราวางแผนที่จะออกฮอยอันไปดานังตอน 9 – 10 โมงเช้าครับ
เราเหลือเวลาไม่มาก ถ้าจะให้มาค้นหาทางไปสะพานจีนนั้นเอง ก็กลัวเสียเวลา
มองซ้ายมองขวาไปเจอรุ่นราวคราวเดียวกัน เลยเค้าไปทักซะเลย : )

▲ ช่วงแรกๆ ก็ถามเรื่องสำคัญของเราครับ คุยไปคุยมากลายเป็นเพือนกันเฉยเลย
จากนั่งคนละโต๊ะที่ติดกัน ก็ย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกัน เราคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ
แลกเปลี่ยนแนวคิดให้กันและกัน สุดท้าย ก็แลกเฟส เพื่อหวังว่าซักวัน เราจะได้ทดแทนบุญคุณเพื่อนคนนี้

(แผนที่แสดงสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองฮอยอันครับ)

▲ เราไปต่อเรื่อยๆ แดดก็เริ่มแรงขึ้นครับ ที่ฮอยอันช่วงกลางวัน แดดค่อยข้างแรงพอสมควร
คราวนี้ จุดหมายที่เราจะไปก็คือ บริเวณ “สพะานจีน” ครับ หรือสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บด้วยการ search ว่า
Chinese Bridge หรือ Japanese Bridge ก็ได้





▲ หลังจากชมความงามในเมืองฮอยอันอย่างคิดว่าเต็มอิ่มแล้ว เวลาก็เข้าใกล้ 9 โมงเช้า
เราปั่นหมากลับที่พัก เก็บข้าวของเตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อไปดานัง ระหว่างนั้น
เมสเซจเฟสบุ๊คก็เด้งขึ้น… ” Hoy can you go to bus station? ” และ…


▲ เพื่อนที่เราเพิ่งนั่งเม้าส์กันที่ Google Cafe ทักมาครับ และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ
สรุปคุยกันคร่าวๆ เค้าบอกให้เราเดินไปที่สถานีขนส่งครับ เพราะเราอยู่ไม่ไกลจากที่นั้น
ระยะทางราวๆ  2 km หลังจากเก็บข้างของ Check out เสร็จก็เดินไปเลยครับ กลัวตกรถ

▲ ระหว่างทางไปเจอเค้าขายอะไรไม่รู้ราคา 10,000 don อยากลอง ก็เลยซื้อมากินครับ

มาๆ เดินต่อๆ
.
.
.
.

▲ เมื่อเราไปถึงเราก็พบว่า Tuyet โบกมือเรียกเราอยู่ ให้ตายเถอะ เธอมาจริงๆ ครับ
ระหว่างนั่งรถอรถ เราก็เลยสั่งน้ำท่ามาเลี้ยงเธอ เธอก็บอกไม่เป็นไรอยู่นั่นแหละ
แต่อย่างว่าหละครับ ถ้าเป็นเรา เราก็อยากเป็นคนจ่ายให้เพื่อนต่างชาติ
เธอคุยราคาให้เราได้เดินทางในราคาเดียวกับคนท้องถิ่นครับ
ปกติ ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว เมย์โดยสารขาเข้าดานังจะเก็บเราในราคา 70,000 don ครับ
แต่เธอช่วยพูดกับกระเป๋ารถเมย์ให้ ว่าเราเป็นเพื่อนเธอ เก็บค่ารถเท่ากับคนพื้นที่คือ 30,000 don
เราไม่มีวันลืมเธอแน่นอนครับ ถึงเวลาที่เราต้องร่ำลา… เราขึ้นรถ โบกมือบ๊ายบาย
และหวังว่า ซักวัน เรากับเธอจะได้พบกันอีกในไม่ช้า…
.
.
.
.
.

▲ ล้อหมุนออกไปไม่ถึง 2 นาที ความมันส์ก็มาเยือน…


▲ เมล์กระเป๋าเดินเข้ามาตีสนิทกับเรา เราคุยกันเป็นภาษาไทย ถรุ้ย!!! เค้าพูดไทยไม่ได้
เราคุยกันเป็นภาษาอังกฤษครับเพื่อนๆ เมย์กระเป๋าที่นั่น speak ใช้ได้เลยทีเดียว คุยไปคุยมา
ผมว่าถึงเวลาต้องมาลุ้นกันแล้วหล่ะ ว่าจะได้ราคาตั๋วขาไปในราคาที่ Tuyet บอกกับเรารึป่าว- How much?
—– 50,000 don
– OMG my friend told me just 30,000 don
—– No No it’s 50,000 don but ahh! 40,000 don
– No just 30,000 (freshy smilessss)
—– (dampy smilesss) OK▲ นึกแล้วก็ขำ นิขนาดเพื่อนมาเผ้าถึงหน้าท่ารถ ต่อราคาคุยกันเห็นหน้าเห็นตา
ยังจะมาขึ้นราคาหน้าดื้อๆ บนรถให้เราเฉย ๕๕๕ เอาเป็นว่า เดินทางต่อกันเลย

▲ การเดินทางจากฮอยอันไปยังดานัง ถ้านั่งบัสสาย อย่างพวกเรา จะใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงครับ
ระหว่างทางที่ล้อหมุน เราเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา เราระริกระรี้เหมือนไม่เคยนั่งบัสมาก่อน
ไม่ทันไรเราก็เจอกับเพื่อนใหม่ เธออายุ 20 ปี เธออยู่ ฮานอย แต่กลับบ้านมาฮอยอัน
เราใช้เวลาคุยกันนานพอสมควร สนุกดีครับ เธอน่ารัก และก็ให้คำปรึกษากับพวกเราดีมาก
เธอบอกว่าปีหน้า เธอจะไปภูเก็ต ประเทศไทยด้วยหละ ถ้ามีโอกาส คงได้พาเธอไปเที่ยวแน่ๆ : )
นั่นไงครับ เธอคนนั้น ที่เพิ่งลงไปจากรถ ลองมองออกไปนอกหน้าต่างสิ ^ ^

▲ ไม่แปลก หากเราจะแลก facebook กับเธอครับ อิอิ : )




▲ เราใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ในการเข้ามาในเมืองดานัง และสถานที่ที่เรากำลังจะไปก็คือ “BANA HILLS”
ให้ตายเถอะครับ เราศึกษาข้อมูลมาจากฮอยอัน พบว่า ห่างจ่างเมืองดานังเพียงแค่ 36 กิโลเมตร เท่านั้น
แต่เราก็ต้องตรงเข้าไปใน บขส. เพื่อไปจองตั๋วขากลับ ดานัง – ปากเซ

(สำหรับช่วงนี้เรื่องมันยาวมากขอข้ามนะครับ)

เอาเป็นว่า คุยไปคุยมา เราได้ตั๋วขากลับราคา 700,000 don โอ้ว มาย ก๊อดดด!!!
(ตั๋วจะเป็นใบสีเหลือง ที่ปั๊มราคาไว้แล้วว่า 700,000 don ถ้าตามที่ผมเข้าใจนะ เค้าจะขายให้เฉพาะชาวต่างชาติ)
(ส่วนคนเวียดนามหรือคนลาวไม่ต้องซื้อตั๋ว ค่อยไปจ่ายในรถ ราคาตามระยะทางที่เดินทาง หากออกจากดานัง จ่ายเพียง 500,000 don)

/// แม่มมมม ขี้โกง ฮือๆๆๆ เงินยิ่งไม่มีอยู่ ///

▲ เข้าเรื่องๆ มาถึงการเดินทางจากดานังไป Bana hills กันบ้าง

การเดินทางก็มีหลายมีวิธี แต่วิธีที่เราคิดว่าดีที่สุดตอนนั้นคือ เช่ามอไซต์แล้วขับขึ้นเขาไปครับ
ทว่า… เมืองดานัง หาร้านเช่ามอไซต์ยากมาก ไปถามวิน ก็จะเก็บเรา คนละ 150,000 don
ถ้าจะไป bus ก็กลัวว่าจะไม่ทัน เพราะเราถึงดานังราวๆ เที่ยงครึ่ง
เอาไงดี พยายามหาหนทางอยู่นาน สรุปก็คิดถึง TAXI

▲ เราต่อราคา TAXI จาก ดานังไป BANA HILLS ได้ในราคา 300,000 don
เราคุยกันและปรึกษาถึงเรื่องราคา โอเค เราพอใจกับราคานี้ จากนั้นเราก็ขนกระเป๋าขึ้นรถแล้วเดินทางกันต่อ
เราพบว่าตังค์ในกระเป๋าเราเหลือไม่มากแล้ว หลังจากนี้ เราจะต้อง Safe Cost ให้ได้มากที่สุด T T

▲ เรามาถึงที่ขายตั๋วขึ้น Bana hills อย่างทุรักทุเรา พร้อมกับเจ้าคนขับรถที่ตื้อให้เรากลับด้วย เวลาที่เราลงมา
จะบ้าตาย เพื่อนๆ ต้องเข้าใจเวลาถูกตื้ออะครับ คืออารมณ์ประมาณว่า เมิงมากับกุ ขากลับเมิงกลับกะกุนะ เด่วกุรอ
อะไรทำนองนั้น ซึ่ง พวกเรารู้ตัวดีครับ ว่าตอนนั้น เราไม่มีเงินเหลือแล้ว…

▲ เราตัดสินใจซื้อตั๋วขึ้น bana hills ในราคาสองคนรวมกันกว่า 1,000,000 ดอง
เพราะคิดว่าคงไม่ได้มาบ่อยๆ หรอกมั้ง มาทั้งที ก็ต้องไปเห็นด้วยตา ว่าที่นี่ คือ “bana hillls”

หลังจากที่เราจ่ายเงินก้อนโตก้อนนั้นไป เราก็แทบไม่มีเงินจะซื้อข้าวกิน ไม่มีเงินเล่นสวนสนุกอะไรทั้งนั้น
มีเพียงเศษเงินที่ซื้อได้เพียง hot dog กินกันคนละชิ้น T T

เอาหล่ะ ชีวิตต่อจากนี้ คือดราม่าล้วนๆ ไม่มีบริษัทไหนค่ายไหนมาผสม
ชีวิตของเราเหมือนคนเร่รอ่น ที่ขั้นไปติดอยู่บนยอดเขาที่ชื่อว่า ” B A N A  H I L L S ”


▲ ก่อนที่จะเข้าไปใน Zone ทางขึ้นเขา เค้าจะมีตู้โชว์สายสลิงกับ ตัวล๊อคกระเช้าครับ
เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว สองฝั่งซ้ายขวา จะเป็น Guiness Book ปี 2009 ครับ
เพื่อยืนยันว่า กระเช้าแห่งนี้ เป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกจริงๆ(ตอนนี้ผมยังสงสัยอยู่นะ ว่าสรุป ตัวที่ยาวที่สุดในโลก คือที่จีน หรือที่นี่ ๕๕)

▲ เราเดินไปเรื่อยๆ ผ่านการตรวจบัตร ตรวจร่างกาย และก็เดินไปเรื่อยๆ ให้ตายเถอพระเจ้า
นี่มันบันไดขึ้นไปสวรรค์หรือยังไง สูงซิบหายยยยยยยยยยย!!! > <

▲ ความสิ้นหวังมันหมดสิ้นไป ทันใดที่เราเห็นกระเช้า บ้าไปแล้ววววววว!!!
นี่คือครั้งแรกของพวกเราทั้งสองคน สำหรับการขึ้นกระเช้า
ที่สำคัญไปกว่านั้น ที่นี่คือกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลก ที่ถูกบันทึกลงกินเนสบุ๊คในปี 2009
เอาหล่ะ 15 นาที ต่อจากนี้ มันคือความสดใหม่ ของหนุ่มไทยในเวียดนามครับ ๕๕๕๕





▲ เป็น 15 นาทีที่เร็วมากๆ ครับเพื่อนๆ เราสองคนแทบจะไม่ได้นั่งเลย เราตื่นเต้นกับวิวที่เห็น
ตั้งแต่กระเช้าเริ่มเคลื่อนตัว พวกเราทั้งสองก็ผลัดกันอัดวีดีโอ ถ่ายรูป และคุยฟุ้งขมุงขวุ่นขวัน
กระเช้าเคลื่อนตัวไปอย่างเนิบๆ และปลอดภัย ผ่านไปไม่ไกล ก็มีน้ำตกที่ลาดลงเป็นสาย ให้เราได้กลับมารู้สึกสดชื่นอีกครั้ง
มองไปรอบๆ ก็เจอแต่ภูเขา และป่าที่อุดมสมบูณ์ เลื่อนสายตาไปหน่อย ก็จะเห็นตัวเมืองดานังทั้งเมือง
ยิ่งสูง ยิ่ง ชัด ยิ่งสูง ยิ่งหนาว และไม่ทันเรา เราก็เจอปากทางเข้าปราสาทที่ขนามนามว่า “บานาฮิลล์”

▲ ทะยานจากพื้นดานัง สู่ขอดเขาบานาฮิลส์ ที่มีความสูงถึง 1,467 เมตร
สถานที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นปราสาทที่มี 4 ฤดูในวันเดียว อุณหภูมิเฉลี่ยข้างบนจะอยู่ที่ 20 – 25 องศา
เป็นที่ตากอากาศที่ดีที่สุดในเวียดนามกลาง (ภาคเหนือคือซาปา และภาคใต้คือดาลัท)
ระหว่างทางเราจะได้ชมความสวยงมของน้ำตก Toc Tien และลำธาร Suoi no (ในฝัน)
ชมวัดลินห์อึ๋ง(วัดพระใหญ่บนเขาบานา) สมัสการพระพุทธรูปปูนขาวสูง 27 เมตร
กระเช้าไฟฟ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 2007 และได้รับการบันทึกจาก guinness world
ว่าเป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม ปี 2009 โดยมีความยาว 5,042 เมตร
ที่สำคัญ ข้างบนนั้น ยังมีสวนสนุกพร้อมเครื่องเล่นมากมาย บนยอดเขาบานาแห่งนี้อีกด้วย อิอิ


▲ เราใช้เวลาที่เหลือชมวิวปราสาท และวิวเมืองดานังจากยอดเขาบานา
ข้างบนตอนที่เราขึ้นไป อุณหภูมิต่ำลงเรื่อยๆ อากาศกำลังดี เราเดินถ่ายรูปเล่น
จนเหนื่อย และนอนพัก ท่ามกลางปราสาทสี่ฤดูไปในที่สุด…




▲ ระหว่างที่ผมหลับไป พี่ทิมก็ตระเวรถ่ายรูปถ่ายวีดีโอไปเรื่อยๆ ครับ แต่ไม่ทันไร
เมื่อร่างกายถูกชาร์จแบตเต็มที่ ผมก็ตื่นขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสม
5 โมงเย็นบนหุบเขาบานา บรรยากาศมันช่างดีจริงๆ ครับเพื่อนๆ

▲ ข้างบนจะมีเครื่องเล่นสนุกๆ มีร้านอาหาร มีปราสาท มีของซื้อของขาย
ที่สำคัญ มี free wifi ให้เราได้ check in และ update แบบ real time กันอีกด้วย ๕๕๕
ตารางกระเช้าที่นี่ จะออกตลอดเรื่อยๆ เลยครับ ใครอยากลงตอนไหนก็ลง
ยกเว้นหลัง 5 โมงเย็น จะออกทุกๆ 1 ชั่วโมงครับ
เราปรึกษากันว่า เราจะลงไปข้างล่างตอน 1 ทุ่ม
ระหว่างนี้เราเลย เดินเล่น เก็บบรรยากาศให้ได้มากที่สุด
เราเดินเล่น เดินเล่น และเดินเล่น….





▲ ระหว่างที่เราถ่ายรูปเล่นกันไป สลับนั่งพักเล่นเนตฟรี เราก็มาปรึกษากัน ว่าเราจะทำอย่างไรดี
เพื่อที่จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด คืนนี้เราจะอยู่เวียดนามเป็นคืนสุดท้าย
ต้องเอาตัวรอดให้ได้ อยู่รอดให้ได้ ด้วยเงินที่มีจำกัด เมื่อคิดถึงอนาคตที่จะต้องกลับไปปากเซ▲ หลายตัวเลือกที่เราคุยกัน ไม่ว่าจะโบกรถ นั่งรถบัส ไม่นอนโรงแรม ไปนอนที่สถานี หรือจะยอมสีเงินนั่ง taxi กลับ
ตัวเลือกส่วนใหญ่ที่เรายกขึ้นมาในองค์ประชุมเล็กๆ ของพวกเราสองคน ล้วนเป็นวิถีของ Backpacker จริงๆ ๕๕
ทว่า… เราคงต้องไปตายเอาดาบหน้าจริงๆ แหละน่ะ เมื่อเช็คดูเงินที่เหลือจากกระเป๋าแล้ว มันเหลือไม่มากจริงๆแต่ให้ตายเถอะ…

ความกังวลมันสูญหายไป เมื่อแสงอาทิตย์ลับตาลง
ภาพที่เราเห็นตรงหน้า มันคงเป็นปราสาทสี่ฤดูบนสรวงสวรรค์สินะ….


▲ แต่เชี่_แล้ว พอมองลงไปข้างล่างทำไมกระเช้ามันหยุดหมุนหละ ทำไมไม่มีการเคลื่อนไหวเลย
พวกเรารีบวิ่งออกจากปราสาทอย่างสุดชีวิต เพื่อไปเช็คว่าเราสามารถลงไปข้างล่างได้ ถ้ากระเช้าปิดแล้วจริงๆ
แผนที่เราวางไว้ก็ต้องเจ๊ง ตั๋วที่เราซื้อไว้ก็ต้องเสียเปล่า ตั๋วแพงด้วย เงินก็ไม่ค่อยมี เราวิ่งอย่างสุดชีวิตจนไปถึงที่ขึ้นกระเช้า…▲ ขอบคุณพระเจ้า เจ้าหน้าที่บอกว่า อีก 15 นาที กระเช้าจะทำงานอีกครั้ง เพื่อนๆ ครับ กระเช้าขึ้นลงบานาฮิลท์ในช่วงเช้า
จะเดินเครื่องตลอดเลยครับ เพราะมีนักท่องเที่ยวขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา แต่เวลาตั้งแต่ห้าโมงเย็นเป็นต้นไป
กระเช้าจะปล่อยขึ้นลงเป็นรอบครับ ห่างกันรอบละ 30 นาที ถ้าใครไปไม่ต้องตกใจนะครับ แต่รอบสุดท้ายคือเวลา 1 ทุ่ม
และเราก็ลงมากันได้รอบสุดท้ายนั่นเอง ๕๕๕▲ หลังจากนี้จะเป็นวิชา backpacker ครับ อย่างที่บอก ว่าเราไม่มีตังค์พอที่จะนั่ง taxi กลับหรอก เราต้องอาศัยการโบกรถกลับครับ
ด้วยไหวพริบของผมกับพี่ทิม พวกเราเลยโบกรถตั้งแต่ยังไม่ถึงถนนเลย ๕๕ พวกเราสังเกตดูผู้คนที่จะลงไปข้างล่างกับเรา
ดูว่าพวกเขามากันเป็นกลุ่ม หรือมากันเป็นครอบครัว และดูว่าหน้าตาเค้าใจดี พอที่จะให้เราติดรถเข้าดานังไปกับเค้าด้วยรึป่าว

เหะๆๆ แล้วเราก็เจอตัวแล้วครับ : )

▲ ผมเจอพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่ง กำลังคุยกันอยู่ ผมคิดในใจไว้เลยว่า เราต้องนั่งกระเช้าตู้เดียวกันนะ สาธุๆๆๆ

ใช่ครับ คำร้องขอของผมเป็นจริง ผมกับพี่ทิมขึ้นไปนั่งบนกระเช้าได้ชั่วครู ไม่ทันไร ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้ก็เข้ามานั่งด้วย
ผมมองหน้ากับพี่ทิมและคิดในใจว่า “เมิงเสร็จกุแน่” ๕๕๕

▲ ระหว่างขาลง เราจะเห็นเมืองดานังสว่างไปทั้งเมือง แต่เสียดายที่ถ่ายภาพมาให้ชมไม่ได้ ถ่ายมาภาพเสียหมดเลย
เราทำท่าชื่นชม และตื่นเต้นกับวิวที่ได้เห็น เผลอๆ หน่อยก็ชักชวนพี่ๆ เค้าคุยเล่น ว่ามาจากไหนอะไรยังไง ลูกกี่ขวบแล้ว และก็ทำท่ารักเด็ก ๕๕๕
(จริงๆ แม่มไม่ชอบเด็กเบยยยย!!!) เอาหล่ะ คุยไปซักพัก เด็กอึใส่ผ้าออม ไอ่เราก็ยิ้มนะ don’t worry ไม่เป็นไร กุจะไปกับเมิง กุยอม!!! ๕๕๕
ยิ้มไปยิ้มมา สนทนาภาษาที่ไม่ค่อยจะเข้าใจกันเท่าไหร่ ไม่นาน ก็เข้าเรื่อง….

▲ where are you going, are you going to the city?
:: Yes
▲ So can we go with you, can you pick us up to Danang?
::  ——————— (ทำท่าคิดอยู่นาน)
:: __________
:: ——
::
::

:: Yeah
▲ Ohhhh!!! Thanks so much by the way you can drop me any where near the city Thanks so much : )

เอาหล่ะเรารอดตายแล้ว เย่เย่เย่เย่ > <
▲ ช่วงนั้นแทบจะไม่ได้ถ่ายรูปเลยครับ ทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด พอกระเช้าลงจอด เราก็เดินออกมา และเดินตามตูดพี่ๆ
เค้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าบานาฮิลส์… ให้ตายเถอะ กลุ่มแท็กซี่นั่งรอกันเป็นแถว และมีคนขับแท็กซี่ที่เรานั่งขามาอยู่ในนั้นด้วย
ระหว่างที่เรากำลังเดินตามตูดพี่เค้า แท็กซี่คนนั้นก็เข้ามาหาเรา จะช่วยเรายกกระเป๋าแล้วไปที่รถ เราก็บอกว่า

“ไม่! เราบอกคุณแล้วว่าไม่ต้องรอเรา เราบอกคุณไป 2 – 3 รอบ แล้วว่าไม่ต้องรอ” แล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆ

หลังจากนั้นเหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นเร็วมาก กลุ่มแท็กซี่กว่า 10 คนเดินเข้ามาที่ผมพี่ทิมและครอบครัวนั้น
ดูเหมือนเราจะมีปัญหากันแล้วหล่ะ พี่ผู้ชายทีเป็นพ่อ ก็พูดเป็นภาษาเวียดนามกับกลุ่มแท็กซี่ไป
เชิงเล่าว่า เด็กสองคนนี้จะไปกับเรา เราแชร์น้ำมันกันอะไรทำนองนี้ ระหว่างนั้นก็เกิดการโต้เถียงกันแบบเหมือนจะมีเรื่อง

ในใจตอนนั้นเตรียมใส่อย่างเดียวเลยครับ ถ้าเปิด กุก็เอา…

▲ แต่ด้วยความที่เห็นเด็กและแม่ของเด็กที่กลัวว่าลูกจะเป็นไรไม่ค่อยสบายใจ ผมเลยตะโกนขึ้นไปว่า

Who can speak English?

แท็กซี่สองสามคนก็ยกมือและเดินเข้ามาที่ผม ผมก็แจงรายละเอียดไป ว่าผมบอกแล้วว่าไม่ต้องรอ
ไม่ต้องโทรมาอีก เราจะกลับเอง แล้วเค้าก็ไม่เชื่อ คุยกันได้ซักพัก พี่แท็กซี่ที่เดินเข้ามาก็บอกว่า
โอเคๆ แต่ผมก็ไม่รู้จะยังไงต่อนะ พวกเราก็เลยเดินออกไปเลย หลังจากนั้นตำรวจก็มาพอดี และก็จอดเคลียร์กับพี่แท็กซี่
ระหว่างนั้นเราก็เดินไปที่รถด้วยความเกรงใจสุดๆ ไม่รู้ว่าครอบครัวนี้จะคิดยังไงกับเรา จะเห็นเราเป็นพวกเด็กเหลือขออะไรแบบนี้รึป่าวนะ
ระหว่างที่ฝ่ายแม่กำลังเก็บสัมภาระให้เราได้นั่งกัน ตำรวจก็ขับมาหาคุณพ่อ คุณพ่อก็แจงรายละเอียดเป็นภาษาเวียดแบบแร๊ปโย่ (สึศ อย่าเพิ่งตลก)
เราก็ไม่เข้าใจหรอกนะ แต่ก็หวังให้เค้าเข้าใจเรา ว่าเรามาขอความช่วยเหลือจริงๆ ไม่ได้จะโกงหรืออะไรทั้งนั้น
เอาเป็นว่า เราโอเคแล้ว และหวังว่าครอบครัวที่ให้เราไปด้วยจะโอเคกับเรา…

▲ ให้ตายเถอะ…. รถเล็กมากๆ ครับ บวกกับของที่ไม่มีให้เรานั่งเลย ของข้างหลังถูกยัดเต็มด้วยรถเข็นของน้อง
เบาะข้างหน้าตรงที่ไว้ขา ก็เป็นตะกร้าผ้าอ้อมและก็ที่นอนเด็ก ส่วนข้างหลังก็มีที่ว่างเพียงแค่สองที่
เพราะที่ของพะลุงพะลังเต็มไปหมด พี่ผู้ชายนั่งที่คนขับ ผมนั่งข้างหน้าพร้อมกับเหยียบตะกร้าผ้าของลูกเค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ๕๕๕
พี่ทิมนั่งกับภรรยาเค้า พร้อมกับลูกเล็กที่อายุไม่ถึงขวบ เอาหล่ะ เรื่องทุกอย่างกำลังจะจบลงที่นี่ ที่บานาฮิลส์ เรากำลังจะออกจากที่นี่กัน…

▲ เสียงสตาร์ทรถคล้ายว่าจะไม่มีแรง รถเก่ามาก สตาร์ทไปสองทีก็ดับ ผมเริ่มกังวล ว่าเราจะเป็นตัวซวยแล้วหล่ะ
แต่พอครั้งที่สาม รถก็สามารถออกตัวได้ เรานั่งรถไปด้วยความเงียบ เงียบ และก็เงียบ จนกระทั่งพี่เค้าจอดถามทาง
จึงมีเสียงสนทนากันเกิดขึ้น แต่… ไม่ใช่การสนทนาในรถ เป็นการถามทางกับคนข้างถนน เราเริ่มคุยกันครับ และเริ่มคุยมากขึ้นจนรู้ว่า
พี่แกไม่ได้เป็นคนดานัง แต่แกเป็นคนฮานอยมาเที่ยวดานัง ๕๕ ให้ตายเถอะ นี่กุทำพี่เค้าเดือดร้อนใหญ่แล้ว ก็สงสัย ทำไมไม่รู้ทาง
สรุปคือพี่เค้าจอดถามทางประมาณ 4 รอบ อะครับ ขับรถไป คุยโทรศัพท์ไป ถามทางไป บางทีจอดกลางสี่แยก
แล้วก็ถามมอไซต์ที่กำลังจะเลี้ยวก็มี จำได้ว่าช็อตนั้นสร้างเสียงหัวเราะในรถได้มากทีเดียว…

▲ เรื่องราวมันเยอะและละเอียดละอ่อนมากจริงๆ ผมขอข้ามไปเลยนะ กลัวจะเบื่อกัน เอาเป็นว่า เราจอดทานข้าวริมหาดกันครับ
เราคุยกันไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ มีปัญหาเรื่องการสั่งอาหาร จนพี่ทิม ต้องเอา ipad มาเปิด google translate คุยกันเลย
ที่เวียดนามส่วนใหญ่จะมี Free wifi ให้ใช้กันครับ เราทานข้าวกันอย่างหิวโหย คุยกันจนแลกเฟสบุ๊คกัน สนิทกัน
และมารู้ที่หลังว่าพี่เค้าเป็นทหารอากาศ ที่สำคัญ ขับเครื่องบินรบด้วย โอ้ววววว ผมลุกขึ้นแล้วจับมือกับแกเลย
ตอนคุยกันในรถฟังไม่ออกจริงๆ ก็แม่มพูดว่า โพล๊ท โพล๊ท ไม่ออกจริงๆ หว่ะ ระหว่างที่กินกันอยู่ เค้าก็ถามว่าเราจะนอนไหน
เราก็บอกว่า เด่วปล่อยเราไว้ตรงนี้แหละ เราจะไปกันเอง เราก็แยกกันตรงนี้ ระหว่างนั้น ภรรยาของพี่เค้าก็เดินไปโรงแรมใกล้ๆ
ผมก็คิดว่าแกจะไปจองที่พักให้ครอบครัวแกเอง แกเดินกลับมาแล้วบอกว่า จองโรงแรมให้แล้วนะ นอนด้วยกันที่แหละ….

▲ เรารีบปฏิเสธและบอกว่าไม่เป็นไร เด่วเราจะไปนอนกับเพื่อนก็ได้ (ถ้าใครอ่านตั้งแต่ตอนแรกจะรู้ว่าจัก “หล้า”
คือเรานัดทานข้าวกับหล้าครับเย็นวันนั้น แต่ด้วยความที่ครอบครัวนี้จอดกะทันหันให้เราทานข้าวด้วย เราก็เลยนั่งกันยาวเลย)
เราเถียงกันเรื่องนี่กันนานพอสมควรครับ ที่เราไม่อยากนอนโรงแรมก็เพราะตังเราน้อย และก็คุยกับพี่ทิมว่าบางทีอาจจะไปนอนที่สถานีขนส่งกันเลย
แต่พี่เค้าก็ไม่ยอม เถียงกันไปเถียงกันมา (พิมพ์ใส่ google translate) จนกระทั่ง พี่เบิ้มแกยื่น ipad มาให้พร้อมกับภาษาเวียดนามที่เป็นภาษาไทยว่า…

“พวกเราปล่อยคุณไปไหนไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่รู้ว่าคุณจะไปไหน” โอ้ยยย!! พิมพ์อยู่น้ำตาก็จะไหลครับเพื่อนๆ

คือทำไมดีขนาดนี้อะ ทำไมเค้าดูแลเราดีจัง สรุปตั้งแต่ลงมาจากบานาฮิลส์ ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร เราไม่ต้องออกเลย
พี่เค้าออกให้หมด แถมยังช่วยเหลือเรื่องที่พักให้เราด้วย เราไม่รู้จะพูดอะไรออกไปนอกจากคำว่า “ขอบคุณ” จริงๆ T T

▲ เราใช้ชีวิตในวันๆ หนึ่ง เหมือนเป็นสัปดาห์ เรื่องราวที่โผล่เข้ามามีแต่เรื่องไม่คาดคิด ทั้งดีร้ายปะปนกัน
แม่มเป็นสีสันให้กับการเดินทางครั้งนี้จริงๆ เราเข้ามาที่ห้องพัก ปรึกษาและวางแผนถึงการเดินทางวันพรุ่งนี้
และก็พูดถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันจนตกเย็น ๕๕๕ ตลกดีครับ จะไม่ให้ผมรักการไปตายเอาดาบหน้าได้ยังไง
ในเมื่อมันสนุกสุโค่ยขนาดนี้ เราเหลือตังเท่าที่เห็นในภาพ (พยายามงัดออกมาจากทุกกระเป๋าแล้ว) ตังค์ที่พอจะใช้ได้ในเมืองนี้
ก่อนที่จะหลับไหลไปในราตรีคืนสุดท้ายในดานัง…

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงที่ 3 :::
(คิดเป็นรายหัวเลยครับ)

*** ก่อนเอื่น เราขอเทียบราคาค่าใช้จ่ายให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะครับ ***
5,000 กีบ = 20 บาท (ค่าประมาณ)
20,000 ดอง = 30 บาท (ค่าประมาณ)

– ค่า Taxi คนละ 225 บาท (300,000 don for taxi)
– ค่าที่พัก 200 บาท
– ค่าขึ้น Bana hills ประมาณ 780 บาท
– วันนั้นไม่ได้กินข้าวเช้า เข้าเที่ยงเลย กินแต่กาแฟตรง google cafe น่าจะคนละ 40 บาท
– ค่าตั๋วรถค่ากลับ 1,065 บาท

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงแรก รวม 5,700 บาท :::

DAY 4
▲ นี่คือวิวจากบริเวณที่พักของเราครับ เราตื่นแต่เช้า เพื่อไปให้ทันรถ คราวนี้คงไม่ใช่การโบกรถ ต่อรถ หรือนั่งรถธรรมดาแล้วหล่ะ
เช้าขนาดนี้ ตังค์เหลือแค่นี้ ต้องเดินลูกเดียวครับ

▲ เมื่อคืน ผมถาม Tuyet (เพื่อนทีช่วยเหลือพวกเรามาตลอดตั้งแต่อยู่ฮอยอัน)
ถามประมาณว่า เราอยู่ตรงนี้ เราจะต้องเดินไป Bus Station มันจะเป็นไปได้หรือไม่ แล้วต้องใช้เวลาราวๆ กี่นาที
จริงๆ เราต้องการ แค่ Make sure เท่านั้นครับ เพราะถ้าเราเดินทางผิด นั่นคือคำว่า “ตกรถ” เอาหล่ะ หลังจากที่เรารู้ว่า
เราจะต้องเดินไปไหน ใช้เวลาแค่ไหน ก็ให้พี่ทิมปักหมุดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นเช้ามาเก็บของเสร็จ เราก็เดินเท้ากันเลย…

▲ ระหว่างทางเราก็จะพบกับวิถีชีวิตของคนที่ดานังครับ บ้างกำลังเปิดร้าน บ้างกำลังสัญจรอยู่กลางถนน
เราเดินไปเรื่อยๆ ตามหมุดที่ปักไว้ เห็นบ้านเห็นเมืองเช้าตรู่ที่เงียบเชียบ ระหว่างที่ก้าวเท้าไม่มีเสียงสนทนาใดๆ
นอกจากเสียงลมหายใจของพวกเราสองคน พี่ทิมนำหน้า (ขายาว) ผมตามหลัง พร้อมกับถ่ายภาพไปเรื่อยๆ
แต่ให้ตายเถอะ มันเหมือนภูเขามาบังถนนไว้ เมิงจะสร้างสะพานอะไรกันตอนนี้วะเนี่ยยยย พวกเราต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินใหม่ครับเพื่อนๆ
ที่สำคัญ อ้อมโคตรๆ อ้อมมากๆ ต้องลัดเลาะหมู่บ้าน รวมถึงรางรถไฟ T T

▲ จากเวลาตี 5 ครึ่ง เราต้องไปถึงก่อน 6 โมงครึ่ง เดินไปเรื่อยๆ กับระยะทางที่เพิ่มขึ้นมาจากทางเก่ารวมแล้วกว่า 5 กิโลเมตร
นี่มันรายการ family running ชัดๆ สุดท้าย เราก็มาถึง Bus station จนได้ครับ

▲ ถอนหายใจ… เรื่องราวทุกอย่างคงจะจบลงหลังจากที่เราขึ้นรถคันนี้ รู้สึกคิดถึงทุกคนที่คอยช่วยเหลือ
ขอบคุณบักหล้า ที่ช่วยตั้งแต่เริ่มทริป ขอบคุณ Tuyet ที่ช่วยซะจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง
และขอบคุณครอบครัวสุขสันต์เล็กๆ ครอบครัวนั้น ที่ทำให้เรารู้ว่า น้ำใจชาวโลกมีจริงๆ
เรานั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ก้มหน้าเล่น Free wifi ที่สถานีขนส่ง แต่เชื่อได้ว่า
พี่ทิมก็คงคิดเหมือนผม เราจะคิดถึงประเทศนี้ อย่างไม่มีวันลืมเลยทีเดียว…

▲ ถึงเวลาที่เราต้องไปจริงๆ แล้วหล่ะ พนักงานเรียกขึ้นรถ พร้อมกับเรียกเก็บตั๋ว(ภาพข้างบนคือตั๋วที่เราถ่ายเก็บไว้ตอนอยู่ในห้องนอนครับ)

เราถอดรองเท้าใส่ถุงพลาสติกเหมือนเดิม และก็เดินตามเลขที่นั่ง ไปหาที่นอน ผมทิ้งตัวลงไป พร้อมเอามือก่ายหน้า แล้วพูดในใจว่า

“เราคงได้พบกันใหม่”

ด้วยจิตใจที่ถูกปลดปล่อยเหมือนผ่านพ้นมรสุมชีวิต เรื่องเหมือนจะจบอย่างสวยหรู แต่การเดินทางก็ได้เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง…

▲ ระหว่างทางขากลับ อารมณ์มันไม่เหมือนตอนขามากหรอกครับ ไม่ตื่นเต้น ไม่อะไรทั้งนั้น มีแต่ความว่างเปล่า และต้องการพักผ่อน
เรานอนยาวจนมาถึงชายแดนลาวเวียดนามอีกครั้ง ทำเรื่องขอออกเวียดนาม ขอเข้าประเทศลาว
ผมจำได้ว่า คราวนี้ราคาออกเวียดนามเท่าเดิมเลยครับ คือ 20,000 don
แต่ขาเข้าลาวเปลี่ยนไปครับ เก็บพวกเราจ่ายเพียง 20,000 กีบ ก็ราวๆ 40 บาท แต่แหมมมม…

ตอนกุเข้ามาจากฝั่งไทย เมิงเก็บกุ 200 เลยนะไอ่สึศ

พูดแล้วก็โมโหความมาตรฐานราคาเข้าประเทศลาว ระหว่างนั้นก็เหมือนเดิมครับ ผู้คนไม่รู้จักคำว่า “แถว”
ผมจำได้ว่าผมอัดคลิปด่าด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะ…

(ระหว่างที่รถจอดขนของ จะมีแม่ค้าขึ้นมาขายของ เราเลยลองซื้อกินดูครับ หน้าตาเป็นอย่างที่เห็น)

▲ ผ่านไปไม่กี่นาทีหลังจากล้อหมุน เค้าก็จะจอดให้เราทานข้าวเที่ยงครับ เราจะไปถึงด่านประมาณ เที่ยง ไม่ก็บ่ายหนึ่งครับ
ก็จ่ายใครจ่ายมัน ข้าวราดแกงที่นั่นราคามาตรฐานคือ 15,000 keep ครับ กินกันไปเลยครับ
ระหว่างที่กินก็กะจะถ่ายภาพเก็บไว้ แต่ เอ้…. กล้องเราหายไปไหน!!!

▲ อย่างที่ผมบอก… ครั้งสุดท้ายที่เอาออกมาใช้คือถ่ายคลิปด่าคนที่นั้นว่าเข้าแถวไม่เป็น ผมถือกล้องขึ้นรถ กล้องชนกับเสา จำได้แม่น
ผมรีบออกจากร้านอาหาร และขึ้นไปที่รถ ไปดูว่ากล้องตกที่ไหนรึป่าว และมันต้องตกตรงเบาะที่ผมนั่งแน่ๆ แต่ปรากฏว่า ไม่มี แต่ทว่า…

ทำไมบนรถ มีผู้หญิงกับผู้ชายอยู่หละ ทั้งๆ ที่เค้าลงไปกินข้าวกันหมด

ผมเกิดความคลางแคลงใจตั้งแต่นั้นมา ถามแล้วนะ ว่าเห็นกล้องลักษณะแบบนี้มั้ย เค้าก็บอกว่าไม่เห็น
ผมพยายามหา หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งปลง
ตอนนั้นคิดว่าไม่อยากไปเที่ยวไหนแล้วหล่ะ เพราะมันไม่สนุกแล้วนะ ภาพทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์มันอยู่ในกล้องนั้น
มันไม่ได้เสียดายกล้อง แต่มันเสียดายเมมต่างหากหละ
ผมนอนคิดนั่งคิด พยายามหาข้อผิดพลาดของตัวเอง แต่ก็ไม่เจอ สุดท้ายปรึกษากับพี่ทิม
และลงความเห็นกันว่า เราจะค้นกระเป๋าผู้โดยสารทั้งรถ…

▲ มาตรการนี้ เริ่มต้นโดยการที่ผมเดินไปหาโชว์เฟอร์ แล้วบอกให้เค้าแปลจากภาษาลาวเป็นภาษาเวียดนามให้คนทั้งรถฟัง
เค้าพูดเสร็จ เค้าก็ช่วยเราค้นด้วย แต่เราก็เริ่มกลัว ไม่รู้ว่าจะค้นตรงไหน แต่ระหว่างที่ตัดใจจะค้นคนทั้งรถ
อยู่ดีๆ ไอ่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตอนที่ผมขึ้นมาตอนกินข้าว มันก็ยกของขึ้นมาบางอย่าง และถามผมว่า… ใช่อันนี้มั้ย

สึส!! เมิงเอาไปสินะ

▲ ระหว่างนั้นมันก็ทำท่าเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ครับ ผมก็เลยปล่อยมันไป แล้วพูดกับมันว่า…

Thanks you so much อิสึศ อิเหี้_ เมิงเอาไปพ่องเมิงหรอ แม่มเอ้ยยยย พูดแล้วก็ของขึ้น

ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันจะฟังออกรึป่าวนะ แต่ก็อารมณ์นั้นเลยจริงๆ

▲ เวลาไม่นาน สามทุ่มกว่าๆ เราก็มาถึงปากเซพร้อมกับฝนโปรยปราย เรากลัวโดนสามล้อหลอก
ก็เลยเดินไปตามบ้าน เพื่อถามว่า คิวรถที่จะจองกลับ กทม. อยู่ตรงไหน เค้าก็วาดแผนที่แล้วก็บอกว่าเราต้องเดินไปตรงนี้ตรงนั้นอะไรอย่างไร
เราขอบคุณแล้วเดินออกมา แต่ทว่า… บริษัทเค้าปิดให้จองแล้ว เราไปเจอร้านขายแป้งจี่ร้านหนึ่ง
ด้วยความหิวโซ เราเลยจัดไปคนละอัน ให้ตายเถอะ ทำไมมันถูกอย่างเน้ อันละ 20 บาทครับเพื่อนๆ
เราวางแผนกันว่า สรุปจะเอายังไง พรุ่งนี้จะชิวมั้ย หรือว่าจะแว๊นซ์มอไซไปคอนพะเพ็ง
แต่ถ้าหลี่ผีคงไม่ เพราะกลัวไม่ทัน บวกกับระยะเวลาในการเดินทางที่ไม่แน่นอน
เราไม่รู้ว่าถนนจะเป็นยังไง ยางจะแตกตอนที่เราขับไปมั้ย คุยกันไปคุยกันมาก็ได้ข้อสรุป…

▲ สรุปคือ… เราจะหาที่พักที่ใกล้ร้านเช่ามอไซต์ เพื่อที่จะแว๊นซ์ไปคอนพะเพ็งในเช้าวันรุ่งขึ้น
เราต่อราคาสามล้อจนเหลือราวๆ คนละ 50 บาท เพื่อไปยังที่พักที่ใกล้กับแหล่งร้านเช่ามอไซต์

(ก็บริเวณที่เดิมกับร้านมอไซต์ที่เราเช่าตั้งแต่ตอนแรกครับ)

เรานั่งรถตากฝนเหมือนคู่รักที่สวีทวี้วีกัน ๕๕๕ นึกแล้วก็ขำ ทำไมชีวิตกุต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะเนี่ย หลังจากถึงแหล่ง
เราก็ทำการเช็คราคาห้องพักทุกๆ ที่ครับ  make sure ว่า ที่ไหนถูก และโอเคที่สุด พวกเราไม่ได้โกหกนะ
พวกเรา Walk in กันจริงๆ ตั้งแต่ต้นทริปยันจบทริป ไปถามมา 3 – 4 ที่ ก็พบว่า ที่นี่แหละ โอเคที่สุดแล้ว
ต้องขอโทษเพื่อนๆ ด้วยที่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจำชื่อโรงแรมเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเราเลือกที่นี่แหละ ตามสภาพห้องเลยครับ
มีเครื่องปรับน้ำอุ่น มีแอร์ มีทีวี มีโต๊ะเครื่องแปลง แต่ทุกอย่างดูเก่ามาก จนทำให้ผมคิดเองเออเองไปต่างๆ นาๆ ว่าแม่ม มีแน่ๆ

▲ เที่ยงคืนแล้ว อยู่ดีๆ พี่ทิมก็อยากจิบเบยลาวครับ ผมก็เลย เอาดิ เราเดินไปตามย่าน down town ของเมือง ก็พบว่า ทุกร้านปิดแทบหมดแล้ว
เราเดินวนไปวนมาจนกระทั่งเห็นแสงจากสถานที่แห่งหนึ่ง ใช่แหละ มันต้องใช่แน่ๆ เรารีบเดินเข้าไปหวังว่าจะเป็นร้านเหล้า
แต่อ่าววว…. แม่มมม งานศพ เราเดินผ่านอย่างช้าๆ พรางมองดูว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นมั้ย จะเห็นอะไรมั้ย
ให้ตายเถอะเพื่อนๆ ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ แสงไฟก็เริ่มสลัว ปากซอยก็มืด มองอะไรไม่ค่อยเห็น
ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มีแต่แสงนวลของจันทราที่สองผ่านตึกเป็นเงาสะท้อนลงมาจากด้านบน
มองไปตามหน้าต่างบ้านเรือน ก็ดูเหมือนจะมีคนคอยมองเราอยู่ตลอดเวลา เราเดินไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงแยกแห่งหนึ่ง ก็เจอกับหญิงร่างเล็ก แต่งกายขาวไปทั้งตัว เชรี่ยยยยยยยยยยแล้ววววววววววววว ผ.. เฮ้ยย!!!

เมิงจะโม้ทำไมเนี่ย!

เราเดินผ่านงานศพ จนกระทั่งสุดซอย ก็ไปเจอร้านๆ หนึ่ง โชคดีที่พี่เค้ายังเปิดร้าน เราถามพี่ว่า ขอนั่งจิบเบียร์ในบ้านได้มั้ยครับ
พี่เค้าก็ใจดี บอกว่าได้ๆ เราก็เลยนั่งจิบเบียร์กันไปเรื่อยๆ ก็ชวนพี่เค้าคุย เราคุยกันเข้าขามากๆ
คุยเรื่องประเทศไทย ประเทศลาว จนพี่ๆ เค้าบอกว่า ถ้าเกิดไม่รีบกลับพรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวคอนพะเพ็งกับหลี่ผี เด่วจะขับรถพาไปเลย
แหม่… รู้สึกทริปนี้จะเจอแต่คนใจดี แต่ก็น่าเสียดาย ที่เราต้องกลับในวันพรุ่งนี้แล้วจริงๆ
เราโบกมือลาพร้อมกับถ่ายภาพที่ระลึกไว้รูปหนึ่ง ก่อนที่จะกลับเข้าไปที่โรงแรม…

▲ ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดห้อง ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขนลุกผิดปกติ พี่ทิมกินไปขวดใหญ่คนเดียวเลย แต่วันนั้นผมไม่กินนะ
ก็เลยไม่เมา ด้วยอาการเหนื่อย กินไปหนึ่งขวดมันก็คงเมานั่นแหละ พอใกล้ถึงประตูห้อง
ผมก็เปิดกระเป๋า เตรียมหากุญแจ ได้กุญแจก็พยายามจะเอากุญแจมาไขห้อง แต่อยู่ดีๆ พี่ทิมก็พูดขึ้นว่า

“พี่ตาฝาดหว่ะ” พร้อมทำท่าเหมือนจะแย่งกุญแจออกจากมือผม แล้วรีบเปิดประตูให้ได้ซะตอนนั้นเลย

ผมรู้สึกประหลายใจ เลยรีบไขกุญแจเข้าห้องให้เร็วที่สุด ทันใดที่เปิดประตูเข้าไป เห้ยยยยยยยยยยย ยางงๆๆ
ทันใดที่เปิดประตูเขาไป ก็รีบเดินเข้าไปในห้องแล้วรีบปิดประตูให้เร็วที่สุด
ผมมองหน้าพี่ทิมแล้วบอกว่า

“พี่พิมบอกผมในมือถือนะ”

ผมรู้เลยว่าโดนแน่ๆ หลังจากที่ผมอ่านข้อความที่พี่ทิมเสร็จ ขนแม่มลุกเองเลยหว่ะครับ
คืนนั้นเราเปิดไฟนอนกันทั้งคืน ปกตินอนไกลๆ กัน ก็ต้องห่มผ้าเบียดกัน นอนใส่หูฟังเปิดเพลงดังลั่นยันเช้า….

ห้องเราอยู่ฝั่งขวา ห้องที่สามถัดจากประตูด้านหน้า พี่ทิมเห็นเงาบริเวณบนได เป็นร่างดำใหญ่ไม่มีหน้าตา กำลังเดินขึ้นบันได แต่หน้าที่หันมานั้น รู้สึกเหมือนว่ากำลังมองมาที่เรา
DAY 5
▲ เราพยายามตื่นให้เร็วที่สุด จะได้ไม่เสียเวลาในการเดินทาง เราเก็บของเก็บสัมภาระ พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็หลอนดีเหมือนกัน
เรารีบไปที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ หลังจากที่เราทำการเช่ารถ เราก็เอากระเป๋าฝากไว้ที่นี่เลย(ที่ที่เราไปพักราคาถูกที่สุดในปากเซแล้วครับ ราคาวันละ 60,000 keep ถ้าเช่า 2 วันลดให้เหลือวันละ 50,000 keep ปกติร้านอื่นจะอยู่ที่ราคา 70,000 keep ครับ จดๆๆๆๆ ชื่อร้านชื่อ Alisa เป็นทั้งที่พัก และร้านเช่ามอเตอร์ไซต์)

เรารีบบิดไปที่ บริษัททัวร์ เพื่อไปจองตั๋วรถกลับ กทม. ตั๋วรถกลับ กทม. ถ้าซื้อที่ทัวร์เลย
จะตกอยู่ที่ราคาปกติคือ 900 บาท แต่ถ้าซื้อตามโรงแรมจะตกอยูที่ราคา 1,050 – 1,100 บาท ประมาณนี้ ครับ

(ร้านจองตั๋ว เปิดตอน 8 โมงครับ และชื่อบริษัทเกรียงไกรครับ)

หลังจากที่เราจองตั๋วกันได้แล้ว เราก็แวะทานแป้งจี่ เติมน้ำมันให้เต็มถัง ก่อนที่จะตะลุยไปบนเส้นทางที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน…

▲ เราขับไปได้ครึ่งทางก็ต้องเปลี่ยนกันขับ ไม่ค่อยได้ขับมาก่อน เลยทำให้หล้าเอาง่ายๆ แถมเมื่อยตูดมากๆ
ด้วยระยะทาง 165 km จากปากเซไปคอนพะเพ็งไม่โหดร้ายอย่างที่คิด ถนนโอเคแม้ว่าจะมีการก่อสร้างบ้างก็ตาม
วิวข้างทางก็จะเป็นแนวทุรกันดารหน่อย เป็นทุ่งนาซะส่วนใหญ่ สลับกับหมู่บ้านเล็กๆ ริมทาง
ไม่ต้องกลัวเรื่องยางแตกครับ ทุกๆ  5 – 10 กิโล จะมีชุมชนอยู่ และทุกชุมชนจะมีร้านปะยางอยู่แน่ๆ
แต่ถ้าให้เลือก อย่าขับให้ยางแตกนะครับ ไม่งั้นจะซวย และจำให้เวลาเราเสียเวลา และเซงจิตไปโดยใช่เหตุ…


▲ ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง เราก็เห็นประตูทางเข้าคอนพะเพ็งแล้วแหละ

(ยอมรับว่าพวกเราบิดกันตลอดทางเลยครับ พยายามทำเวลาให้ได้น้อยที่สุด)
ถามว่าเหนื่อยมั้ย เฉยๆ นะ ร่างกายเราแข็งแรงพอสมควร : )

▲ พอถึงป้อมผ่านด่าน เราจะต้องซื้อตั๋วเข้าคนละ 30,000 keep และค่าฝากรถ 5,000 keep
สำหรับผม แพงมากเลยนะ 30,000 keep เนี่ย เอาหละ ช่างมัน เราขับเข้าไปแล้วจอดรถ
เดินเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายๆ ต้นตะเคียน อยู่ในตู้แก้วสี่เหลี่ยมใส่ ข้างในมีพัดลมคอยเป่าตลอดเวลา
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่ามันคืออะไร ไปหาข้อมูลใน Google กันเอง แต่ที่ผมสนใจก็คือ น้ำตกที่เรียกว่า

“ไ น แ อ ง กา ร่า แ ห่ ง เ อ เ ชี ย”


▲ ว่าไปว่ามาก็อยากรู้เหมอนกันว่าเจ้าต้นนี้มันคืออะไรกันแน่ ผมได้ไปหาข้อมูลคร่าวๆ มาแล้วครับ
มันคือ “ต้นมณีโคตร” หรือมะนีโคด ในภาษาลาว เป็นต้นไม้เก่าแก่สันนิษฐานว่ามีอายุหลายร้อยปีหรืออาจถึงพันปี
ขึ้นอยู่บนแก่งหินกลางแม่น้ำโขง ชาวลาวนับถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และเชื่อว่ามีต้นเดียวในโลก
ตามตำนานเรียกว่าเป็น “ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น” โดยหากเอาด้านหัวของกิ่งชี้ไปที่ใครคนนั้นก็จะตาย
แต่หากใช้ด้านปลายของกิ่งชี้คนตายก็กลับฟื้นขึ้นมาได้

▲ อ่านแล้วก็ขนลุกนะครับ แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่เรามาช้าไป เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555
ต้นมณีโคตรได้โค่นล้มลงแล้ว สาเหตุที่ต้นไม้ล้มเชื่อว่าเนื่องมาจากต้นไม้อายุมากแล้ว
และก่อนหน้านั้นก็มีพายุลมแรงและฝนตกติดต่อกัน 3 วัน ทำให้ต้นไม้ทานกระแสลมและกระแสน้ำไม่ไหว
ผมมาช้าไปจริงๆ….

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.manager.co.th/Travel/viewNews.aspx?NewsID=9550000099952&TabID=1&



▲ มาดูข้อมูลคร่าวๆ กัน คอนพะเพ็งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภูมิภาคอินโดจีน
น้ำตกคอนพะเพ็งเป็นน้ำตกที่มีหลายชั้น ตั้งอยู่บนแก่งหินขนาดใหญ่ขวางกั้นเส้นทางการไหลของแม่น้ำโขงทั้งสาย
มีลักษณะต่างระดับกันสูงประมาณ 10 เมตร

▲ แต่นี่นะเหรอ ไนแองการ่าแห่งเอเชีย ๕๕๕๕๕๕
ขอโทษที่ผมไม่สามารถพิมพ์บรรยายถึงความสวยของมันให้เพื่อนๆ ได้ตะลึงเหมือนกับรีวิวตัวอื่นๆ นะครับ
สิ่งที่ผมเห็นมันเหมือนน้ำป่าไหลหลาก เหมาะสำหรับการล่องแก่งมากกว่า
และไม่สมควรจะเอาไปเปรียบกับไนแองการ่าที่ผมเคยไปสัมผัสที่อเมริกาเลยแม้แต่นิด

แต่เอ๊ะ! หรือผมอาจจะมาผิดฤดูวะ หรือยังไงกัน เอาเป็นว่า ผมไม่พอใจเท่าไหร่ กับสิ่งที่ตาได้เห็น
กับความเหนื่อยหล้าและการเสียเวลากว่า 2 ชั่วโมงเพื่อมาดูอะไรทำนองนี้…

และนี่เป็นภาพคอนพะเพ็งจากใน internet ที่ผมเอามาให้ดูกันแบบสวยๆ นะครับ
ผมจะแนะนำให้ ถ้าอยากมาดูคอนพะเพ็งตอนสวยๆ ก็น่าจะซักเดือนมกรากุมภาครับ
คอนพะเพ็ง จะได้เป็นน้ำตกสวยๆ อย่างในรูปข้างล่าง…



(ขอบคุณภาพสวยๆ จาก : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kunpae&month=10-09-2010&group=3&gblog=1)

▲ เราออกเดินทางกันอีกครั้ง เพื่อกลับเข้าไปในตัวเมืองปากเซให้เร็วที่สุด
ระหว่างทางก็จอดรถถ่ายรุปเล่นตามวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ ขากลับไม่ค่อยรีบ เพราะมีเวลาเหลือเฟือ



▲ ขับไปได้ซักพัก ฝนก็เคล้าจะตกลงมาลบความอบอ้าวในการเดินทาง
โชคดีที่รถมอไซต์เช่าที่นั่น มักจะมีเสื้อกันฝนเตรียมให้นักท่องเที่ยว แถมมาพร้อมกับรถครับ
เราจอดใส่เสื้อกันฝนแล้วลุยกันต่อ…


▲ อีก 20 กว่ากิโลเมตรเราจะถึงปากเซอย่างปลอดภัย แต่เห้ยยย เด็กมันกำลังกระโดดน้ำตรงคอสะพาน
ด้วยความอยากได้ภาพ และอยากซึมซับบรรยากาศของคนที่นี่ ผมบอกพี่ทิมให้หยุดรถตรงนั้นเลย

ป่ะ… เราจะไปเล่นกับน้องๆ กัน

ผมถอดเสื้อผ้า วางไว้ในตะกร้ารถ ถามน้องว่าข้างล่างโอเคมั้ย มีท่อนไม้อะไรหรือเปล่า ไม่มีครับ
ดีเลย เราจะมาลังกาหลังลงคลองประเทศลาวครั้งแรกกัน
ผมขึ้นไปยันจุดสูงสุดบนคอสะพาน ทำใจ และจากนั้นก็โดดดด….



▲ ความสูงจากคลองถึงผิวน้ำราวๆ 6 – 7 เมตรครับ ดูเหมือนผมโม้ แต่ไม่โม้ครับ
เด้กๆ กระโดดกันเป็นว่าเล่นเลย พี่ทิมทั้งอัดวีดีโอ ทั้งถ่ายรูปอยู่ด้านบน ไม่ใช่ใจดีนะครับ
ถอนตัวจากการแข่งขันต่างหาก พี่ทิมแกกลัวความสูง หลังจากที่เล่นได้ซักพัก
ก็เรียกน้องๆ มารวมกัน มาดูภาพและวีดีโอที่เราถ่ายกัน เห็นรอยยิ้มน้องๆ ก็มีความสุขดีครับ
ก่อนจะลาจากกันไป ก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกเช่นเคย…

▲ ถึงเวลาที่เราต้องร่ำลา… เราเดินทางมาถึงปากเซ เนื่องจากสภาพรถเยินมากครับ
พวกเราขับจนรถเสียงเปลี่ยน ก็กลัวเค้าจะเก็บตังเพิ่มจิงๆ แต่ดีที่พี่เค้าไม่เช็ครถ ๕๕
เรารีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บกระเป๋าและก็แวะทานข้าวร้านใกล้ๆ ก่อนกลับไทย
อาหารที่ผมจะแนะนำถ้ามาลาวคือ ปลาปิ้ง กับตำลาวครับ เด็ดโคตรๆ
เรายังทานกันไม่เสร็จ ก็มองนาฬิกา ซิฟหายย… รถใกล้จะออกแล้ว
พี่สามล้อครับ ไปท่ารถเข้ากรุงเทพฯ ด่วน!!!

▲ ทันเวลาครับ… และก็ไม่ลืมข้าวปลาที่ยังกินไม่เสร็จติดมือมาด้วย
เราห่อส้มตำ ลาบ ปลาปิ้ง ขึ้นมากินกันในรถ แม่มโคตรเกรงใจคนในรถเลย
แต่ช่างมันครับ ตอนนั้นหิวโคตรๆ ล้อหมุนออกจากปากเซด้วยความอิ่มใจ
7 คืน 5 วัน ที่เราได้ใช้ไปมันโคตรคุ้มจริงๆ เรื่องราวต่างๆ มากมายที่เล่าไม่รู้จบ
ความทรงจำหลากหลายความประทับใจ และความแปลกใหม่ของผู้คนที่เข้ามา
ผมไม่มีวันลืมทริปๆ นี้ได้เลยจริงๆ สุดท้าย เราก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย…

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงสุดท้าย :::
(คิดเป็นรายหัวเลยครับ)

*** ก่อนเอื่น เราขอเทียบราคาค่าใช้จ่ายให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะครับ ***
5,000 กีบ = 20 บาท (ค่าประมาณ)
20,000 ดอง = 30 บาท (ค่าประมาณ)

– ค่าเช่ามอไซต์คนละ 120 บาท
– ค่าที่พักคนละ 150 บาท
– ค่าน้ำมันรถ (เติม 4 รอบ) ประมาณคนละ 150 บาท
– ค่าแป้งจี่ 30 บาท
– ค่าตั๋วเข้าคอนพะเพ็ง 120 บาท
– ค่าฝากรถ 20 บาท
– ค่ารถกลับไทย 900 บาท
– ค่าอาหารมื้อสุดท้ายในลาว 250 บาท (คนละ)
– ค่าออกนอกประเทศ 40 บาท

::: สรุปค่าใช้จ่ายช่วงสุดท้าย รวม 7,480 บาท :::

ปล. ผมต้องขอโทษด้วย ที่ยอดค่าใช้จ่ายจริงกับในหัวข้อกระทู้ไม่ตรงกัน
เนื่องจากว่าต้องตั้งหัวข้อกระทู้ผมคำนวณผิดไป 1 วันคือวันที่ 5
ค่าใช้จ่ายก็เลยยังรวมกันไม่สมบูรณ์ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ T T

สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม มาคุยกันได้ครับ : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

Leave a Reply

*