รีวิวเกาะมันนอกไพรเวทไอซ์แลนด์ – Koh Munnok Private Island [REVIEW 2023]

ต้องบอกก่อนเลยว่า ที่นี่เป็นที่ที่ผมตั้งใจจะเดินทางมานานมากแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เดินทางมาสักที ครั้งนี้เองถือเป็นโอกาสดี ที่ได้มีเวลาออกเดินทางเที่ยวทะเลฝั่งตะวันออกสักที จึงไม่ลังเลที่เดินทางไปที่นี่เป็นที่แรก นั่นก็คือ เกาะมันนอก

หลังจากหาข้อมูล ถึงได้รู้ว่า ที่นี่มีที่พักที่เดียว และทั้งเกาะ ก็ไม่มีชุมชนหรืออะไรทั้งนั้น มีเพียงแค่ Resort ที่ชื่อ Koh Munnok Private Island นี่แหละ ที่เราจะสามารถฝากชีวิตไว้ได้ แล้วช่วงที่เราไปเป็นหน้าฝนด้วย เค้าก็มีโปรลด 15% เพียงจองผ่านเว็บไซต์ official แล้วใส่ Code ” KMN15″ เท่านั้นเอง

เพื่อน ๆ สามารถดูภาพห้องเพิ่มเติม หรือจองห้องพักผ่านทางเว็บไซต์นี้ได้เลย : เกาะมันนอก | Koh Munnork Private Island หรือจะซื้อเป็น Package 3 วัน 2 คืน แบบ Full-Board ในราคา Inclusive ผ่านทาง Chronic Travel ก็ได้ สายนั้นเค้าทำโปรราคาเริ่มต้นเพียง 12,490 บาทเท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://lin.ee/OaE6UYc

การเดินทาง

ต้องบอกเลยว่าที่นี่เหมาะกับคนที่มีรถส่วนตัวครับ กรณีไม่มีรถส่วนตัว​ สามารถไปนั่งรถตู้ที่อนุสาวรีย์​ ตรงห้างเซนจูรี่​ ซอยรางน้ำ​ รถตู้จะไปส่งที่ท่าเรือแหลมตาล​ ติดต่อรถตู้เบอร์​ 081-7340383 ค่ารถราคา 220 บาท ตรงนี้เองเรียกว่าท่าเรือที่เรือแหลมตาล ห้องรับรองของรีสอร์ทเองก็เป็นโรงรับรองผู้โดยสารโดยเฉพาะของรีสอร์ทเลย ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถเดินทางได้ตามข้อมูลที่แจ้งไปเลย

ที่นี่เค้าจะเอาเรือประมง มาทำเป็นเรือโดยสารครับ โดยการออกแบบให้มีเก้าอี้หนัง มีหน้าต่างบังคลื่นลมฝนกรณีมีฝนตก และมีโซน roof top ให้ผู้โดยสารได้นั่งกินลมชิมวิวกันไปหากต้องการ การเดินทางจากท่าเรือแหลมตาลใช้เวลา 45 นาที แต่บอกไว้เลยว่า เป็น 45 นาทีที่ไม่เบื่อเลยล่ะ

โดยตารางเรือขามา จะอยู่ที่ 13:00 น. และขากลับจะอยู่ที่ 15:00 น. นะครับ จากนั้นพอมาถึงเกาะ ก็จะมีพนักงานเดินเอาบันไดมาพาดกับเรือให้เราได้เดินลงพื้นหาดอย่างสะดวก นั้นถือเป็นการเริ่มต้นชีวิต Castaway บนเกาะแห่งนี้ครับ พวกกระเป๋าอะไรพวกนี้จะมีพนักงานขนไปไว้ให้ที่หน้าห้องเลย บริการดีมาก ๆ

ห้องพัก

ต้องบอกว่าที่มีมีห้องพักที่สามารถจุคนได้ประมาณหนึ่ง โดยห้องพักจะมีด้วยกัน 3 ประเภทครับ แต่ละประเภทบอกเลยว่าเหมาะกับคนทุกวัย แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน เดี๋ยวผมจะเริ่มจากห้องพักที่เราพักผ่อนในทริปนี้กันก่อนเลยนั่นก็คือ… Beachfront Bungalow

Beachfront Bungalow เป็นห้องพักที่ติดหาดที่สุดของรีสอร์ท เป็นห้องพักที่มีห้องอาบน้ำแบบ outdoor แบ่งโซนอ่างล่างหน้าไว้สองตำแหน่ง ห้องอาบน้ำ indoor ไว้แยก ร่วมถึงโซนห้องส้วม จากนั้นจะมีม่านกั้นเป็นห้องนอนและห้องนั่งเล่น ดูแบ่งสัดส่วนได้อย่างพอดิบพอดี

จุดนี้เองต้องบอกว่าทุกห้องจะไม่มีตู้เย็น ไม่มี facilities อำนวยความสะดวกเหมือนที่พักอื่น ๆ เนื่องจากว่าเขาต้องการให้เราอยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุดตาม slogan – Castaway นั่นเอง ซึ่งก็ทำได้จริง

ตัวที่พักแต่ละห้อง จะมีศิลปะจากการนำเศษขยะที่พัดมาเกยหาด นำมาแกะสลักบ้าง มาร้อยเป็นสร้าง เป็นม่าน เป็นผลงานที่มีค่ามาก ๆ อีกนั้นยัง Unique เพราะไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

แล้วแม้ว่าห้องพักจะติดทะเลจริง แต่ความเขียวที่มาแซม บอกเลยว่าธรรมชาติแบบดิบ ๆ เลย ผมว่า เป็นอีกที่ที่เหมาะกับคนที่สนใจอยากจะมาพักผ่อนยาว ๆ นะ เผลอ ๆ 3 วัน 2 คืน ไม่พอหรอก เพราะต่างชาติส่วนใหญ่มาที่นี้ take long week กันแทบทั้งนั้นเลย

Garden Cottage ห้องนี้จะเหมาะกับผู้ใหญ่หน่อย เพราะติดกับโซน lobby ที่สุด และเดินง่าย เสียงรบกวนน้อยที่สุด ติดป่าที่สุด และห้องใหญ่ โล่ง กว้างขวางที่สุด มาดูภายในห้องกันครับ

ตัวห้อง design สวยโดดเด่นมาก ๆ ที่สำคัญคือความสะอาด และการตกแต่งที่บอกได้เลยว่า ตั้งแต่ไปมาหลาย ๆ รีสอร์ท ที่นี่ไม่เหมือนที่ไหนเลย หลุดมาอีกแบบ หลุดมาอีกโลกหนึ่ง และหากเพื่อน ๆ สังเกตุดี ๆ ละก็ จะเห็นเศษขยะที่ทางรีสอร์ทนำมาดัดแปลงดีไซน์กลับมาใช้ใหม่ให้เป็นของตกแต่ง จนเกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

ส่วนตัวผมเองชอบห้องนี้มาก ๆ และคิดว่าเหมาะกับผู้สูงอายุ รวมถึงกลุ่มที่มากันเป็นครอบครัวแบบมีเด็กเล็กหรือคืนมีอายุอะไรแบบนั้น เพราะอย่างที่บอก ตัวห้องติดกับ Lobby มากที่สุดของทุก Types ที่มีของรีสอร์ทแล้ว

Sea View Bungalow ห้องนี้เป็นอีกห้องที่เหมาะกับก๊วน แก๊งค์ ที่ชวนกันมาเที่ยวมาก ๆ เพราะนอนได้หลายคน ตัวห้องจะ located อยู่ลึกสุดของ Resort แต่ก็เงียบสงบที่สุดเช่นเดียวกัน ห้องจะมีสองเตียง ห้องน้ำจะมี 2 zone แยกโซนเปียกกับโซนแห้ง

ด้านหน้าห้องพักเป็นระเบียงชมวิวทะเล สามารถเดินออกไปราว ๆ 20 ก้าว เพื่อน ๆ ก็จะเจอหาดทราย ที่สำคัญ ห้องนี้ราคาประหยัดที่สุดอีกด้วย และพักสูงสุดได้ถึง 5 คนเลย แต่ก็จะมีราคา Extra ในเรทที่แตกต่างกันไป ตรงนี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมกับทางรีสอร์ทได้โดยตรง

โดยส่วนตัวมองว่าไม่ว่าจะพักห้อง Types ไหน ก็แนะนำให้ซื้อแบบ Full-Board นะครับ ผมว่าคุ้มค่ากว่า เนื่องจากว่าบนเกาะไม่มีห้องอาหาร ร้านอาหารอื่นแล้ว รวมถึงตามกฎก็คือ ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มจากภายนอกขึ้นมาบนเกาะด้วย ทางเลือกนี้จึงดูดีที่สุดเลย

บรรยากาศรอบเกาะและ Facilities ที่มีให้

อย่างที่บอกว่าที่นี่เค้าเน้นให้มาใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่ไม่มีให้เลยเท่าที่จำได้ก็คือ เครื่องต้มน้ำร้อน ตู้เย็น รวมไปถึงการอนุรักษ์พลังงานอย่างการงดใช้ไฟฟ้าตามเวลาที่กำหนด ก็คือตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้า จนถึงบ่ายโมง ให้แขกได้อยู่กับธรรมชาติและ run activities รอบเกาะอย่างแท้จริง

หากไปที่นี่ เพื่อน ๆ จะเห็นนกยูงเต็มไปหมดเลย บนเกาะมี 50 กว่าชีวิตเลยนะ ซึ่งทางรีสอร์ทแจ้งว่าไม่ได้เลี้ยง พวกนางก็อยู่ของพวกนางและสืบพันธุ์กันเองแบบธรรมชาติ โซนหลังเกาะก็คือจะไม่มีคนและเป็นป่า จุดนี้เองมีรูท Trekking รอบเกาะ ที่ทาพนักงานแนะนำให้ Trek ช่วงเวลาเช้าหรือเย็นอีกด้วย เพราะตอนกลางวันอาจจะร้อนไป ตรงนี้เองเราสนใจแต่กลัวเวลาจะไม่พอ ไว้คราวหน้าแล้วกัน

รอบ ๆ เกาะ บริเวณริมหาด เค้าจะทำศาลาให้เราได้นั่งพักแบบส่วนตัว เป็นจุด ๆ ไป การออกแบบศาลาคือการนำไม้มาใช้ทั้งหมด match กับตัวเกาะมาก ๆ รวมถึงตัวหลังคาด้วย แต่ละจุดก็จะมี Beanbag ให้เราได้ Laydown กันแบบฟิน ๆ ไปเลย ได้นอนอาบแดด ฟังเสียงคลื่น ชนวิวทะเลไปพร้อม ๆ กัน บอกเลยว่า เริศ!!!

บริเวณข้างเกาะจะมีชิงช้าให้เพื่อน ๆ ได้นั่งเล่นกันด้วย ตรงนี้เองถือเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปที่สวยงาม แถมยังมีโขดหินให้ถ่ายแนว Abstract โทนฟ้าเบา ๆ เรียกได้ว่า ถ่ายมุมไหนก็สวย

ขึ้นมาด้านบนคงจะพลาดมุมนี้ไปไม่ได้ นั่นก็คือ สระว่ายน้ำกลางของรีสอร์ท อยู่ตรงทิศตะวันตกดินพอดี บอกไว้ตรงนี้เลยว่าตอนพระอาทิตย์ตกดิน เป็นช่วง Magic Hour มาก ๆ มันสวยจริง ๆ คุณ แล้วคือบรรยกาศตัวสระเองก็เป็นแบบไร้ขอบ มองเห็นขอบสระกับทะเล เป็นพื้นแผ่นเดียวกันตัดด้วยเส้นขอบฟ้า อะไรประมาณนั้น

สระสีฟ้า ทะเลสีคราม เบาะนั่งสีเหลือง แค่โทนสีก็ตัดกันอย่างฉูดฉาก บวกกับวันไหนพระอาทิตย์ตกมีสีแดงละก็ บอกเลย ณ จุดนี้ แหลมพรหมเทพก็แหลมพรหมเทพเถอะคุณ ที่นี่ก็สวยไม่ยั้งเหมือกัน

สิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดคือ Happy Hour ของที่นี่จะอยู่ในช่วง 17:30 – 19:30 น. เรียกได้ว่า Get 1 Free 1 ไปเลย ก็คือทางรีสอร์ทกะมอมแขกนั่นแหละดูทรง แซวขำ ๆ นะครับ เอาจริงโปรนี้ควรมีทั้งวัน เอาให้กรึ่มกันทั้งวันไปเลย

มาในส่วนทางเดินของรีสอร์ทไปยังจุดต่าง ๆ ต้องบอกว่าร่มรื่นสุด ๆ เพราะทุกจุดแทบจะไม่โดนแดดเลย มีร่มไม้บังแดดเกือบ 100% แถมยังสะอาดอีกด้วยนะ มันเขียวขจี ก็ทำให้สบายใจ ได้พักผ่อนเลยเฉย ๆ เพียงแค่เดินกลับห้องคุณ และนี่ก็เป็นพื้นที่บริเวณโดยรอบของรีสอร์ทที่เอามาแชร์กัน

ห้องอาหาร

ห้องอาหาร แม้จะมีแค่ห้องเดียว แต่บอกเลยว่า เป็นห้องที่วิวและบรรยากาศดีที่สุดจริง ๆ เพราะอยู่ใต้ร่มไม้ เห็นสระน้ำ วิวทะเล และลมโกรกตลอดเวลา ตรงนี้เอง ตัวที่พักก็ทำห้องพักรวมอาหารมาให้เราพร้อมแล้วด้วยนะครับ เป็นแบบ Full-Board ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถสอบถามรายละเอียดกับทางที่พักได้เลย

ตัวเมนูอาหารเองก็จะเป็นเมนูง่าย ๆ แต่บอกไว้ตรงนี้เลยว่ารสชาติ ดีมากกกกกก ดีแบบ ดีจริง ๆ โดยเฉพาะอาหารทะเลคือสดใหม่มาก ๆ เพราะทางรีสอร์ทเอง นำวัตถุดิบจากชาวประมงที่หาได้จากท่าเรือแหลมตาลนี่แหละ เรียกได้ว่า เป็นธุรกิจที่เกื้อหนุนชุมชนอย่างแท้ทรู

ราคาอาหารถามว่าแรงไหม ก็ต้องบอกว่า สมราคาครับ เพราะถ้าไม่มาทานที่นี่ ก็ไม่รู้จะทานที่ไหนแล้วแหละ เมนูหลายเมนูที่ห้ามพลาด เช่น กุ้งซอสมะขามสามรส กระเพราะทะเล หมึกผัดกระปิ เป็นต้นครับ ซึ่งแต่ละวัน ทางพนักงานก็จะมีการเขียนเมนูแนะนำไว้ที่บอร์ดหน้า Lobby เลย

และอย่างที่บอกว่าห้องอาหารมีอยู่ที่เดียว ฉะนั้นที่นี่เลยเป็นทั้งห้องอาหารเช้าและเย็นไปในตัว โดยอาหารเช้าเองก็จะเป็น line-buffet ครับ เป็นอาหารง่าย ๆ ปนเมนูไทย บวกกับ อเมริกัน ที่ผมติดใจสุดคือข้ามต้นเลย อร่อยมากกกก ซึ่งตอนเช้าเอง ทุกคนก็จะรีบมาทานข้าวกันและออกไปทำกิจกรรมครับ เพระที่นี่ จะมีเวลาเรือ ให้ออกจากเกาะตอนบ่าย 3 ก็คือเรียกได้ว่า มีเวลาอยู่ในเกาะนานนนนนนน เลยล่ะ

Activities และกิจกรรมดำน้ำบนเกาะ

ต้องบอกเลยว่า กิจกรรมที่นี่จะมีค่าใช้จ่ายนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคายัค แพดเดิลบอร์ด พวกนี้จะมีค่าใช้จ่ายหมด และเราไม่มั่นใจด้วยว่า พวกชุดดำน้ำ กับฟินอันนี้ต้องเช่าไหม ตอนนั้นเรียกเก็บเงินแต่ก็ไม่ได้ดูบิลเลย ใช้บัตรฯ รูดไปแล้วก็จบ ในส่วนของเราเอง เรา Prefer การ Free-Diving ครับ

นี่คือภาพที่เราถ่ายหลังฝนตกไม่กี่นาที หากเพื่อน ๆ เห็นโซนปะการัง จะพบว่ามีเยอะมาก ๆ แถมยังมีโซนที่ลึกลงไปราว ๆ 10 เมตรให้ชาวแก๊งค์ Free-dive ได้ดำน้ำดูปลาสวยงามกันด้วย

สำหรับการดำน้ำดูปะการังที่นี่ สิ่งที่ผมอยากจะเตือนคือ ให้ดูช่วงน้ำขึ้นน้ำลงดี ๆ หรือหากเช็กไม่เป็น ให้ถามพนักงานเลย เนื่องจากว่า ปะการังบริเวณริมหาด ตื้นมาก ๆ หากช่วงน้ำลงแล้ว เราจะลอยตัวกลับมาลำบาก เพราะท้องเราจะไปขูดกับปะการับ ทำให้เป็นแผลได้ อีกวิธีคือต้องว่ายอ้อมไปทางทิศเรือเข้าหาด ซึ่งต้องใช้เวลาและระยะทางไกลพอสมควร อย่างไรตรวจสอบให้ดีด้วย

มาถึงตรงนี้ ผมว่าผมอธิบายค่อนข้างจะครอบคลุมเลย จริง ๆ ผมถ่ายภาพไว้เยอะมาก ทุกมุมทุกใบที่นี่ ถ่ายง่ายมาก เพราะแพลนไปจุดไหนก็สวยไปหมด เอาเป็นว่า สำหรับผม หากใครมีโอกาสมาพักที่นี่ ผมแนะนำขั้นต่ำคือต้องพักสัก 2 คืนนะครับ อย่างไรก็ตาม ขอทิ้งท้ายด้วยภาพที่เหลือไว้ดูเป็นการตัดสินใจนะครับ แล้วเจอกันระหว่างทาง

Leave a Reply

*