หลายคนเห็นผมลงภาพผ่านเพจ เลยอยากรีบหนีร้อนมาพึ่งเย็น เห็นหิมะในภาพแล้วอยากนอนบนหิมะปุย ๆ สีขาว ๆ สบายตา แต่บอกก่อน จอร์เจียหิมะไม่ได้มีทั้งปีนะเว้ย!!!
มา มาฟังทางนี้ แล้ววางผานการเดินทางใหม่ เดี๋ยวไปแล้วกลับมาด่าไมว่าภาพหลอกลวง ไปแล้วไม่เห็นเป็นเหมือนในภาพรีวิวเลย ก็แหงล่ะ ถ้ายูไปกันผิดเดือน รับรอง ร้อนตับแตก ทีนี้ก็รู้ไว้แต่วันนี้เลยนะว่า จอร์เจียเนี่ย มี 3 ฤดู
ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์)
บอกเลยว่าเดือนนี้พีคสุด หนาวแบบติดลบบนยอดดอย ใครอยากมาเจอหิมะแบบกำลังตกอยู่ หรือพึ่งตกใหม่ ๆ ก็คือแนะนำฤดูนี้เลย
ข้อดี: ได้ภาพสวยแปลกตา ได้หนาวจับใจคนไทย ได้เล่นกิจกรรมหิมะ
ข้อเสีย: หนาวเกินไป บางวันติดลบ เดินทางลำบาก หิมะทับทาง บางวันฝนตก
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม)
ผมว่าคนไทยชอบฤดูนี้นะ และจากการพูดคุยกับสาว ๆ จอร์เจีย เค้าบอกว่า ใครจะมาเล่นสกีหรือสโนบอร์ด แนะนำเดือนนี้เลย เพราะหิมะตกจนอิ่มฟู แดดดี ดอกไม้กำลังผลิบาน ที่สำคัญ เรียกได้ว่า ช่วงนี้คือ High Season ของจอร์เจีย และตรงกับหยุดยาวของไทยอย่างสงกรานต์นั่นเอง
ข้อดี: ไม่เจอหิมะถล่ม ไม่เจอฝน ได้ภาพสวยงาม หิมะไม่ตกบ่อย เริ่มมีสีเขียว
ข้อเสีย: ของราคาแพงขึ้น
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน)
ต้องบอกว่าฤดูนี้กำลังเข้าทางเย็น คล้าย ๆ กับใบไม้ผลิ แต่จะกลับกันคือใบไม้กำลังจะร่วง ฉะนั้นบางโซนจะเห็นใบไม้เหลืองอร่ามทั้งต้นทั้งทางพร้อมที่จะหล่นลงจากต้น ตอนกลางวันเย็น แต่กลางคืนคือเย็นมาก ช่วงนี้ฉลากหลังบนเขาเริ่มมีหิมะปกคลุมบนยอดแล้ว ได้ภาพสวยงามอีกแบบ
ข้อดี: เดินทางสะดวก ราคาของถูก หาที่พักง่าย ภาพถ่ายหลายโทนสวยงาม
ข้อเสีย: สวยไม่สุด เล่นกิจกรรมได้ครบไม่สุด เป็นฤดูกัก ๆ
อย่างไรก็ตาม ไมจะบอกว่า ข้อดี ข้อเสีย แต่ละข้อไม่ใช่อุปสรรคใด ๆ ของการวางแผนการเดินทางเลย เพราะจริตความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบหนาว ก็มาร้อน บางคนไม่ชอบร้อน ก็ไปหนาว เป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นเก็บข้อมูลไว้แต่พอดี ไม่ต้องเอามาเป็นบรรทัดฐานในการเดินทางของเราในลำดับที่หนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดของการเดินทางคือ เราอยากทำอะไร เจออะไร และไปกับใครพอ แค่นั้น แล้วเจอกันระหว่างทางครับ