ต้องบอกว่าช่วงนี้หลายคนไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศกันเลย แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะยังมีอีกหลายประเทศที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจากหลายชาติ รวมไปถึงชาติไทยด้วย หนึ่งในนั้นคือประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ถ้าให้พูดถึงคงจะนึกถึงแนวปะการังที่สวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง Great Barrier Reef ซึ่งมีความยาวราว ๆ 2,000 กิโลเมตร โขดหินอุรุลู เมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลกอย่างเมลเบิร์น Great Ocean Road ทางริมทะเลที่สวยที่สุดในโลก จุด Check in เด่น ๆ ที่พอเห็นก็รู้ว่าอยู่ที่ไหนอย่าง Opera house และอื่น ๆ อีกมากมายที่ถ้าจะให้ร่ายความยาวสาวความครบบทความนี้ก็คงไม่จบเสียทีเดยว เอาเป็นว่า ทริปนี้ ไมจะพาไปดูสถานที่ท่องเที่ยวออสเตรเลียแบบ 2 เมืองใหญ่โดยใช้เวลาสัก 1 อาทิตย์ ก็น่าจะเก็บอยู่ ถ้าพร้อมแล้ว ตามมาเลย!!!
ไปออสเตรเลียในช่วง Covid ต้องทำอย่างไรบ้าง?
เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ ที่ทาง Australia เค้าเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว จะขอสรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจเป็นข้อ ๆ ก็คือ
- ก่อนเดินทางจะต้องทำการ Declaration ก่อน จะมีแบบฟอร์มให้กรอก
- มีผลการตรวจ Covid ก่อนบินภายใน 72 ชั่วโมง
- มีวีซ่าที่ต้องยื่น และทำก่อนไป สำหรับกรณีสถานการณ์โควิด วีซ่านักเรียน และวีซ่าทำงานค่อนข้างเข้าง่ายกว่า
- หลังเดินทางไปถึง จะต้องตรวจ Covid ในสถานพยาบาลของออสเตรเลีย และรอผลภายใน 24 ชั่วโมง
- กรณีไม่พบ สามารถใช้ชีวิตปกติได้ และตรวจอีกทีวันที่ 6 ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู๋ที่นั่น
- หากไม่พบ ก็จบข่าว เที่ยวได้ตามสบาย และขากลับก็ใช้วิธี Test & Go ของไทย ซึ่งก็เหมือน ๆ กับของ Australia
ในกรณีที่ตรวจพบหลังจากบินมาถึง ทางเจ้าหน้าที่จะตรวจเช็กว่าร้ายแรงหรือไม่ หากไม่ร้ายแรง ถ้ามีบ้านก็นอนอยู่บ้าน มีโรงแรมก็พักพื้นที่โรงแรม นอนดองตัวเองไป 14 วัน แล้วเช็กผลอีกที เพื่อน ๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://covid19.homeaffairs.gov.au/coming-australia
เตรียมอะไรก่อนไป
1. จองตั๋วเครื่องบิน ตอนนี้สายการบินที่สะดวกที่สุดสำหรับการบินไปออสเตรเลีย จะเป็น Singapore Airline สามารถไปจองได้ที่ > https://www.traveloka.com/th-th/flight/airline/singapore-airlines แต่อาจต้องไป Transit ที่สิงคโปร์ 1 Stop
2. จองตั๋วกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นสถานที่ที่น่าสนใจได้ทาง Xperience TVLK ตัวไหนมีในนี้ จองไปก่อน เพื่อความสะดวก ตัวไหนไม่มี ไปด้นสดหน้างาน
3. ไปออสเตรเลียต้องทำ VISA สามารถทำวีซ่าออนไลน์ผ่านทางนี้ได้เลย: immi.gov.au
4. ที่พักควรจองไปก่อน สามารถหาที่พักได้ผ่านทาง traveloka เช่นกัน
5. ออสเตรเลียเวลาเร็วกว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง ฉะนั้นดูเวลาดี ๆ
6. อุปกรณ์ส่วนตัว ยารักษาโรค กล้องเกลิ้ง อันนี้จัดการกันเองเลย
7. ซิมอินเตอร์เน็ต สามารถซื้อหลังจากบินลงได้เลยที่โซน Arrival
8. ที่นั่นใช้ดอลลาร์ออสเตรเลีย แนะนำให้แลกเป็นดอลลร์ยูเอสไปสัก 90% เพื่อไปลกที่นู้น จะได้เรทดีกว่า อีก 10% แลกเป็น AUD เผื่อต้องใช้ระหว่างทาง
9. กรณีไม่ใช้โดยสารประจำทาง สามารถจองรถได้กับทาง Traveloka เช่นกัน
10. อุณหภูมิและสภาพอากาศคล้าย ๆ บ้านเรา แต่ Check ก่อนไปก็ดี เพื่อจะได้เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสม
การจองตั๋วเครื่องบินระหว่างเมือง
สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินระหว่างเมือง จาก Sydney – Melbournce นั้น ต้องบอกว่าไม่มีอะไรต่างไปกับการที่เราจองตั๋วมาจากไทยเลยครับ สามารถจองผ่าน Traveloka ได้เลย ซึ่งตัว Traveloka เอง ก็จะมี Filtr ให้เรากรองวันเวลา ช่วงราคา เพื่อความสะดวกของเราอีกด้วย
ยังไงแนะนำให้วางแผนดี ๆ และทำการจองก่อนเนิ่น ๆ นะครับ จะได้ไม่กดดันจนเกินไป และสำหรับการบินภายในประเทศของออสเตรเลีย ต้องเดินทางไปก่อนเครื่องขึ้นอย่างน้อย 1 ชั่วโมงครับ แต่สำหับการไม่คุ้นชินเส้นทางอย่างเรา ๆ แนะนำให้ไปก่อนสัก 2 ชั่วโมงเลย
การเดินทางโดยรถโดยสาร
Sydney สามารถซื้อบัตร Opal card บัตรเดียวได้ในราคา 20 AUD จากนั้นหากหมด ก็สามารถเติมเงินได้เรื่อย ๆ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย: https://transportnsw.info/tickets-opal/opal/get-opal-card
Melbourne จะใช้บัตรที่ชื่อ Maki Pass ตัวนี้ก็คือสามารถเดินทางได้รอบเมือง และจะเดินทางฟรีกับรถรางรูทสี่เหลี่ยมใน Downtown ได้อีกด้วย สามารถ bookiing หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทางนี่เลย: https://www.ptv.vic.gov.au/tickets/myki
เอาล่ะ น่าจะได้ข้อมูลกันพอสังเขปแล้ว สำหรับ Sydney และ Melbournce มีสถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมเยอะมาก แต่รอบนี้ เราจะขอแนะนำกิจกรรมที่ถ้าไป ยังไงก็ต้องแวะผ่าน ถึงไม่ตั้งใจไป สักวันก็จะได้ไป ในสถานที่ดังต่อไปนี้ เดี๋ยวเรามาแยกเป็นเมือง ๆ กันเลยแล้วกัน เริ่ม!!!!
สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม
Sydney
ก่อนอื่นขอบอกแบบนี้ก่อนเลยว่า ซิดนีย์เนี่ย เป็นเมืองที่หลายคนเคยได้ยินกันเกือบหมด และอยากที่จะเดินทางมาที่นี่สักครั้ง บอกเลยว่า คุณคิดไม่ผิด มันควรมาจริง ๆ มากไปกว่านั้น ที่นี่นอกจากจะมี China Town แล้ว ยังมี Thai Town อีกด้วย ตอนไปครั้งแรกได้ยืนคือ Amazing มาก ๆ และคือบางผับบางร้าน เปิดเพลงไทยไปเลยจ้าาาาา เอาเป็นว่า คอนเท้นท์นี้จะยังไม่ลงรายละเอียดในส่วนนั้นมาก แต่จะพาไปดูสถานที่สำคัญ ๆ ที่ห้ามพลาดกันก่อน
Town Hall
เรียกได้ว่าเป็นจุด Meeting Point ของทุกคนครับ ไม่ว่าใครจะเดินทางไปไหนต่อ ระหว่างทางยังไงก็ต้องนัดมาเจอกันตรงนี้แหละ ที่นี่คือศาลาว่าการนครซิดนีย์ (Sydney Town Hall) เป็นอาคารหินทรายที่ตั้งอยู่ใจกลางนครซิดนีย์ อาคารหลังนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับตึกควีนวิคตอเรีย และอยู่ด้านข้างของมหาวิหาร St Andrew ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Town Hall จุดนี้เองตัว Town Hall ได้ขึ้นทะเลียนเป็นสิ่งปลูกสร้างมรดกของออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อย มาต้องแวะ!!!
Saint Mary’s Cathedral
โบสถ์แห่งนี้ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใครเดินผ่านมาเห็นยังไงก็สะดุดตา ตัวเซนต์แมรีมีความยาวมากที่สุดในบรรดาโบสถ์ในออสเตรเลีย (แม้ว่าจะไม่ใช่โบสถ์ที่สูงที่สุดหรือใหญ่ที่สุดก็ตาม) ตั้งอยู่ที่ College Street ใกล้ชายแดนด้านตะวันออกของย่านศูนย์กลางธุรกิจซิดนีย์ในเขตการปกครองท้องถิ่นของเมืองซิดนีย์ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ แม้จะมีการพัฒนาอาคารสูงในย่านศูนย์กลางธุรกิจ แต่โครงสร้างอันโอ่อ่าของอาสนวิหารและยอดแหลมคู่ทำให้กลายเป็นสถานที่สำคัญจากทุกทิศทุกทาง ซึ่งข้างในงดงงามมากจริง ๆ แนะนำให้มาครับ
Sydney Opera House
โรงอุปรากรซิดนีย์ (Sydney Opera House) เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ใครเห็น ก็รู้ว่าเราเดินทางมา Sydney ออกแบบโดยเยิร์น อุตโซน (Jørn Utzon) สถาปนิกชาวเดนมาร์ก ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวซิดนีย์ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรกดกโลกเป็นที่เรียบร้อย
โรงอุปรากรมีขนาดประมาณ 1.8 เฮกเตอร์ (4.5 เอเคอร์) ภายในประกอบไปด้วยโรงแสดงคอนเสิร์ต 2,679 ที่นั่ง ซึ่งมีไปป์ออร์แกนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โรงอุปรากร 1,547 ที่นั่ง โรงละคร 544 ที่นั่ง เพลเฮาส์ 398 ที่นั่ง โรงภาพยนตร์ 364 ที่นั่ง และ อื่น ๆ ประกอบด้วยสตูดิโอสำหรับซ้อม 5 ห้อง ภัตตาคาร 4 ร้าน บาร์ 6 แห่ง ฯลฯ โดยตัวโรงละครมีความสูง 65 เมตร ด้านยาว 183 เมตร จุดที่กว้างที่สุดมีความยาว 120 เมตร และเสาเข็มฝังเข้าไปในดินมีความลึกถึง 25 เมตร สักครั้งในชีวิต ต้องมาชมดนตรีหรืออะไรก็ตามที่แสดงกันสด ๆ ในโดมแห่งนี้ให้ได้
Harbour Bridge
สะพานฮาร์เบอร์ (Harbour Bridge) หากไปสถานที่ด้านบนแล้ว ยังไงก็เห็น Harbour Bridge ที่นี่มีโครงสร้างพาดผ่านโครงเหล็กถักรูปโค้ง (แบบ Trussed Through Arch) เป็นสะพานระนาบเดี่ยว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในทศวรรษ 1930 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง เปิดใช้ในปีค.ศ. 1932
ที่น่าสนใจคือ มี Activities พาเดินชมด้านบนด้วย แต่ราคาเอาเรื่องพอสมควร หากใครมีเวลาหรือโอกาสและงบประมาณถึง ฝากเล่นกิจกรรมนี้แทนผมทีนะครับ ลอง Search คำว่า harbour bridge climb
Anna Bay (New Castle)
จริง ๆ ตัว Anna Bay ไม่ได้อยู่ Sydney แต่ไกลออกไปราว ๆ 3 – 4 ชั่วโมงที่เมือง New Castle เรียกได้ว่า เมืองนี้เป็นเมืองชายฝั่ง ผู้คนมักมา Vacation กันที่นี่เวลาเบื่อเมืองหลวง
กิจกรรมหลัก ๆ ที่มาทำที่นี่จะเป็นอาบน้ำ กิจกรรมทางน้ำ ขี่อูฐ และ Sandboarding ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไม่มีในภาพ เรามาไม่ทันครับ เมื่อแต่จอดรถถ่ายรูปริมทาง ยังไงถ้าไปก็กะเวลากันสักหน่อยนะครับ
Blue Mountain
ที่นี่ห่างจากศูนย์กลางเมืองไปทางตะวันตกประมาณ 50 กิโลเมตร (31 ไมล์) ใกล้กับเมืองเพนริธ เป็นหุบเขาาที่คาบเกี่ยวกันหลายลูก รวมไปถึงเกรทดิไวดิ้งด้วย Blue Mountain จัถูกล้อมไปด้วยแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็น Nepea, Hawkesbury หรือจะ Coxs และทะเลสบาบ Burragorang เลยทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่มา Trekking เบา ๆ ชมแม่น้ำ ริมธาร หุบเขา และน้ำตก
Queen Elizabeth Lookout
จะเป็น highlight ของ Three sister ที่เป็นเทือกเขาโผล่มาซ้อนแนบเคียงกัน 3 ลูก เหตุนี้เองจึงตั้งชื่อจุดนี้ว่า “สามสาว” มากไปกว่านั้น Queen Elizabeth Lookout ยังทำให้เราได้เห็นวิวบรรยากาศธรรมชาติสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย และใกล้ยัง ยังมีจุดท่องเที่ยวธรรมชาติต่าง ๆ ในรูปนี้ให้เราได้เดินชมกัน โดยไล่ตามลำดับคร่าว ๆ เริ่มต้นที่ Spooners Lookout
ตัว Spooners Lookout เราสามารถเดินผ่าน Sky Walk เข้าไปใกล้ชิดกับน้องได้ ต้องขอยอมรับว่า เส้นทางเดินเท้าธรรมชาติที่นี่ เค้าทำดีมาก ๆ เลยครับ ของเค้าดูดี ดูไม่เสียหรือพังง่าย และทำให้ดูสวยเข้าไปอีก
ถัดมารอบ ๆ ก็จะมี Jamieson Lookout, Lila falls, Linda Falls, Coplands Lookout, Fossil Rock Bridal Veil Falls ตามลำดับ แนะนำให้หาที่พักที่นั่นครับ ผมไปกลับหนึ่งวัน อย่างเหนื่อยเลย ๕๕๕๕
Bondi Beach
หาด Bondi เป็นหาดรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นหนึ่งในชายหาดชื่อดังที่สุดของออสเตรเลีย และด้วยความที่คลื่นสม่ำเสมอ มีทุกวัน มาอย่างไม่ขาดสาย จึงมักจะดึงดูดนักโต้คลื่นให้มายังหาดแห่งนี้ รวมถึงคนในพื้นที่ที่ชอบความท้าทายก็มักมาว่ายน้ำที่สระน้ำทะเลจากภูเขาน้ำแข็งกันตลอดทั้งปีอีกด้วย
รอบ ๆ บริเวณถนน Hall Street จะมีบาร์และคาเฟ่ให้นั่งชิลเอ้าท์กันเบา ๆ ส่วนนักท่องเที่ยวจ๋าหน่อย ก็จะเดินเล่นบริเวณ Bondi to Congee Coastal Walk บนยอดผาที่เห็นวิวแบบ 180 องศา มากไปกว่านั้นก็จะมีวัยรุ่นมาเล่นบอร์ดกัน และชาวเมืองวิ่งออกกำลังกายกัน เป็นฟีลที่ดีมาก ๆ
จริง ๆ สักครั้งหนึ่งก็อยากเล่นเซิร์ฟที่นี่บ้าง แต่ตอนนั้นไปคนเดียว ไม่มีใครเฝ้าของให้ จะไปเล่นคนเดียวก็กลัวอีก ทั้งอันตราย ของก็กลัวหาย ตอนนั้นเลย Say goodbye ไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่อีกรอบแก้มือ
Melbourne
ถ้าบอกว่าเมืองนี้เคยเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก คุณจะเชื่อไหม คือมันน่าอยู่จริง ๆ แล้วระบบสาธารณูปโภคเค้าดี ขนส่งสาธารณะเค้าดี ผู้คนก็อัธยาศัยดี มันน่าอยู่ไปหมด และด้วยความที่เมืองนี้เป็นเมืองเก๋ ๆ ชิค ๆ คูล ๆ ก็จะมีสถานที่เที่ยวหรือจุดถ่ายรูปในเมืองมากมายเลย หาเวลามาให้ได้ก็พอ และการเดินทางจากซิดนีย์มาที่นี่ ก็ไม่ได้ใช้เวลานานอะไรเลย ที่สำคัญ ค่าตั๋วเหมือนบินจาก กทม. ไปเชียงใหม่อีกด้วย นี่เราอยู่แค่ 2 คืน มาดูกันว่าเราไปเก็บที่ไหนมาบ้าง เผื่อจะลอกตามกัน
Great Ocean Road
ที่นี่เป็นมรดกแห่งชาติของออสเตรเลียซึ่งมีระยะทาง 240 กิโลเมตร (150 ไมล์) ตามแนวชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ระหว่างเมืองทอร์คีย์และอัลลันส์ฟอร์ดในวิกตอเรีย ถนนสายนี้สร้างขึ้นโดยทหารที่กลับมาระหว่างปี 2462 ถึง 2475 และอุทิศให้กับทหารที่เสียชีวิตระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ถือเป็นอนุสรณ์สถานสงครามที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ความสวยงามของถนนเส้นนี้คือระหว่างทางคดเคี้ยวไปตามภูมิประเทศต่าง ๆ ตามแนวชายฝั่ง จะมีสถานที่ทอ่งเที่ยวและธรรมชาติที่สวยงาม Unseen มาก ๆ รวมถึงกลุ่มหินปูนสิบสองอัครสาวก (12 Apostle Marine National Park) อีกด้วยเดี๋ยวเรามาไล่แต่ละจุด ๆ กันครับ ซึ่งทริปนี้ สามารถซื้อผ่านทาง Traveloka ได้เหมือนเดิมเลย
Anglesea x Apolo Bay
ที่นี่ถึงจะไม่มาก็ผ่านอยู่ดีครับ งั้นก็ลง ๆ ไปหน่อยแล้วกัน ตั้งอยู่บนถนน Great Ocean บนพื้นที่ปกครองของรัฐบาลท้องถิ่นของ Surf Coast Shire เดิมชื่อ Swampy Creek แต่ถูกเปลี่ยนเป็น Anglesea เพราะต้องการตั้งชื่อให้ตรงกับแม่น้ำในตัวเมือง สวยดีครับ ถ่ายรูปเก๋ ๆ ชิค ๆ คูล ๆ ได้ เพราะมีหาดทรายที่ค่อนข้างยาว และขา ทรายละเอียดด้วย
12 Apostle Marine National Park
ที่นี่คืออุทยานแห่งชาติทางทะเลสิบสองอัครสาวกเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ได้รับการคุ้มครอง ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐวิกตอเรีย อยู่ใกล้ Port Campbell และตั้งชื่อตามกองหิน The Twelve Apostles ที่สวยงาม และมีซากของปัตตาเลี่ยน Loch Ard ซึ่งอับปางบนเกาะ Mutton Bird ในปี 1878 เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของกองหินที่ยืนอยู่กลางทะเลถึง 12 ลูกด้วยกัน
อยากบอกว่าคนเยอะมาก ๆ แล้วบริเวณนี้ก็จะมีสถานที่ใกล้เคียงกันประมาณ 2-3 ที่ สามารถใช้เวลาในแถบนี้ได้ราว ๆ ครึ่งวันเลย แต่ผมมองว่าถ้าเช่ารถขับมาเอง แล้วมาดูช่วง Sunset คงจะสวยไม่น้อย
Two Survivors
ตรงนี้จะเป็น Part ของอุทยาน ที่มีบันไดให้เราเดินลงไปสัมผัสกับช่องหินด้านล่างบางส่วนที่ไม่อันตรายครับ จะเป็นแนวช่องน้ำทะเลแทรกเข้ามาที่หาด จุดนี้เองก็ถ่ายรูปสวยเหมือนกัน แต่ถ้าจะเล่นน้ำ ก็ค่อนข้างอันตรายเลยครับจุดนี้ เพราะกลัวเรื่องกาดดูดของน้ำทะเล เนื่องจากเป็นข่องแคบ
แต่ประวัติของที่นี่คือมีสองคนจาก 54 คน ที่รอดตายจากการอับปางของเรือครับ สามารถอ่านประวัติได้จากภาพด้านบนเลย พวกนางรอดแล้วขึ้นฝั่งมาได้จากจุดนี้ โชคดีมาก ๆ เค้าก็ลองตั้งชื่อซอกหินนี้ว่า Two Survivors นั่นเอง
The Island Archway
จุดชมวิว Island Arch เป็นหนึ่งในเส้นทางเดินที่มีจุดชมวิวสวยมาก ๆ สามารถเข้าถึงได้จากที่จอดรถ Loch Ard Gorge มีป้ายขนาดใหญ่แสดงตำแหน่ง รจุดชมวิว Island Arch ให้ทัศนียภาพที่ยอดเยี่ยม ซึ่งใกล้เคียงกันก็จะมี Loch Ard Gorge ด้วย ด้านล่าง คุณจะเห็นหน้าผาซึ่ง Loch Ard ถูกทุบให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เกิดจากธรรมชาติอีกด้วย
หากมองในบางมุม เพื่อน ๆ จะเห็นช่องแคบของโขดหินคล้ายถ้ำ ต้องบอกว่าอากาศตอนช่วงที่เราไปดีมาก ๆ ท้องฟ้าสว่างตลอดวัน เลยทำให้เราได้ภาพวิวที่ค่อนข้างน่าพอใจเลย และนี่ก็เป็น Guideline คร่าว ๆ สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจจะเดินทางไปออสเตรเลียตอนนี้
เอาจริงจากที่โทรถามเพื่อนที่ไปทำงานที่นั่น เค้าก็ไม่ได้ตรวจอะไรมากครับ สำหรับวีซ่านักเรียนและวีซ่าทำงาน สามารถติดต่อให้เอเจนซี่ทำให้ได้เลย ถ้าจำเป็นต้องไปจริง ๆ หลักเกณฑ์ผ่านแดนก็เหมือนบ้านเรา ถ้าตรวจไม่เจอ ก็ไปต่อ คล้าย ๆ Test & Go จะบอกว่าถ้าเรามัวแต่รอให้สถานการณ์โควิดมันดีขึ้น เราก็คงไม่ต้องเดินทางไปไหนกันแล้วล่ะครับ ซึ่งก็หวังว่ามันจะจบลงเร็ว ๆ นี้ แล้วเจอกันระหว่างทางครับ