ถ้าจะให้พูดถึงจังหวัดที่มาแรงแซงทางโค้งขอบทุก ๆ จังหวัดก็คงจะหนีไม่พ้นจังหวัดน่านนี่แหละครับ ขนาดชาวบ้านคนพื้นที่เองยังพูดถึงเลยว่า เดี๋ยวนี้เดินตลาดหรือทานอาหารตามร้านแยกไม่ออกแล้ว คนไหนคนน่าน คนไหนนักท่องเที่ยว เพราะมีปริมาณที่พอ ๆ กันเลย
ทริปนี้ จะพาไปดูเรื่องราวหมู่บ้านแห่งหนึ่งบนภูเขาเหนือสะปันครับ เป็นหมู่บ้านที่คนเดินทางไปกันน้อยมาก ขับผ่านสะปันมาแค่ 10 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว อยากให้มากัน ที่นี่คือ หมู่บ้านห้วยโทน หมู่บ้านกลางเขาที่มีเพียง 6 ตระกูลอาศัยอยู่ที่นี่ บนนั้นไม่มีโรงเรียน ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีตลาดเหมือนอย่างเรา ๆ เค้าใช้ชีวิตอยู่กันยังไง เอ้อ….
บทความนี้เลยขออาสาเดินทางไปเยือนหมู่บ้านห้วยโทนสักหนึ่งคืนกึ่งเที่ยวกึ่งเรียนรู้ แต่เน้นเที่ยวเสียมากกว่า ฮา ๆๆ โดยการเดินทางครั้งนี้เราเช็กตั๋วเครื่องบินง่าย ๆ ผ่าน Traveloka เว็บไซต์ที่ทำให้การจองที่พัก รถเช่า และตั๋วเครื่องบินของเราง่ายขึ้น
เจ้า Traveloka นอกจากจะมี Website แล้ว เค้ายังมี Application ที่ติดตั้งคาไว้ในมือถือเราด้วยเลยนะ ใครยังไม่มีรีบโหลดเรย รับรองความสะดวกในการเดินทาง ที่สำคัญ มีช่องทางสำหรับการชำระค่าตั๋วหลายช่องทางมาก ๆ
นอกจากนั้นทาง Traveloka เค้ายังจัดโปรและแจกส่วนลดอยู่บ่อย ๆ เพื่อน ๆ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมหน้าตาเว็บไซต์ หรือเข้าไปจองตั๋วได้ผ่านทางช่องทางนี้เลย https://www.traveloka.com/th-th/flight เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปกันเลยครับ
DAY 1
ต้องบอกก่อนว่าการเดินทางครั้งนี้ ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวหมู่บ้านห้วยโทน ไม่รู้ว่ามีร้านอาหารไหม มีห้องอาบน้ำหรือเปล่า อากาศหนาวเย็นสักแค่ไหน ด้วยความไม่รู้ในหลาย ๆ อย่าง เราก็เลยต้องเตรียมตัวพอสมควร อนึ่งเค้าว่าที่นี่เป็นจุดกางเต้นท์สำหรับมือใหม่ ฉะนั้นแล้วมือใหม่อย่างเราก็ลองเสียหน่อย
หลังจากเดินทางมาถึงตัวเมืองน่าน เราก็นั่งรถส่วนตัวต่อไปที่บ้านสะปันเลย (จริง ๆ ก็แวะคาเฟ่ริมทาง รวมถึงจุด highlight ต่าง ๆ ด้วย แต่ขอตัดออกแล้วกัน) ใช้เวลาราวในการเดินทางจริง ๆ 2 ชั่วโมง แต่ถ้าแวะริมทางเรื่อย ๆ เก็บไปเลย 4 – 5 ชั่วโมงแน่นอน
หมู่บ้านสะปัน เป็นอีกจุดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวตามรีวิวเยอะมาก แต่คือ มันเยอะไปครับ ตอนนี้หากย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว สะปันที่ผมเคยเห็นกับตอนนี้ ต่างกันราวกับฟ้าดิน เพราะแม่น้ำว้าตอนนี้ แทนที่จะมีแค่ต้นไม้ กิ่งไม้ยื่นออกมาจากริมน้ำ กลายเป็นสะพานไม้ไผ่ โคมไฟ อะไรเต็มไปหมด จะสวยก็ว่าสวย แต่เหมือนเราเริ่มลุกล้ำธรรมชาติมากเกินไปแล้ว
ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นประเด็นเอา หลังจากที่เดินทางมาถึงสะปัน บอกเลยว่าเหลืออีกเพียง 10 กิโลเมตร ก็จะถึงหมู่บ้านห้วยโทนแล้ว… แต่ ๆๆๆๆๆๆ เป็น 10 กิโลเมตร ที่ต้องใช้เวลาในการเดินทาง 40-60 นาทีนะครับ สั้น ๆ ทางเหี้ยมาก!!!!
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราลุยกันเลย… ช่วงแรกเป็นพื้นซีเมนต์แบบไม่ดีเท่าไหร่ ช๊อตต่อไปของจริง ขรุขระ ดินแดง หินกรวด ดิน หญ้า สลับไปมา แบบมาหมด โค้งเยอะ ขึ้นลงเนิน เล่นเอาลำไส้เล็กใหญ่ปั่นรวมกันจนแยกไม่ออก
ถามว่าทางแย่มากไหม เราว่าแย่ แต่ยังไม่ที่สุดเท่าที่เคยไปเจอมา พอได้ครับ รถที่ใช้สามารถใช้รถส่วนตัวได้สบาย ไม่ถึงกับขั้นต้องเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ถ้าเก๋ง คำเดียวว่าไม่ควรอย่างยิ่ง
ระหว่างทางเจอจุดสวย ๆ เราก็แวะจอด อย่างเช่นจุดนี้ครับ จุดกระท่อมสามหลัง เป็นจุดที่จริง ๆ แล้วเราต้องมาดูหมอกกันตอนเช้า แต่ไหน ๆ ผ่าน ก็แวะหน่อย นึกไม่ออกเลยว่า ถ้ามาตอนเช้าจะสวยขนาดไหน หมอกคงไล่ระดับตามเราขึ้นมาบนกระท่อมแน่นอน
ระหว่างทางสังเกตุเห็นชาวบ้านขับมอไซต์ เหมือนรับลูกจากโรงเรียนที่อยู่กลางหมู่บ้านสะปัน และมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งแบกของเต็มหลังไปหมดกำลังเดินกลับหมู่บ้าน ขับไปไม่นาน เราก็เห็นหมู่บ้านกลางเขาแต่ไกล คงไม่ใช่หมู่บ้านอื่นอ่ะ ต้องห้วยโทนเท่านั้นแล้วจังหวะนี้
เราเดินทางมาถึงที่นี่เกือบ 5 โมงเย็นครับ เกือบไม่ทันอาทิตย์อัสดง ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่นี่ดูแลเราดีครับ ติดต่อได้ตลอดเวลา ยกเว้น DTAC เพื่อทุกคนที่ไปมีสัญญาณหมด ยกเว้นผมครับ แบบนี้ต้องย้ายค่ายไหม ถามจริง!!!!!
ลานกลางเต้นจะอยู่สูงที่สุดของหมู่บ้านครับ ขับรถข้ามสะพานขึ้นมา ลุยทางชันหน่อยก็ถึงเลย ลานกางเต้นท์คือทำไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเลย ชาวบ้านช่วยกันทำ เกลี่ยดิน ต่อไฟ เอาน้ำประปามารอง และที่สำคัญสำหรับคนไม่มีเต้นท์ ที่นี่มีเต้นท์และชุดเครื่องนอนให้เช่านะครับ ราคาเพียง 300 บาท
คนที่เอาเต้นท์มาเอง ก็จะเสียค่ากางเต้นท์ละ 200 บาทเท่านั้น กลางไปเลยครับ สิ่งที่ควรรู้อีกอย่างคือที่นี่รับนักท่องเที่ยวแค่ 50 คนต่อวัน ขีดเส้นใต้สีแดงเน้น ๆ ว่า 50 คนเท่านั้นครับ ผู้ใหญ่บ้านที่นี่หัวอนุรักษ์มากบอกเลย และหน้าฝน ไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวให้ค้างคืน มาได้ แต่ให้ลงไปนอนด้านล่าง
เอาล่ะ ระหว่างเรากางเต้น ก็ดูวิวยาวเย็นของหมู่บ้านห้วยโทนไปก่อน แล้วหลังจากนี้ จะเล่าให้ฟังคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของหมู่บ้านแห่งนี้
- ที่นี่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,500 เมตร
- อากาศหนาวตลอดปี แต่หนาวบรรลัยช่วงหน้าฝน
- หน้าฝนคือหน้าที่สวยที่สุด แต่หน้าหนาวก็ชิลอีกแบบ
- ที่นี่นับถือผีบรรพบุรุษ ศาสสนาพุทธ และก็คริสต์
- หมู่บ้านมี 6 ตระกูล แต่ละตระกูลห้ามแต่งงานกัน ต้องต่างตระกูลเท่านั้น
- ที่นี่เป็นพื้นที่ไม่มีโฉนด มักจะไม่ได้งบประมาณมาพัฒนาหมู่บ้าน ต้องใช้งบทหาร
- ถนนที่เห็นตอนเดินทางมา คือชาวบ้านช่วยกันทำครึ่ง ๆ เลย
- ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีโรงเรียน ไม่มีตลาดนัด
- อาชีพส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ ชาวสวน และปลูกกาแฟ
- รายได้เฉลี่ยต่อคนตกคนละ 5,000 – 20,000 บาท/ปี ใช่ครับ อ่านไม่ผิด ต่อปี!!!!
จากการที่ได้พูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านคร่าว ๆ แกบอกว่า อุปกรณ์การเรียน เครื่องนุ่งห่มตอนนี้ ไม่จำเป็นเท่ากับเงินที่จะมาใช้ทำถนนเข้าหมู่บ้าน เพราะหน้าฝนทีไหร่ เดินทางลำบากทุกที ไอ่เดินทางลำบากไม่เท่าไหร่ อุบัติเหติจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นมานี่แหละ อันดับหนึ่งเลย
อ่ะ… ใครกำลังหาที่บริจาคของ หรืออะไรพวกนี้ ก็สามารถติดต่อไปที่บ้านห้วยโทนได้โดยตรงเลยที่เบอร์ 082-190-0491 (ผู้ใหญ่หนึง) และในส่วนของค่ำคืนนี้ หลังจากแบ่งหน้าที่กันกางเต้นท์ และทำอาหาร เราทุกคนก็พร้อมกันที่แคมป์ครับ ทำชาบูน้ำดำทานกัน อร่อยมาก อากาศมันเย็น กินอะไรร้อน ๆ นั่นหมายความว่าดีสุด ๆ
จะไม่เน้นอาหารที่กินมาก เพราะดาวบนหัวเราฟินกว่าครับ หลังจากทานอาหารเสร็จ ล้างจานเก็บของอะไรเรียบร้อย ก็ถึงคราวมาล่าดาวกันละที่นี้ ต้องบอกก่อนเลยว่ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นล้านดวง
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าบางคนยังถ่ายดาวไม่เป็น ผมจะสรุปให้ทำความเข้าใจง่าย ๆ สั้น ๆ นะครับ เพราะผมก็ไม่ใช่เซียนกล้องหรืออะไรขนาดนั้น หลักการง่าย ๆ มีแค่นี้ครับ
- ตั้ง Focus เป็น infinities ไปเลย หรือเอาให้เลขเยอะที่สุดอ่ะ
- ISO ควรตั้งให้อยู่ในช่วง 4,000 กำลังงามครับ แต่หากอยากได้ภาพเว่อร์ ก็เอาให้สุดไปเลย ยิ่งสูง แสงยิ่งดี
- รูรับแสง (shutte) แนะนำให้ไม่เกิน 30 นะครับ สัก 20 กำลังพอดี เพราะถ้านานกว่านี้ ดาวจะเลื่อนครับ
มี 3 ข้อง่าย ๆ ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าถูกหรือเปล่า เพราะผมแม่งก็มั่วหน้างานเหมือนกัน ปรับไปเรื่อยจนกว่าจะได้ภาพที่ถูกใจเอางั้นเถอะ ไม่ Perfect เท่าไหร่ แต่ก็ทำให้นอนหลับสบายได้เลยคืนนี้ สวยสุด ๆ ราตรีสวัสดิ์ครับ
DAY 2
น่าเสียดายที่จุดกางเต้นท์บ้านห้วยโทนไม่มีจุดชม Sunrise / Sunset ที่พีคครับ เนื่องด้วยว่าเป็นหมู่บ้านกลางหุบเขา เลยทำให้ถูกปิดล้อมไปด้วยเขาที่ร่ายล้อมทุกอนาเขต เหมือนอยู่ในหลุมอ่ะ แต่เวิวตอนเช้าก็ไม่ได้แย่ ขนาดมาหน้าหนาวยังเห็นทะเลหมอกเลยเอาสิ
จะให้ที ต้องขับรถลงไปที่กระท่อม 3 หลังครับ แต่เราตื่นกันสาย เลยตัดตอนขึ้นไปชมวิวตรงระเบียงจุดอ้อนรักด้านบนเลย //ชื่อน่ารักเนอะ “อ้อนรัก” หุ้ยยยยยย
ที่นี่ชาวบ้านเค้ามีรถรับส่งให้ฟรีนะครับ หรือเราจะให้สินน้ำใจก็ได้ เค้าไม่ได้ว่าอะไร เค้ามาบริการครับ จะด้วยใจหรืออะไรก็ตามแต่ การให้สินน้ำใจกับคนที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจต่อไป ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ
บนจุดอ้อนรัก ทุกเช้าในทุกวัน ผู้ใหญ่บ้านแกจะไป Standby รอดริปกาแฟของหมู่บ้านให้เราจิบกันครับ ราคาประมาณ 40 บาทต่อแก้ว และหากชอบใจ สามารถซื้อเมล็ดกาแฟกลับบ้านไปได้เพียงถุงละ 100 บาทเท่านั้น
กาแฟที่ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ฯ ให้ข้อมูลว่าเป็นพันธุ์ Arabica เนื่องจากว่าพันธุ์นี้ ปลูกง่าย ปลูกที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวเราจิบกาแฟ ทุกรสกันเสร็จแล้ว จะพาไปดูไร่กาแฟบนเขาของที่นี่กันครับ
สำหรับผม ผมชอบคั่วกลางครับ ถึงแม้จะไม่ใช่คอกาแฟเท่าไหร่ แต่กาแฟที่นี่ก็หอมและรสดีใช้ได้เลย จากจุดอ้อนรัก นั่งรถต่อไปบนเขาครับ ห่างไปประมาณ 10 นาทีเท่านั้น ทางก็จะโหด ๆ หน่อย ไม่นานก็ถึงไร่กาแฟครับ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ตกใจ… ไร่กาแฟ เหมือนไม่ใช่ไร่กาแฟครับ เพราะเหมือนเรามาเดินป่าเลย มันคงปลูกง่ายจริง ๆ ง่ายจนไม่ต้องมาดูแล ที่สำคัญ งงกับความสะอาดของใบกาแฟมาก เหมือนไม่มีดิน มีฝุ่นมาเกาะ มันวาววับจับตา ต้นกาแฟตั้งอยู่ริมเขาสองข้างทางเดิน ฟีลลิ้งดีมาก ๆ
ตัวกาแฟ Arabica ของที่นี่เอง ก็ไม่ใช่ย่อย ตอนเราไปกำลังทยอยแดง คือเริ่มสุกนั่นเอง และถ้าสุกทั้งหมด ชาวบ้านก็จะเด็ดเอาไปตากแห้ง หรือเอาไป Process ตามหลักการของคนที่นี่ ซึ่งระหว่างทางเราก็ได้ชิมลูกกาแฟสุกสีแดงด้วย รสชาติคือเหมือนกระถินเลย ๕๕๕๕๕๕๕ เฉพาะเนื้อมันนะ เมล็ดมันแข็งมาก กัดไม่เข้า
สดชื่น ชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก หนึ่งวันที่อยู่ที่นี่ได้รับพลังงานบวกไปเยอะพอสมควร ถ้ามีเวลาอีกวันกะว่าจะเดินไปตามหมู่บ้าน แล้วดูวิถีชีวิตชาวบ้านเสียหน่อย กะแบบเข้าไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันเลยอะไรประมาณนั้น แต่ก็นั่นแหละนะ เวลาเราไม่ได้เยอะขนาดนั้น ถามว่าที่นี่น่ากลับไปไหม ตอบแบบสั้น ๆ เลยว่า “ ได้ “ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะเลย
หมู่บ้านห้วยโทนถือเป็นอีกที่ที่รอนักท่องเที่ยวมาสัมผัสความรัก ความอบอุ่น และบรรยากาศหลังเขาแบบไม่อายปากอยู่ ใครจะหาว่าเราเป็นคนหลังเขาก็ช่าง แต่หลังเขาแบบนี้ ก็น่าอิจฉากว่าหน้าเขาแล้วมีฝุ่นเยอะ ๆ การจารจรติดขัด รถติดแน่นอน แล้วเจอกันระหว่างทางครับ