Backpack นครวัด – นครธม – โตนเลสาบ ด้วยเงิน 4,000 บาท
หลายๆ คนที่ตามผมมาคงจะรู้ว่าผมเคยไปประเทศกัมพูชามาแล้ว ๔ ครั้ง และครั้งนี้ คงจะเป็นครั้งที่ ๕ เห็นจะได้ เรียกได้ว่า เชี่ยวชาญพอตัว หากพูดถึงนครวัด แต่ถ้าถามถึงประวัติน่ะหรอ ต่ำตมมาก ฮาๆๆ
ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่แปลกไปจากเดิม เพราะผมเดินทางโดยการบินไปลงที่เสียมเรียบเลย ก็แปลกดีนะ เร็วดี ปกติ การจะไปนครวัดของผม คือการกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ แล้วพาเพื่อนขับรถข้ามประเทศไปดูนครวัดมากกว่า //ผมเป็นคนสุรินทร์ พื้นที่ติดกัมพูชา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเลยขอใช้พื้นที่ตรงนี้เล่าเรื่องสักหน่อย เพราะหากจะริวิวเพียวๆ เลย คาดว่าจะจบในไม่กี่หน้ากระดาษแน่นอน เพราะเสียมเรียบอย่างที่รู้กันอยู่ว่า “ มันมีแค่นี้ “ แต่แค่นี้ก็เถอะ ถ้าเอาให้ครบจริงๆ ก็เหงื่อตกเหมือนกันนะ เอาล่ะ ไปลุยกันเลยดีกว่า!!!
Chapter 0 การเตรียมตัวและสิ่งควรรู้
ตะกี้ก็อยากจะไปเร็วเกินจนลืม Chapter 0 การเตรียมตัวและสิ่งควรรู้ก่อนที่เพื่อนๆ จะไปนครวัดกัน แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลมาก เพราะเสียมเรียบ กัมพูชา แห่งนี้ เป็นเหมือนบ้านพี่เมืองน้อง คนไทย ก็เหมือนคนบ้านเค้านั่นแหละ และที่กัมพูชาตามสถานที่ท่องเที่ยว เค้าก็แทบจะพูดไทยได้กันทั้งนั้น เรียกได้ว่าราวๆ 50% เลยล่ะ ว่าจะไม่พูดเยอะแล้วก็ยังพูดอยู่ ฮาๆๆ มาดูสิ่งที่ต้องเตรียมตัวกันเลยดีกว่า
- Passport
- No Need Visa วีซ่าสำหรับประเทศเราไม่จำเป็นนะครับ และหากอยู่ไม่นาน ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนไปเข้าประเทศ
- กัมพูชาใช้แระแสไฟฟ้าแบบ 220 โวลต์ เป็นปลั๊กเหมือนบ้านเรา มีทั้งรูกลมและรูแบน
- เงินที่ใช้ส่วนใหญ่ใช้ USD ไม่จำเป็นต้องแลกเงินในประเทศเค้า
- แต่ถ้าอยากใช้เงินประเทศเค้า ก็สามารถแลกได้ ใช้เงินสกุล Riels (KHR) มีอัตราแลกเปลี่ยน 120 KHR = 1 THB
- คนกัมพูชาพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะสมัยก่อนเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส //ใช่ปะวะ อันนี้มั่นใจ ฮาๆ
- ขับรถชิดขวานะ พวงมาลัยซ้าย
- เมืองเสียมเรียบเป็นเมืองที่ที่สถานที่ท่องเที่ยวอยู่ไม่กี่ที่ แต่ทุกที่ล้วนแล้วแต่เป็นระดับโลกทั้งนั้น อย่างเช่นนครวัด
- ประเทศนี้ ปกครองด้วยร้าน Temple ลองสังเกตดีๆ ร้านชื่อ Temple จะมีตั้งแต่ร้านกาแฟ ร้านนวด ยันผับบาร์ตอนกลางคืน
- ไปประเทศนี้ ต้องพกครีมกันแดด หมวก แว่นกันแดด และร่มไว้ด้วย เพราะบทจะร้อนก็ร้อนแผดเผา จู่ๆ ฝนจะตกก็ตกมาดื้อ
สิบข้อข้างต้น น่าจะทำให้เพื่อนๆ มีอุปกรณ์มาเตรียมรับมือกับประเทศเพื่อนบ้านของเราไม่มากก็น้อย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเตรียมมาจริงๆ โดยเฉพาะข้อ 10 เนี่ย เราเตือนคุณแล้วนะ ฮาๆๆ
Chapter 1 Bangkok – Siemriep
การเดินทางจากกรุงเทพไปยังเมืองเสียมเรียบของกัมพูชานั่นมีหลายเส้นทางมากๆ ไม่ว่าจะเป็นด่านปอยเปตของสระแก้ว ทางด่านช่องจอมของสุรินทร์ หรือการบินจากกรุงเทพข้ามประเทศไปก็ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็มีบางคนที่สามารถเดินทางผ่านเส้นทางธรรมชาติเข้าไปยังกัมพูชาได้อีกด้ว…เดี่ยว!! กูว่ากลับมาที่เรื่องท่องเที่ยวเหมือนเดิมดีกว่า ฮาๆๆ นั่นแหละครับ ครั้งนี้เราก็เลยเลือกการเดินทางโดยการบินนั่นเอง…
ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ – เสียมเรียบ ก็มีหลายสายการบินนะครับ เพื่อนๆ สามารถเลือกราคาตามใจชอบได้ในเว็บเปรียบเทียบราคาสายการบินทั่วๆ ไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็น Skyscanner, Expedia, Traveloka ก็ได้หมด
เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ทำให้เราเดินทางมาถึงเสียมเรียบแล้วครับ ที่นี่เป็นสถานบินที่ Local สุดๆ ไม่ได้เป็นตึกหรืออาคารเหมือนที่อื่นนะครับ แต่เรียกว่าศาลาเห็นจะได้ แถม ต.ม. เมิงก็ดูสบายเหลือเกิน ต้อนรับกูได้อย่างประทับใจ //กูประชด
Chapter 2 เที่ยวกันเถอะ
ครั้งนี้เราวางแผนมาว่าหลักๆ เราจะไปชมนครวัด นครธม โตนเลสาบ และทุ่งดอกบัวครับ ส่วน Pub Street ยังไงก็คงต้องไปอยู่แล้ว เพราะถือว่าเป็นอีกทีเด็ดของทีนี่ ฮาๆๆ เราออกจาสนามบินมาก็เจอพี่ตุ๊กๆ เลย คืออย่างที่บอกว่าครั้งนี้เราจองห้องพักของ Lub-d Cambodia Siem Riep ครับ หลังจาก Booking เรียบร้อย เค้าก็จัดรถตุ๊กๆ มารับเราที่สนามบิน เพียงแค่บอกว่า เราจะมาถึงรอบเวลากี่โมงเท่านั้น
รถตุ๊กๆ พาเราขับด้วยความเร็วที่น่าสนใจ 40 ไมล์ต่อชั่วโมง นี่คือจะชิลไปไหน แต่เอาเหอะ เราก็ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว เพราะจากที่หาข้อมูลมา เมืองนี้ ก็ไม่ได้มีที่ท่องเที่ยวเยอะขนาดนั้น แต่ก็ต้องมาให้รู้ว่า นครวัด มันเป็นอย่างไร ทำไมถึงมีคนพูดว่า See Angkor Wat And Die วิวข้างทางเป็นบ้านสไตล์ต่างจังหวัดเหมือนบ้านเรา แต่ยังคงความคูลที่ขนาดแม่น้ำกลางเมือง เด็กๆ ยังเล่นน้ำกันได้อย่างชิล : ) //คือที่นี่อากาศค่อนข้างร้อน
เวลาไม่นานก็ทำให้เรามาถึงที่พักครับ ที่พักอยู่ใจกลางเมืองเลย แถมติด Pub Street อีกด้วย ไม่รอช้าที่จะรีบ Check in เอากระเป๋าไปเก็บและนอนพักสักครู่ และระหว่างที่เรานอนพัก ผมขออนุญาตพาเดินทัวร์ที่พักแห่งใหม่ที่นี่ก่อนแล้วกัน จริงๆ เรียกได้ว่า หากเป็น Hostel ต้องยกให้ที่นี่เป็นอันดับหนี่งในใจเลย เพราะตอบโจทย์ Life Style อย่างเราๆ มากกกก และเป็นแหล่งรวม community รวมถึง Activities ที่หลากหลายอีกเพียบ
Lub d Cambodia Siem Riep หรือ หลับดี กัมพูชา เสียมเรียบแห่งนี้เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานครับ ห้องพักมาพร้อมคอนเซ็ปที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีการนำเรื่องราวและโครงสร้างของหมู่บ้านกัมปงพลัวะ (หมู่บ้านลอยน้ำ) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเสียมราฐ มาเป็นส่วนหนึ่งในคอนเซ็ปของการออกแบบ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนรูปแบบของชุมชนที่นี้อย่างลงตัว
ที่นี่มีห้องพักออกเป็น 2 แบบครับ แบบหอพักรวมที่สามารถรองรับนักเดินทางได้ถึง 150 เตียง ใน 1 ห้องสามารถพักรวมกันได้ 10 ท่าน และห้องพักแบบส่วนตัวถึง 72 ห้อง อย่างห้องที่เรามาพักกันในครับนี้ครับ
ซึ่งบางห้องก็เป็นห้องเชื่อมด้วยนะ หากใครสนใจที่จะพักห้องเชื่อม เพื่อเปิดประตูหากัน ก็สามารถสอบถามกับทางที่พักได้เลย หรือหากต้องการจะเซอร์เวย์ดูราคาและจอง Booking ก็เข้าไปที่ https://www.lubd.com/siemreap ได้เลย ; )
เพิ่มเติมสำหรับห้องดอมนะครับ ห้องดอมที่นี่เค้าก็จะมีห้องแยกหญิง แยกชาย และก็ห้องรวมครับ ซึ่งจากที่ถามพี่ๆ พนักงาน เค้าบอกว่า ยอดจองสุดฮิตคือห้องรวม ฮาๆๆ ส่วนห้องน้ำก็แยกหญิงแยกชายชัดเจน มีถังซักผ้า ถังอบ อย่างภาพข้างล่างครับ
นอกจากนี้ยังมีห้อง co-working space ที่สามารถตอบโจทย์การทำงานให้กับชาวมิลเลนเนียล แล้วยังมีสระว่ายน้ำ ตามสไตล์ของเค้าล่ะ ที่ตั้งอยู่กลางที่พัก ที่จะช่วยให้เพื่อนๆ ได้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศโดยรอบ หรือหลังจากที่กลับจากเที่ยวมาเหนื่อยๆ รับรองว่าฟินแน่นอน
เนื่องจากว่าเสียมเรียบ เที่ยวแค่เสาร์อาทิตย์ ก็น่าจะพอกับสถานที่ที่เค้าว่ากันว่าต้องไปให้ได้ เว้นเสียแต่ว่า เราอยากจะซึมซับและศึกษาประวัติอย่างละเอียด แบบนั้นคงต้องมากันสัก 1 อาทิตย์เลย เผลอๆ ไม่น่าพอด้วยซ้ำ เพราะปราสาทในนครธมนั้นใหญ่มากกกกก เอาล่ะ ไปปั่นจักรยานหาคาเฟ่น่ารักๆ ฆ่าเวลากันดีกว่า อิ้
คือเราพอจะรู้ข้อมูลมา ว่าที่นี่เนี่ยนะ ร้านที่ชื่อ Temple นั่นครองแทบจะทุกธุรกิจในเมืองเสียมเรียบครับ และก็ไม่ผิดจริงๆ ปั่นไปเรียบคลองไม่นาน ก็มาเจอ Cafe ที่ชื่อ T e m p l e
เอาเข้าจริงๆ แล้ว Temple Cafe’ เป็นคาเฟ่ที่ใหญ่มาก บรรยากาศดี เครื่องดื่มพอได้นะ แต่อาหารถือว่าเยี่ยมทีเดียว เราสั่งอาหารมาทานกัน แล้วก็นั่งเล่น Wifi ของที่นี่ฟรีไปยาวๆ เพราะที่นั่งของที่นี่นุ่มมากกกก ฮาๆๆ ไปดูบรรยากาศคาเฟ่ของเค้ากัน
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปที่ทุ่งดอกบัว แล้วไปจบด้วยการดูพระอาทิตย์ตกดินที่โตนเลสาบครับ เราเดินออกจากที่พัก และหารถตุ๊กๆ เดินทางจาก Lub D Hostel ไปยัง โตนเลสาบ เชื่อไหมว่าหาได้เพียง 5 USD เท่านั้น คือเค้าเสนอมา 6 USD แต่เราก็ต่อไป 5 USD ซึ่งการเดินทางจากตัวเมืองไปยังโตนเลสาบ ไม่น่าเกิน 30 นาทีครบ แต่ระหว่างทางก็มีจุดจอดเยอะอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็จตลาด ทุ่งดอกบัว วัดบนเขา หรือจุดชนวิวโตนเลสาบ แต่เราปรึกษากันแล้ว ว่าเราจะแวะพักแค่เพียงที่เดียว คือ ทุ่งดอกบัว
ไม่นานนักก็มาถึงทุ่งดอกบัวครับ ที่นี่เรียกได้ว่า น้องๆ ทะเลบัวแดง กุมภวาปี อุดรธานีเลยนะ แต่ตอนที่เราไป ดอกบัวยังบานไม่เยอะนัก แต่ก็ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่เพื่อนๆ ควรแวะพัก ทานอาหาร หรือถ่ายรุปบรรยากาศ แต่เราไม่ได้หิว อีกอย่าง ก็ทานอาหารที่ Lub D Hostel กันมาด้วยแล้ว ก็เลยจอดแวะแค่ถ่ายรูปอย่างเดียว
แต่ช่วงที่เราชมทุ่งดอกบัวอยู่นั้น ก็ได้เห็นกับบางสิ่งที่สงสัย ว่ามันคืออะไร ตอนแรกคิดว่าเนื้อแดดเดียว พอไปดูใกล้ๆ ไม่ใช่ครับ มันคือชิ้นส่วนของงูน้ำ หรืองูกินปลาที่ทางชาวบ้านเค้าเอามาตากแห้งเตรียมทานอาหารกัน นึกแล้วก็อยากลองจีจี แงงง
มาถึง ท่าเรือโตนเลสาบ ก็คุยกับคนขับ ว่าจะยังไงต่อ จะรอ หรือจะไปก่อน นู้นนี่นั่น เออ ลืมบอกไป ว่า 5 USD นี่คือ ไปและกลับนะ สุดท้าย เค้าบอกว่า เด่วเค้าจะรอด้วย เราก็เลยเดินหาตั๋วเรือครับ ตั๋วเรือไปกลับคนละ 20 USD ซึ่งเราคิดว่าแพงมากๆ
หลังจากที่เราก็จ่ายไป แล้วปรากฏว่า คนขับรถเรา เค้าจะไปด้วยครับ เค้าบอกว่า คนกัมพูชา ไปฟรี ฮาๆ เราก็รู้สึกอึ้งนะ เหมือนเค้าตั้งใจมาดูแลเราเลยอ่ะ แล้วคือหน้าตาเค้าเจี๋ยมเจี้ยมมั๊กกก
ที่นี่เราก็ต้องเดินตามไกด์ไป จริงๆ ไม่ต้องมีก็ได้ แต่เหมือนคนอ้างว่า เป็นคนในหมู่บ้านลอยน้ำที่โตนเลสาบ อยากจะมาอธิบายเกี่ยวกับหมู่บ้านให้นักท่องเที่ยวฟัง เค้ารักนักท่องเที่ยวทุกชาติ ยกเว้นคนจีน เราก็แบบ อะไรของมันวะ และมีการปิดท้ายด้วย ว่า เราไม่มีเงินเดือนใดๆ หลังจากเที่ยวเสร็จ ก็ขอ Tips ให้เราบ้างเล็กน้อย //เอ้า อีนี่ คือมึงเนียนแถะ
ระหว่างเรือร่องไปในโตนเลสาบ จะเรียกว่าโตนเลเลยก็ไม่ได้ เพราะเราร่องแค่บริเวณหมู่บ้านลอยน้ำเท่านั้น เรือที่เค้าทำเหมือนทำกันเอง แปลกดี เป็นวิถีชาวบ้านเลยนะ เป็นเรือยนต์ก็จริง แต่ระบบการเลี้ยว อะไรแบบนี้เค้าทำกันเอง เราก็รู้สึกว่า เอออ ดีเว้ย เกิดมายังไม่เคยนั่งเรือแบบนี้เลย คือจะเป็นเชือกที่ผูกกับพวงมาลัย แล้วให้มันสอดคล้องกับหางเรือด้านหลังเพื่อใช้ในการเลี้ยว หากเพื่อนๆ มีโอกาสได้นั่งเรือที่โตนเลสาบ ลองสังเกตดูนะครับ
ระหว่างทาง เราจะเป็นตัวหนังสือภาษาเวียดนามบ้าน ฝรั่งเศสบ้าง อังกฤษบ้าง เต็มไปหมด ก็เพราะที่นี่เป็นหมู่บ้านที่ยากจนครับ แล้วเหมือนกับว่า ชาวต่างชาติเค้ารู้สึกสงสารก็เลยรวมกลุ่มกันบริจาคโดยการสร้างอาหารบ้าน โรงเรียนบ้าง อนามัยบ้าง โบสถ์ลอยน้ำก็มี ข้าวสารก็มาจากการบริจาค ซึ่งแต่ละที่นี่ผมก็ไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดตรงนั้น แต่ว่าชาวบ้านที่นั้น ทำมาหากินอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก จับปลามาขาย
เราได้เห็นชีวิตของสองริมฝั่งข้างทาง แต่จะเรียกว่าริมฝั่งก็ไม่ได้อีก เพระว่ามันเป็นบ้านลอยน้ำ คือเค้าเอาพวกถังน้ำมันอะไรแบบนี้อ่ะครับ มาทำให้บ้านลอยน้ำ เราได้เห็นวิถีชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือก น้ำที่เราเห็นดำๆ นี่แหละ ที่เค้าใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำล้างหน้า หรือหากบ้านไหนที่จนสุดๆ น้ำที่เห็น คือน้ำดื่มน้ำใช้ของเค้าดีๆ นี่เอง
เรามาที่นี่ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นกระบอกเสียงอีกกระบอกเสียงหนึ่งให้เพื่อนๆ ที่กำลังจะไปมีโอกาสได้ไป หากได้ไป ยังไงลองหาเสื้อผ้าเก่าๆ หรือข้าวสารไปบริจาคให้หัวหน้าหมู่บ้านที่นั่นด้วยก็ได้นะ เรายังคิดอยู่เลย ว่าควรมีใครทำแบบนี้
เราล่องเรือไปกันจนสุด แต่ทว่า ดวงอาทิตย์กลับอาย และหลบหายไปในหมอกเมฆ เลยคุยกับไกด์ว่า พอดีกว่า คงไม่เห็นอาทิตย์ตกหรอก เดี๋ยววนเรือกลับไปเลย ระหว่างทางอีไกด์นี้ก็พูดถึงแต่เรื่องเงิน เรืองว่าให้ Tips เราสัก 8-10 USD ก็พอแล้ว เราไม่มีงานทำ เราทำแบบนี้เพราะใจรัก บลาๆๆ แล้วคือมึงจะพูดทำไม กูหมั่นไส้!!!
เรือพาไปจอดชมจระเข้ คือที่นี่ในช่วงหน้าแล้ง น้ำมันก็จะไม่เยอะครับ แล้วก็จะมีจระเข้มาหาอาหารกินอยู่ตามป่า ที่นี่เป็นป่ามะม่วงด้วยนะ ตอนเราไป เค้าก็ชวนเราล่องเรือเก็บลูกมะม่วง แต่เราขอไม่ดีกว่า ฮาๆ เราไปดูจระเข้ แต่ก็ไม่คิดว่า จระเข้จะเยอะขนาดนี้ แต่ให้ตายเถอะ ถัดจากนั้น มีคนเอาเนื้อจระเข้มาให้เพวกเราชิมครับ เรียกไดว่าอร่อยโคตรๆ อยากจะซื้อกลับไป แต่ก็กะไรอยู่ เลยขอซื้อตรงนั้น 1 USD จะกินกันตรงนั้น แต่เค้าไม่ขาย เค้าบอกว่าขาย 4 USD คือต้องซื้อไปทั้งถุง จะบ้าหรอ จะกินหมดได้ยังไง สุดท้ายเลย Say Bye ไม่ซื้อเว้ยยยย
เราล่องเรือกลับด้วยความเหน็ดเหนื่อย คือหลับคาเรือไป พอถึงท่าเรือ อีไกด์ยังพูดเรื่องเงินอยู่ กูนิหมั่นไส้มา ย้ำอยู่ได้ ว่าเราทำเพราะใจรัก และเอาไปช่วยๆ ลูกๆ เด็กๆ แหม่ อิดอกกก ตอนจอดอยู่ฟาร์มจระเข้ ยังชวนกูแดกเบียร์อยู่เลย และตอนสุดท้ายก่อนจะลงจากเรือย้ำกับเราอีกครั้งว่าขอ 8-10 USD เอาเถอะค่ะ กูมีแค่ 4 USD เอาไปแบ่งกับคนเรือนะ
กูนิกลัวมันตีหัวเหลือเกิน แต่ก็เอาเถอะ ก็เราไม่ประทับใจ และไม่ได้ต้องการให้มึงขึ้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่คนขับรถเราน่ะสิ ที่ดีกับเราเหลือเกิน พูดภาษาอังกฤษไม่แข็ง แต่ก็พยายามจะอธิบาย หรือตอบคำถามที่เราถามไป หลังจากที่ รถตุ๊กๆ มาส่งเราที่ Hostel เราเลยตบรางวัลให้ไปเลยอีก 5 USD เค้ารีบยกมือไหว้ แล้วถามเราว่า พรุ่งนี้อยากไปไหนไหม
เราก็เลยตอบกลับไปว่า อยากไป นครวัด จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็ทัวร์ปราสาทสักสามสี่ที่ เค้าก็บอกว่ามีตุ๊กๆ ยัง เค้าอยากขับให้ เราก็เลยบอกว่า ได้ดิ เรียกเท่าไหร่ล่ะ เค้าบอก 10 USD โอ้วแม่เจ้า โคตรถูกกกก คือปกติราคาทัวร์นครวัดของตุ๊กๆ จะอยู่ที่ 25USD ครับ เราตกใจในความซื่อสัตย์ของเค้ามาก เลยบอกเค้าไปว่า I’ll give you 15!!! หน้าตาเค้าดีใจออกนอกหน้า แล้ว Say กลับมาว่า Thank you คือเราเห็นหน้าตาเค้าแล้วเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย
ที่พักในตอนกลางคืนนี่สวยดีนะ เพราะ Lub-d Cambodia Siem Riep ที่นี่มี Bar ติดสระ และมีที่นั่งกลางน้ำด้วย สระถูกตั้งอยู่กลาง Hostel และช่วงนี้นี่แหละ ที่พนักงานจะรวมตัวกันสร้าง community กับผู้พักอาศัย โดยการขนเกมส์ต่างๆ มาเล่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ปอง บิงโก้ ตัวต่อ ว่ายน้ำ หรือเปิดเพลง EDM อะไรแบบนี้ นี่แหละ คือเสน่ห์อันร้อนแรงของที่พักที่ชื่อ Lub-d ทั้งสี่สาขาทั่วเอเชียครับ
เราแวะเอาของไปเก็บและพักสักครู่ ก็เช่ารถจักรยานของทางที่พักไปปั่นเล่นครับ ราคาคันละ 3 USD ต่อวัน ก็ปั่นไปเลยสิ แต่ก่อนออกมาพนักงานแนะนำมาร้านหนึ่ง บอกว่าร้านนี้ต้องไปลอง ขายสิ่งนี้ให้แค่นักท่องเที่ยว ไม่ขายให้คนท้องถิ่น เลี้ยยขวาแยกแรก พอเจอซอยที่สองให้เลี้ยวซ้าย จะมีร้านเล็กๆ อยู่ทางขวามือ ชื่อ Jungle Burger ให้สั่ง Bub Marley
เอาเราก็บ้าจี้ตามเค้า ปั่นมาตามทางที่บอกก็เห็นป้าย Jungle Burger ตรงหน้าเลย จอดจักรยาน แล้วลงไปถามเค้าว่า มี Bub Marley ไหม พนักงานยิ้ม แล้วพยักหน้า เอ๊ะยังไหง โอเค เข้าไปกันเถอะ
ไม่รอช้า ก็สั่งมาสองที่ ซึ่งเมนูนีจะแถมเครื่องดื่มให้ฟรี 1 แก้ว เราก็เลยเอา Cambodia Craft Beer มาจัดชิมลางไปก่อน แต่คือทำนานนะ ไม่น่าทำนานขนาดนี้ ผ่านไปราวๆ 20 นาที เมนูนี้ก็มาอยู่ตรงหน้า ไอ่บ้าเอ้ย ก็แค่ Burger เนื้อธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ฮาๆ
หลังจากทานเสร็จ พวกเราก็ปั่นไปที่ Pub Street ครับ ไปเดินเล่นเสียหน่อย ไปย่อยนิดๆ ที่นั่นจะดังเรื่อง ไอติมผัด ครับ ใครไปก็ลองทานดู ไม่อร่อยเท่าไทยนะ แต่ก็คงอร่อยของเค้าล่ะ นอกจากนั้นบรรยากาศก็ข้าววสารบ้านเราดีๆ นี่เอง แต่ร้านที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ทานหรือนั่งชิลกันดู ก็จะมี Temple กับ Red Piano ครับ ยังไงลองนั่งดู
แล้วที่นั่งก็จะมีร้านแปลกๆ อีกมากมาย อย่างเช่นร้าน Angkor What ฮาๆ คือมึงเล่นคำได้กวนตีนมาก แล้วที่พีคคือกัมพูชานี่เบียร์ถูกมากกก ตกแก้วละ 15 บาทเองมั้ง ขายกันอยู่ที่ 0.5 USD แล้วก็ที่เสียมเรียบจะฮิตตัวนี้ครับ นวด 2 USD คือนวด 30 นาทีแล้วจ่ายแค่ 2 USD เพื่อนๆ อย่าพลาดเด็ดขาด
ง่วงอ่ะ จู่ๆ ก็ง่วง ก็เลยปั่นเล่นรอบๆ แล้วกะว่าจะไปร้านที่พี่ที่ Hostel บอกว่าขายเบียร์ถูก คือโฆษณามาว่า Hoegaarden Rose ขายแค่ขวดละ 80 บาท โอ้วแม่เจ้า ปกติกูซื้อที่ไทยแบบซื้อดื่มเองก็หลักร้อยแล้ว ทำไมที่นี่ถูกจังวะ พอไปเท่านั้นแหละ แม่งถูกมากกกกกกกกกกกกกก ถูกแบบ ถูกกว่าปกติกว่า 200% แทบจะทุกอย่าง ร้านชื่ออะไรจำไม่ได้ แต่อยู่บริเวณตรงภาพด้านบน ใกล้ที่พัก ดาวหลวงเนี่ย!!!
เรากลับมาถึงที่พักแบบงัวเงีย ทำไมมันง่วงขนาดนี้วะเนี่ย จู่ๆ ก็มึนครับ มึนไม่พอ ตาเหม่อ สักพัก พูดอะไรกันหรือเห็นอะไรก็หัวเราะ สัส กูเป็นไรวะ เอ๊ะ หรือว่า Bobs Marley มาแล้ว โอ้วโหววววววววววว หัวเราะกันแทบตายครับเพื่อนๆ หนักสัส หนักมาก คือแบบมาออกฤทธิ์หลังจากทานไปแล้ว 2 ชั่วโมง แล้วคือ หน่วงๆ พูดมาก ปวดหัว ง่วง หัวเราะวนไป จนบอกกับตัวเองว่ารีบอาบน้ำแล้วหลับไปเถอะ แต่ๆๆๆๆ ขนาดหลับโลกก็ยังหมุนอยู่ แงงงงงงง
Chapter 3 See Angkor Wat And Die
เราตั้งปลุกไว้ตีสี่ครับ เพราะนัดกับตั๊กๆ ไว้ตีสี่ครึ่ง แม่งโคตรหน่วงเลย ร่างกายเราไม่พร้อมที่จะไปเจออะไรเลยครับ อยากนอนมาก แต่ก็นัดคนอื่นไว้แล้ว พยายามเอาร่างตัวเองออกจากเตียง เก็บข้าวของเตรียมกล้องแล้วเดินออกจากที่พัก รถตุ๊กๆ มารอเราอยู่แล้ว
ระหว่างทางกูหลับยาวครับ จนไปถึงที่ซื้อตั๋วเข้านครวัด ตอนนี้ราคาปรับขึ้นเป็นคนละ 37 USD นะครับ ก็แพงพอตัว ตีเป็นเงินไทยก็พันกว่าบาทเลยทีเดียว ก็ขับเข้าไปนครวัดต่อ แล้วก็หลับเหมือนเดิม
พอถึงนครวัด เราก็บอกให้ตุ๊กๆ รอเราแถวนี้นี่แหละครับ ที่นี่มันมืดมาก และพวกเราก็เมามากด้วย ไม่ได้เมาเหล้านะ เมาพืช ๕๕๕๕ สัสเอ้ย ไม่น่าแดกเลยเมิง จริงๆ น่าจะสั่งจานเดียวแล้วมาแดกด้วยกัน นี่สั่งกันคนละหนึ่งก้อนเลย อีเหี้ยยย!!!
เราเดินเข้านครวัดไปอย่างมืดๆ และสังเกตแล้วว่า วันนี้ ดวงอาทิตย์ถูกเมฆบังชัวร์ แต่ก็ยังคงมีความหวัง เดินไปตรงจุด Peak คือซ้ายของนครวัด จะมีบ่อหน้า ไว้ท้าย Reflect กับปราสาทครับ ผมตั้งกล้อง ถ่าย Time Lapse แล้วก็นอนหลับไป คืออุส่าต์ตื่นตั้งแต่ตีสี่ แต่มานอนหลับให้พระอาทิตย์ดูเราตื่น เห้ออออ คือขอบอกไว่ก่อนเลยว่า วันไหนที่ต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด ไม่ควรแดก Bob Marley ครับ พังมากกก แต่ก็ถือว่า win win เพราะยังไงเมฆก็บังดวงอาทิตย์อยู่ดี สำหรับทริปนี้ของเรา การดูดวงอาทิตย์ทั้งชึ้นทั้งตก ถือว่าแป็กโคตรๆๆ
นครวัดตั้งแต่หลายสิบปีทีผมมาจนถึงตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะครับ จากเดิมสวยๆ เดี๋ยวนี้เก่าและถูกบูรณะเยอะมากจนไม่สวยเหมือนเก่าแล้ว แต่หากใครยังไม่เคยมา ก็ควรมาดูสักครั้ง เค้าเชื่อว่านครวัดเนี่ย จริงๆ ไม่ได้สร้างให้เจ้าเมืองอยู่หรืออะไรนะ แต่สร้างให้เทพเจ้าอยู่ ซึ่งจากข้อมูลตรงนี้ไม่รู้อันไหนจริงเท็จเพียงได้ แต่ที่นี่ ก็ถูกบันทึกไว้ให้เป็นมรกดกของโลกไปแล้ว
See Angkor Wat And Die เป็นคำพูดของนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งพูดไว้ และมันดันกลายไปเป็นประโยคคลาสสิคที่คนรู้จักกันทั่วโลกได้อย่างไรก้ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่า ถ้าแปลกตรงตัวก็คือ “ถ้าเมิงยังไม่เห็นนครวัดชาตินี้ เมิงยังตายไม่ได้” เอาล่ะ ถ้าใครยังไม่อยากตาย ก็อย่าพึ่งมาเที่ยวที่นี่ แฮร่
ตรงนี้ผมจะไม่พูดอะไรมากนะครับ เพราะประวัติต่างๆ อยากให้ไปหาอ่านเอาเองใน Google เดี๋ยวจะให้ภาพเล่าเรื่องแทน ว่าแต่ละที่มันสวยงามยังไง แต่ก็เดียวจะแคปชั่นไว้ใต้ภาพให้บ้าง บางภาพ รออะไรอยู่ล่ะ ให้ภาพเล่าเรื่องสิ
จบจากนครวัด เรายังมีนัดที่ปราสาทบายน และตาเมือนธมต่อ ซึ่งอีกสองปราสาท ผมจะเอาภาพบรรยากาศให้เพื่อนๆ ได้ดูกันคร่าวๆ ว่าแต่ละปราสาท หน้าตาจะเป็นอย่างไร ขอเริ่มต้นที่ “บายน” ก่อน ซึ่งบายน ที่พคๆ จะเป็นปราสาทที่มีเศียรอยู่บนปลายยอดปราสาทของทุกยอดอย่างในภาพ
ถัดจากบายน เราก็ไปปิดจ๊อบกันที่ “ตาเมือนทม” ครับ ซึ่งตาเมือนทม หลักๆ เนี่ย จะขายความคลาสสิคจองรากต้นไม้ที่ชอนไชเข้าไปในปราสาท และยังเคยเป็นที่แสดงหนังระดับโลกอย่าง Tom Rider อีกด้วย
หลังจากกลับจากนครวัด นครธมเสร็จ ก็กลับมาทานข้าวที่ Hostel ครับ ซึ่ง Lub d Cambodia Siemriep เค้ามีความ Unique มากๆ ไม่ว่าจะเป็นภาชนะใส่อาหาร หรือเมนูอาหารเอง ที่ยังคงความเป็นพื้นบ้านหรือท้องถิ่นของแต่ละสถานที่นั้นๆ ไว้ ไม่ใช่แค่หน้าตาอาหารอย่างเดียวที่ผ่าน แต่รสชาตินี่ต้องบอกว่าสุดยอดดดดด
ก่อนกลับเราโบกมือบ๊ายบ่ายพนักงานทุกคนครับ เพราะทุกคนที่นี่ Active มาก อย่างที่บอกว่ามันเป็นที่พักที่รวบรวม community ขนาดใหญ่มาก มาที่นี่ไม่มีเหงาแน่นอน และนี่ก็เป็นเรื่องราวการเดินทางไปนครวัดครั้งที่ ๕ ของผมครับ แต่ละครั้ง ความรู้สึกไม่เคยซ้ำกันเลย แล้วเจอกันระหว่างทางครับผม : )
:: follow us ::
Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/
#palapilii
#wanderlust
#YOLO