ไม่บ่อยครั้งที่จะตกงานและได้เอาเวลาตรงนี้ไปเดินเล่นปล่อยอารมณ์ไปกับชีวิตแห่งความหลัง ทริปนี้ เราอยากไปเมืองเมืองหนึ่งของประเทศจีนที่มีนามว่า ” เ จิ้ ง โ จ้ ว ” แล้วคือก่อนหน้านี้เราเคยไปเห็นรีวิวเก่าๆ จาก pantip ว่าที่นี่ก็มีอะไรน่าเที่ยวเยอะ ไม่ว่าจะเป็น ไคเฟิง ลั่วหยาง ถนนคนเดินเหล่าเจีย พิพิธภัณฑ์ วัดเส้าหลิน ภูเขาซ่ง วัดม้าขาว ก็ล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งนั้น พอเห็นแล้วก็อดที่จะหาตั๋วไม่ได้เลยล่ะ
ง่ายที่สุดสำหรับมนุษย์ยุค 90s อย่างเรา หรือคนไทย 0.4 คงหนีไม่พ้นตั๋วบินถูกๆ แน่นอน เว็บเช็คราคาตั๋วบินถูกๆ มีเยอะนะ แต่ที่ใช้ง่าย สะอาด เวลาเข้าไปหาข้อมูลแล้วสบายตาสุดๆ คงเห็นจะเป็น Traveloka คือเรียกได้ว่าติดกันเยอะมาก เพื่อนเรานิเอ๊ะอะอะไรก็ต้อง Traveloka ตลอดเลย
Traveloka นอกจากจะเป็นเว็บเปรียบเทียบราคาตั๋วบินแล้ว ยังสามารจองตั๋วบินได้ด้วย รวมถึงที่พักอีกมากมายที่เกี่ยวกับการเดินทาง เราไม่รอช้าที่จะหาตั๋วไปเจิ้งโจ้วอย่างง่าย เพียงแค่ใส่เมืองที่ต้องการจะไป ใส่วันไปกลับ แค่นี้ ราคาที่ถูกเปรียบเทียบก็จะขึ้นมาให้เราเลือกและพิจารณาอย่างที่เห็น
ซึ่งในครั้งนี้ การเดินทางของเรา ต้องแมทกับเวลาที่เรามี และความสะดวกสบายของสายการบินก็เช่นกัน Thai smile จึงเป็นอีกสายการบินหนึ่งที่อยู่ในอันดับต้นๆ ในใจเรา อาจเพราะเป็นสายการบินของคนไทยด้วยหรือเปล่าไม่รู้ แต่คือไปยังไงก็อุ่นใจกว่าใช้บริการของชาวต่างชาติ คือไม่ต้องกลัวในเรื่องภาษาเลย 5555 เข้าไปตอนแรกเอาจริงๆ นึกว่าแอร์เป็นคนจีน แต่หารู้ไม่น้องๆ แอร์เค้าเป็นคนไทย หมดเลย (ตอนขาไปนะ) แต่พูดภาษาจีนคล่องมากกก
จากการอธิบายและสาธิตวิธีการใช้เข็มขัด หรือวิธีการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนเครื่องบินเสร็จ น้องๆแอร์ก็จะบริการของว่าง จะเป็นถั่วลิสงอบ และก็ตามมาด้วยอาหารจานหลัก โดยเค้าจะมาถามว่ารับเมนูข้าวหรือผัดหมี่ เราเลือกผัดหมี่เพราะแลดูจะไม่หนักสำหรับมื้อนี้ 55555 เอาหละใกล้เวลาที่จะค้นหาเมืองนี้แล้วสินะ เผลอหลับไปแล้วไม่รู้กี่รอบบนเครื่อง
เจิ้งโจวเป็นเมืองที่น่าค้นหาเมืองนึงนะ เรารู้สึกว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ อย่างที่ที่คนไทยคุ้นเคยเลย คือศาลไคฟง เป็นสถานที่แรกที่เราจะไป
DAY 1
Bangkok – zhengzhou, China
เริ่มการเดินทางโดยนั่งรถบัสจากสนามบิน ราคา 40 หยวน รถออกทุกๆชั่วโมง เริ่มจาก 09.30 คือเที่ยวแรก นั่งรถบัสสุดสายลงที่สถานีรถไฟ 火车站 (หั่วเชอจ้าน) ต่อด้วยนั่งรถเมล์สาย 8 ที่ไม่ใช่สาย 8 อย่างบ้านเรานะ – -”
นั่งไปลงสถานี 包公祠 (เปากงสื๋อ) จากนั้นเดินตรงอย่างเดียวข้ามไฟแดงมาก็ถึงเลยจะเห็นเป็นทางเข้าสีแดงๆ นั่นแหละบ้านท่านเปาบุ้นจิ้น ซึ่งที่เด็กยุค 90s ติดกันงอมแงม ฮาๆๆ
เด็กรุ่นใหม่คงงงๆ ว่าเป่าวุ้นจิ้นคือใคร เอางี้ เด่วจะเหลาคร่าวๆ ให้ฟังกันนะครับ คือในสมัยอดีตเนี่ย เจิ้งโจ้วนอกจากจะยังเคยเป็นเมืองหลวงแล้ว ยังมี “ศาลไคฟง” ที่เป็นถิ่นพำนักอาศัยของ ท่านเปาบุ้นจิ้น ยอดคนคุณธรรมแห่งแดนมังกร ซึ่งท่านเคยใช้ศาลไคฟงใช้ในการตัดสินคดีความจนมีชื่อเสียงโด่งดังกระฉ่อนโลก ท่านเปาบุ้นจิ้น หรือชื่อจริงในภาษาจีนเรียกว่า “เปาเจิง” เป็นชาวเมืองเหอเฝย (ในปัจจุบันเหอเฝยเป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในมณฑลอันฮุย) ท่านมีชีวิตอยู่ในรัชสมัยของเจินจงฮ่องเต้และเหรินจงฮ่องเต้ของราชวงศ์ซ่งเหนือ (ค.ศ.960-1127) เคยรับราชการเป็นนายอำเภอ เป็นเจ้าเมือง เป็นผู้ตรวจราชการแผ่นดิน และได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดคือ เป็นรองประธานเมืองจีน ช่วงที่มีชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่งบรรยากาศภายในปัจจุบัน ก็อย่างที่เห็นครับ เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิบพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชม
จากบ้านท่านเปาบุ้นจิ้น เราจะไป Luoyang (ลั่วหยาง) โดยที่ Kaifeng (ไคเฟิง) ไป Luoyang (ลั่วหยาง) สามารถไปได้หลายทาง เราเลือกนั่งรถไฟเพราะแลดูจะสะดวกสุด (จริงๆ เพราะมันถูก 555) คือนั่งมาด้วยราคา 29.5 หยวน แต่ถ้านั่งรถบัสราคาจะอยู่ที่ 60 หยวน ลืมบอกสถานีรถบัสห่างจากสถานีรถไฟประมาน 100 เมตร เดินมาได้ (ใช้เวลาพอๆกัน คือประมาน 2 ชั่วโมงครึ่ง ดิฟกันแค่ 2/3 นาที คือไม่ต่างกันมากในเรื่องของเวลา) ดังนั้นเราจะนั่งรถสาย 8 สายเดิมนั่งกลับมาสถานีรถไฟ หลักการง่ายๆในการนั่งรถเมล์ของที่นี่ก็คล้ายๆบ้านเรา โดยขึ้นรถฝั่งตรงข้ามฝั่งที่ลง แล้วนั่งมาโลดดดด แต่เอาจริงๆ เราสามารถนอนในตัวเมืองเจิ้งโจวได้ แต่สถานที่เราจะไปกันถ้าออกจาก down town มันจะไกล ต้องบอกไว้ก่อนว่าแต่ละสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเมืองเจิ้งโจวอ่ะ จะต้องใช้เวลานั่งรถออกมาไกลพอสมควร ครั้นจะนั่งรถไปแล้วกลับมานอนในตัวเมือง และเช้าวันถัดมาต้องนั่งรถออกไปอีก เกรงว่าร่างจะไม่ไหวเราเลยตัดสินใจ ค่ำไหนนอนนั่น! (จะดีหรอ 555) เราตัดสินใจเลือกที่พักที่สามารถไปตามสถานที่เที่ยวต่างๆได้ง่ายคือที่นี่แหละ ถึง Luoyang (ลั่วหยาง) ประมาน 4 โมงเย็น กว่าจะเดินทางเข้าที่พัก เราพักที่ Luoyang Longmen Youth Hostel. Check- in เสร็จราวๆ 5 โมงเย็นได้ พักผ่อนอีกหน่อย แล้วก็….หิว จึงเริ่มออกเดินทางต่อ สถานที่อันเลื่องลือไปด้วยการกินและของช้อปปิ้ง
คือถนนคนเดิน “Lao Ji เหล่าจี” ไปง่ายมาก โดยการนั่งรถเมล์จากหน้าโฮสเทลสาย 53, 58 ลงที่ป้าย Yi Jie (ยี่ เจีย) คือถ้าไปจากที่อื่นก็ไม่น่ายากเพราะเป็นเหมือนสถานที่ที่ใครก็รู้จัก ขากลับมันอาจจะดึกหน่อย ที่นี่รถเมล์จะมีเวลาเลิกงานที่เร็วมากสำหรับคนไทยอย่างเรา
เราว่าเร็วนะ บางสาย 2 ทุ่ม เท่าที่เห็น 4 ทุ่มคือรอบสุดท้าย แต่เอาเข้าจริงๆ เราเคยไป รอรถเมล์แบบ 3 ทุ่มครึ่ง คือหมดแล้ว ไม่มีรถแล้ว!!! ทำไงอ่ะ…. โบก โบก โบก Taxi ลูกเดียวจ้า ฟาดไป 15 หยวนเบาๆ เที่ยวก็อย่าลืมดูเวลานะจ้ะ คือถ้าพักจริงๆ แนะนำเลยสำหรับคนที่รักในแสงสีให้พักที่ downtown ของ Luoyang แต่ที่ที่เราพัก เราเลือกเพราะมันไปที่ต่างๆสะดวก
DAY 2
Museum – Luoyang Grottoss
ไปพิพิธพัณฑ์ เอาจริงๆ เป็นคนที่นับครั้งการเข้าพิพิธพัณฑ์ได้ แต่จากที่ได้คุยกับคนท้องถิ่น 10 คน ทุกคนล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องไป (นี่ก็แอบเว่อร์ เอาจริงเท่าที่ถามมา เค้าก็บอกไปเถอะ มันดีนะแกรรรร) นี่ก็เชื่อคนง่ายไปก็ไป แต่ไม่มีรถเมล์ผ่าน อืมมมม ไปไงดี Taxi อีกละ นั่งไปประมาน 10 หยวน เบาๆ เอาจริงก็ไม่ได้ถือว่าราคาโอเค ตีเป็นเงินไทยก็ 50 บาท เข้าไปแล้วก็ดีนะ มันเป็นฟีลแบบบ่งบอกวัฒนธรรม/ ความเป็นมา เรื่องราวของเมืองนี้ได้อย่างน่าทึ่ง มีโบราณวัตถุที่ยังคงความสวย สำหรับเราเราว่ามันโคตรสวย (ของจริงนะ) ค่าเข้าคือฟรี อันนี้คือดี 5555 ได้ดูของดีแถมยังฟรีอีกด้วย แค่โชว์ Passport ให้เจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้ตั๋วมา แล้วก็เดินเข้าได้เลย ว่าแต่ก็มาดูบรรยากาศข้างในกัน…
เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางนะครับ อันนี้นั่งรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโฮสเทล ความพีคคือต้องข้ามถนนประมาน 5 เลนใหญ่ๆ 2 ตอน ไม่รู้เรียกอะไร คือเอาง่ายๆ ถ้านับรวมๆแล้วคือ 10 เลน โดยที่ไม่มีสะพานลอยจ้า (น่ากลัวมาก จะร้องไห้ เสี่ยงต่อความหายนะมากกกกกก 5555) นั่งสาย 53, 81 ไปสุดสายที่สถานี Longmen Shi ku (หลง เหมิ๋น สื๋อ คู) ค่าผ่านประตู อันนี้มิได้ฟรีแบบพิพิธพัณฑ์แล้วเด้ออ 100 หยวนจ้ะ จ่ายค่าเข้าเคล้าน้ำตา (คิดในใจ แพงจังวะ) คือต้องเล่าก่อนว่าค่าเข้าแต่ละสถานที่ในเมืองจีนจะค่อนข้างแพง
คือถ้าสถานะไม่ได้เป็นคนจีน หรือเป็นนักเรียน/ นักศึกษาที่เมืองจีนนะจ่ายเต็ม (ร้องไห้) แต่ถ้าเป็นพวกเขาเหล่านั้นที่อ้างถึงคือจ่าย 50% เท่านั้นจ้าา อะไปต่อ Longmen Shi ku (หลง เหมิน สื๋อ คู) อันนี้ทับศัพท์จีนเลยนะ เพราะเวลาไปน้อยคนมากจะพูดถึงชื่ออังกฤษเป็นสถานที่ที่อลังมากกกกก คือเข้าไปถึงแล้วนั้นน ทึ่ง กับสิ่งที่คนจีนได้ทำ คือเป็นสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนา อันนี้เท่าที่จับใจความในการแอบเดินตามไกด์ ภายในนี้มีองค์พระพุทธรูปราวแสนองค์ จะมีบางที่ที่เป็นรูโหว่ๆนั่นคือมีคนแอบขโมยไป มีองค์ทวยเทพ องค์เจ้าแม่กวนอิม องค์พระโพธิสัตย์ ที่แกะสลักด้วยฝีมือของมนุษย์ ใช้เวลาสร้างประมาน 400 ปี
คือต้องบอกว่ามันอลังกาลมากจริงๆ นะ เราอึ้งกับความพยายามของคนจีนมาหลายสิ่งล่ะ ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองจีน การก่อสร้างตึกรามบ้านช่องวัดเจดีย์บนยอดเขา ไหนจะการทำถนนข้ามภูเขาของชายจีนบางคนที่เป็นตำนาน แล้วมาเจอการแกะสลักหินบนภูเขาแบบนี้แล้วด้วย โอ้ยยย ยอมใจ
DAY 3
Shaolin Temple วัดเส้าหลิน – Song mountain ภูเขาซ่ง
คราวนี้เราจะนั่งรถบัสจะเป็นสาย Long distance เราสามารถขึ้นได้จากสถานีรถบัสได้เลย แล้วใช้เส้นทาง Luoyang – Xuchang แต่เราจะลงกลางทางโดยลงสถานี Shaolin ci (เส้าหลินซื่อ) ค่าเดินทางราวๆ 25 – 30 หยวน ถ้าเกินจากนั้นคือ โดนต้ม นาจา พอถึงที่หมายนั้นต้องไปเสียค่าเข้าเสียก่อนโดยการซื้อตั๋ว 100 หยวน สามารถเข้าได้ทั้งวัดเส้าหลิน และภูเขาซ่ง
การเข้าไปมีให้เลือก 2 ทาง คือเดิน หรือนั่งรถราง ซึ่งแน่นอนจะต้องเสียเงินค่านั่งอีก (อะไรๆก็เป็นเงินเป็นทองไปโม้ดดด) เราเลือกเดิน 5555 คือก็ไม่ได้ไกลมาก คนส่วนใหญ่ก็จะเดินนะ ระหว่างเดินทาง เราก็จะเห็นหนุ่มน้อย ซึ่งอายุราวๆก็น่าจะเป็น ม.ต้น ม.ปลายบ้านเรา ที่นี่จะเป็นโรงเรียนประจำเน้นสอนกังฟูเดินเข้าไปอีกเรื่อยๆก็จะถึงจุดที่นักท่องเที่ยวจะหยุดดูเป็นจุดแรกนั่นก็คือเป็นการแสดงจากพระ และเณรน้อย ของวัดเส้าหลิน
ทั้งนี้ก็จะมีวีทีอาร์บอกความเป็นมาของวัดด้วย เดินต่ออีกหน่อยก็จะถึงทางเข้าวัดเส้าหลิน พระเอกของวันนี้แล้วหละ ข้างในจะมีองค์พระพุทธรูป องค์เจ้าแม่กวนอิมพร้อมเหล่านางฟ้าทั้งหลาย คือถ้าเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและอยากสัมผัสความเก่าแก่ขอสถานที่แล้วนั้น แนะนำให้มา ส่วนพระในวัดก็จะมีกิจวัติ เหมือนๆพระบ้านเรานี่แหละ เช่นกวาดลานวัด แต่จะไม่ค่อยเห็นเดินเพ่นพ่านนะ เอาหละเดินต่ออีกหน่อยประมาน 5 กิโลเมตรก็จะเป็นเขตภูเขาซ่ง
คือเราก็สามารถเลือกได้ 2 ทางอีกนั่นแหละ ด้วยร่างและสังคารที่ตื่นแต่เช้าและออกเดินทางมานั้นเรานั่งกระเช้าไปคร้าบบบ ค่าเสียหาย 50 หยวน จะมีความหวาดเสียวหน่อยๆสำหรับคนที่กลัวความสูง แต่ที่นี่ดีอย่างหนึ่งคือกระเช้า จะไปแบบชาวไทยเหนือๆหน่อยแบบต่อนยอน (ช้าๆ) ไม่รู้มุขนี้ผ่านมั๊ยนะ 5555
พอขึ้นไปถึงข้างบนต้องเดินต่ออีกหน่อย ระหว่างทางก็จะมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อคนจีนนะ เขาก็จะมีที่เขียนขอพร อยากเขียนอะไรก็ได้แต่ควรจะเป็นสิ่งที่ดีๆ นะ ขึ้นไปบนเขาก็จะมีวัดสร้างไว้อยู่ แอบน่ากลัวนิดๆ เพราะตอนขึ้นไปไม่มีใครเลย แต่มีรังผึ้งรังเบอเร่อ แล้วผึ้งก็บินหึ่ง หึ่ง ตลอดเวลา ข้างในเงียบมาก นอกจากเสียงผึ้งบินแล้วก็สัมผัสได้ว่าเราเดินต่อดีกว่า 55555
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นจุดชมวิว ซึ่งบอกเลยว่าอากาศดีมากกกก ยังไงให้ภาพอธิบายแทนเราเลยก็น่าจะพอแล้วล่ะ
เราอยู่ตรงนั้นพักนึงก็เดินกลับมานั่งกระเช้าลงไป เดินกลับมาทางเดิมนะ จากนั้นการขึ้นรถกลับเข้ามาในเมืองก็ไม่ยากอย่างที่คิด ตอนแรกมีถามคนขายของแถวนั้นว่ารถรอบสุดท้ายหมดกี่โมง เราจะได้กะเวลากลับมาทัน เพราะกลัวว่าถ้าไม่ทันรถรอบสุดท้ายจะกลับเข้าเมืองลำบาก แถมในเมืองรถเมล์ยังหมดเร็วอีก เขาบอกว่า 5.30 น. ให้มารอที่รถได้เลย นี่ด้วยความซ่า เดินเพลิน ออกมา 5.45 น. ช้าไป 15 นาที ในใจคิดว่าหรือต้องได้เหมารถกลับไป ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆนะ หรือจะหาโรงแรมแถวนี้นอนดี แต่พอลองเดินออกมาแล้วก็เจอรถจอดอยู่ คือโชคดีมาก เลยถามเขาดูว่ารถหมดกี่โมงหรอ เขาบอก 1 ทุ่ม สบายตัว รอด 5555 นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ควรถามตั้งแต่ลงรถ (เพราะถามตอนขึ้นรถแล้ว เขาบอกให้ไปถามที่ป้ายที่ลงอีกที)
DAY 4
White House Temple วัดม้าขาว
วันนี้จะเป็นวันที่สบายหน่อย ตื่นสายได้ เราเดินทางไปวัดม้าขาวโดยการนั่งรถเมล์เลข 58 นั่งไปจนสุดสายถึงเลย วัดนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นวัดที่ทั้งคนจีนท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งชาวต่างชาติก็เดินทางมาที่นี่เยอะเหมือนกันตอนที่เรามาเจอพระไทยที่นั่นด้วย เดินดูรอบๆ นอกจากจะเป็นวัดจีนแล้ว ข้างในเขาจะสร้างวัดจำลอง โดยมีวัดไทย วัดพม่า วัดอินเดีย อยู่ในโซน International ด้วย ดูสิโกอินเตอร์แค่ไหน
ข้างบนก็เป็นภาพที่เราเห็นคร่าวๆ จาก White House Temple นะ จากนั้นเดินทางมายังสนามบินเพื่อรอเครื่องกลับกรุงเทพเลยจ้า ขากลับมาสนามบิน แต่ก็สะดวกเพราะมีรถใต้ดินตรงมาสนามบินได้เลย แต่ต้องเช็คไฟลท์บินเราดีๆ ว่าอยู่ในช่วงเวลาการให้บริการขนส่งมวลชนของเมืองนี้รึเปล่านะ ส่วนขากลับก็สบายเหมือนขามา แอร์สวยมากกกกก เอาจริงๆ ชอบเลยแหละ เหมือนจะมีคนจีนด้วยนะ เท่าที่ดูจากชื่อเขาเพราะไม่ได้ใช้ชื่อไทยเลย อาหารตอนขากลับเราเลือกเป็นเมนูข้าวแทนเพราะอยากลองหลายๆ เมนู พอมานั่งไทยสมายแล้วรู้สึกว่าเหมือนไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่ได้รู้สึกว่ากลัว หรือตื่นเครื่องบินเลย มันเป็นฟีลแบบ ถ้ามีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรนะ มีคนคุยกับเรารู้เรื่องแน่นอน แล้วเจอกันระหว่างทางจ้าาาา ๕๕๕๕
:: follow us ::
Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/
#palapilii
#wanderlust
#YOLO