หลังจากที่เล่น Snowboard ครั้งแรกที่ New Zealand บอกเลยว่าติดใจมาก ๆ เพราะเวลาขึ้นไปข้างบนยอดเขาก่อนปล่อยตัวลงมา วิวที่เราเห็นนั่นสวยแบบมาก ๆ แทบจะทุกที่ ซึ่งแต่ละที่ แต่ละประเทศที่ไป วิวมันก็ไม่เหมือนกันซะด้วยสิ นี่เลยพยายามพาตัวเองขึ้นไปเล่น Snowboard ทุกปี ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้ได้เล่น
แต่ ๆๆๆๆ พอเที่ยวไปเรื่อย ๆ ถ้าเล่นคนเดียวมันก็จะไม่สนุกเท่าไปกับเดอะแก๊งค์ รวมถึงอาจจะไม่มีภาพคูล ๆ ด้วย ถ้ามีเพื่อนที่เล่นเป็นไปด้วย ก็คงจะดี เพราะเหตุผลนี้เอง จึงเกิดทริปนี้ขึ้นมา ทริปที่พาเพื่อน ๆ ไปเรียน Snowboard จะใครสอนนะหรอ… ก็กูนี่แหละ!!! ๕๕๕๕
การเดินทางครั้งนี้บอกเลยว่าจัดจ้านมาก เช็คปฏิทินตารางงานตัวเองแล้วเจอช่วงวันว่าง ๆ ติดกัน 3-4 วัน เลยลาทบไปอีก 2 วันช่วงต้นธันวา ทริปนี้เราใช้เวลา 6 วัน รวมเดินทาง พาเพื่อน ๆ กว่า 14 คน รวมเราเองด้วย ไปเล่น Snowboard ที่ Niseko ประเทศญี่ปุ่น ตั๋วเครื่องบินบอกเลยว่าจัดจ้านและเฟี้ยวฟ้าวมาก กดเล่นขำ ๆ ก่อนไปราว ๆ หนึ่งเดือน เจอไปกลับของสายการบินหนึ่ง 10,000 บาท แต่ต้องไป Transit ที่ฮ่องกง มีส่วนหนึ่งจองไปก่อน เพราะพอใจกับราคานี้ แต่แล้วก็ต้องตกใจ เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน กดดูอีกทีหลังเพื่อน ๆ จองไปหนึ่งอาทิตย์ ตั๋วของสายการบินเจ้าหนึ่งตกห๊วบลงมาที่ 7,000 ไปกลับแบบรวมน้ำหนักปลาเก๋า บ้าบอออ!!!
เรานี่ปล่อยให้เพื่อน ๆ จองไปกันก่อนเลยจ้า หวังว่าได้ราคาไหนก็ราคานั่น กะเสี่ยงดวงไปเลย ว่าจะหมู่หรือจ่า อ่า.. ลืมไปเลย เราหาตั๋วเครื่องบินผ่านทาง Traveloka นะครับ เพราะแอพพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์นี้ เค้าใช้งานง่าย ดูสบายตา กรองเวลาบิน และราคาที่เราต้องการได้อย่างสะดวกสบาย ที่สำคัญ สามารถจ่ายได้หลายช่องทางอีกด้วย ทุกคนจองกันเสร็จหมดแล้ว ราคาไล่ไปตั้งแต่ 10,000 จนถึง 17,000 บาท เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ได้ครับ ว่าเราจะโดนราคาที่เท่าไหร่ แต่หลังจากที่ทุกอย่างเหมือนจะพร้อม จู่ ๆ สายการบินต้นทาง ก็มาเลื่อนตารางบินเราซะงั้น นี่ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของไมเลย ที่ทางสายการบิน เลื่อนตารางบินแบบ เปลี่ยนวันเดินทางไปเลย
ใช่สิ แพลนเปลี่ยนไปตั้งหนึ่งวัน มันกระทบกับทริปเราแน่นอน นี่ก็เลยปรึกษากับทาง Traveloka เรื่องขอ Refund เงินคืน ให้ตายเถอะ โชคดีที่สายการบินเค้าดูแลให้ และทางพนักงาน Traveloka เองก็เป็นห่วงและอัพเดทสถานะการขอเงินคืนอย่างใกล้ชิด จนตอนนี้ กลับมาจากทริปกำลังเขียนรีวิวอยู่ ผมได้เงินคืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เอาล่ะ ยังไงใครจะบินไปที่ไหน Traveloka ถือเป็นอีกหนึ่ง Booking เว็บไซต์ที่ดีงาม อยากให้ตามกันจริง ๆ และมากไปกว่าจองตั๋วเครื่องบิน เว็บ Booking นี้ยังมีจองที่พัก รถรับส่ง และตั๋วกิจกรรมต่าง ๆ อีกเยอะแยะมากมาย ยังไงลองกดเข้าไปดูที่ลิ้งค์นี้ได้เลย https://www.traveloka.com/th-th/
DAY 1 – COME WITH BLIZZARD
ตัดมาที่ทริปของเรา รอบนี้บอกเลยว่าเบอร์แรงมาก การบินไป Hokkaido ครั้งนี้ ใช้เวลาเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง (ปกติถ้าบินไป Chitose จะต้องใช้เวลา 7 ชั่วโมง) เนื่องด้วยลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามารุนแรงพอดี ทำให้การเดินทางทริปนี้ของเราใช้เวลาเหมือนบินไปโตเกียวคือ 6 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ไม่อยากคิดถึงตอนบินขากลับเลย ฮ่า ๆๆๆ
เราจะเล่ากันเร็ว ๆ ไม่อีดออด ไม่เล้าหลือ พอขาแตะผืนดินญี่ปุ่นปึบ บอกเลยว่า ใครไปเตรียมเครื่องนุ่งห่มมาดี ๆ ในช่วงหน้าหนาวบ้านเขากระดอต้องหดจุ๋มจิ๋มต้องเก็บกดแน่นอน เพราะหนาวในแบบที่ต่อให้อยู่บนต้นไม้ต้นที่สูงที่สุดบนดอยอินทนนท์ก็ไม่หนาวเท่า แค่เดินออกไปนอกสนามบินก็เจออุณหภูมิติดลบแล้ว (ตอนเราไป -5 องศาเซลเซียส)
การเดินทางครั้งนี้ของเรา เราจองรถส่วนตัวแบบขับเองทั้งทริปผ่านทาง TOCOOL ครับ เป็นเว็บไซต์ที่รวมรถเช่าในพื้นที่ญี่ปุ่นแบบครบทุกร้านมาไว้ในเว็บเดียว ที่สำคัญราคาถูกมาก ๆ แต่เค้าก็เก็บค่าดูแลส่วนต่างของเค้าไปประมาณหนึ่งนะ บวกลบคูณหารแล้ว ก็ยังได้ราคาดีอยู่เหมือนเดิม เราเลือกรถมา 3 แบบ เช่าไป 6 วัน หารกัน 14 คน ตกคนละ 3,000 บาทตลอดทั้งทริป คือคุ้มเว่อร์
เอาจริงคือราคานี้ มันเทียบกับราคาตั๋วรถไฟ หรือบัสไม่ได้หรอก แต่เรื่องความสะดวกสบาย จะไปไหนก็ได้ บวกกับไม่ต้องยกกระเป๋าเวลาเปลี่ยนสถานี แล้วก็ไม่ต้องไปตากหิมะในหน้าหนาวแบบติดลบบ้านเค้า แม่งโคตรคุ้มเลย ที่สำคัญตอนนี้ เอา Code นี้ไปใช้ซะนะ “ F08YRO “ จองรถทุกอย่างตอนนี้ รบส่วนลดไปเลย 1,000 เยน ทางไปจอง >>> https://bit.ly/2sdLjRC
รถแต่ละคันที่เราเช่ามา ส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นออฟฟิศรับรถจะอยู่ข้างนอกสนามบิน แบบห่างไปราว ๆ 5 กิโลเมตร แต่ไม่ต้องห่วงเลย เพราะเค้าจะมี Shuttle Bus มารับเรา คือพอเราจองเสร็จเค้าจะบอกจุดนัดพบเราเรียบร้อย ไม่ต้องห่วง ทุกวันนี้ติดต่อกันง่าย ๆ ผ่านแอพที่หลากหลาย ที่ไม่ก็โทรคุยกันไปเลย
จากสนามบินมาถึงจุดรับรถ ราว ๆ 5 นาทีก็ถึงแล้ว เอกสารที่ต้องเตรียมคือ Passport ใบขับขี่สากล และใบขับขี่ที่บ้านเรา พร้อมกับบัตรเครดิทที่ต้องวางเงินมัดจำไว้ ซึ่งเงินมัดจำก็แล้วแต่บริษัท ส่วนจะเอาประกันภัยรถไหม ก็แล้วแต่คนอีกล่ะ อย่างเรามาช่วงหิมะตก เรื่องยางหิมะ กับประกันรอยขูดขีดรอบรถคือยังไงก็ต้องเอา ฮ่า ๆๆๆๆ
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ตรวจรถ ตรวจรอย ทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินทางไปที่ Destination แรกของเรากันเลยครับ ซึ่งที่แรกของเราในทริปนี้ อยู่ห่างจาก Chitose ไม่ไกล ขึ้นไปตอนบนราว ๆ ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่ระหว่างทางนี่สิ หิมะตกตลอดเลย ทำให้รถไม่สามารถขับเร็วได้ และก็มีลื่นไหลบ้าง เป็นบ้างครั้ง
โอตารุ (Otaru) เป็นเมืองท่าในกิ่งจังหวัดชิริเบะชิ จังหวัดฮกไกโด ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครซัปโปะโระ ตัวเมืองหันหน้าออกสู่อ่าวอิชิกะริ และเป็นเมืองท่าหลักของอ่าวมาเป็นเวลานาน มีอาคารเก่าแก่ให้เราถ่ายรูปเก๋ ๆ เยอะมาก รวมถึงคลองในตำนานอีกด้วย
เอาจริง หน้าหนาวบ้านเค้า 4 โมงเย็นคือมืดฟ้าปิดสนิท บวกกับหิมะที่ตกแล้วละก็ มาถึงคือไม่อยากเดินลงไหนเลย แต่มาแล้วอ่ะนะ ก็ต้องเอาซะหน่อย อย่างน้อยไปถ่ายคู่กับแลนด์มาร์คบ้านเค้าก็ยังดี
ที่ญี่ปุ่นหาที่จอดรถข้างถนนเหมือนบ้านเรายากมาก นอกจากอยู่ในซอยแถวบ้านหรือนอกเมืองจริง ๆ ถ้าเข้ามาในเมืองเมื่อไหร่ ต้องหาที่จอดแบบเสียงเงินเท่านั้น แต่ละที่ราคาก็จะต่างกันออกไป อย่างบริเวณคอลงโอตารุนี่ก็ชั่วโมงละ 1,200 เยน ถ้าไม่เกิน 30 นาทีคิด 800 เยน
หลังจากที่ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอจนปากแข็งเริ่มพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เดินทางไปที่พักคืนแรกของเราในค่ำคืนนี้ ซึ่งที่พักของเราจริง ๆ แล้ว มีลานสกีสำหรับเด็กอยู่ข้างหน้าที่พักเลย เอาจริง ใครที่อยากลองฝึกเล่นง่าย ๆ ก่อนมาพักที่นี่ ก็ถือว่าใช้ได้เลย เพราะราคาที่พักไม่ได้แรงมาก บวกกับรวมอาหารเช้าแล้วด้วย ถือว่าคุ้มค่าสุด ๆ
ที่พักของเราชื่อ Sanroku Kan (Address: 047-0023, 小樽市, 最上2-16-18) จองไปคืนแรก 10 คน เพราะอีก 4 คนยังไม่มารวมกัน (แยกกันเดินทาง) รามเหมารวมทั้งหมด 34,000 เยน (รวม Tax 10%) ที่นอนก็เป็นแบบเรียวกัง (ปูที่นอนนอนเอง) รวมอาหาร ห้องน้ำรวม และที่พักทุกคืนของเราจองผ่าน Booking นะครับ ลูกเพจที่น่ารักคนไหนต้องเดินทางหาที่พัก สามารถรับส่วนลด 1,000 บาทไปเลย เพียงจองผ่าน https://www.booking.com/s/palapi11 แบบผูกบัญชีบัตรเครดิท แค่นี้เงินก็จะจ่ายคืนกลับเข้าไปในบัตรแบบสบายกระเป๋าหลังจากเข้าพักเรียบร้อยแล้ว แต่ใช้สิทธิ์ได้แค่คนละ 1 ครั้งเท่านั้นนะ และยอดจองต้องมากกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป ยังไงลองดูครับ
เรามาเช็คอิน แล้วก็เอากระเป๋ามาลงไว้ที่พัก ก่อนที่จะไปร้าน Izagaya ในคืนแรก บอกก่อนว่าทริปนี้ นอกจากจะเป็นทริปเรียน Snowboard แล้ว ยังเป็นทริปเมาเบา ๆ อีกด้วย เพราะเราจะดื่มกันทุกคืนเลยครับ คืนแรกเราจะพาเพื่อน ๆ ไปเปิดตี้ที่นี่ Yakitori Daikichi (Address: 047-0023, 小樽市, 最上2-16-18)
เป็น Izagaya ที่มีพ่อลูกขายกันอยู่สองคน คุณลุงอายุ 74 ปีถ้าจำไม่ผิด เคยเป็นช่างไม้มาก่อน จนอายุเกือบเกษียณ เลยผันตัวเองมาเปิดร้าน Izagaya ซึ่งภายในร้านก็ตกแต่งด้วยตัวคุณลุงเองเลย เนื่องจากเป็นช่างไม้มาก่อน ขายกับลูกที่อายุ 42 ปี ทั้งสองคนน่ารักมาก ราคาอาหารกลาง ๆ ไม่ถูกไม่แพง แต่รถชาตินี่สิ พิถีพิถัน อร่อยสุด ๆ ไปเลย
ร้านเปิดมา 25 ปี น่าจะเป็นที่รู้จักในแถบนี้ไม่มากก็น้อย เมนูปิ้งย่างบังคับสั่งเป็นเซ็ท เซ็ทละ 3 ไม้ ราคาเริ่มต้นที่ 200 – 500 เยน เบียร์สดแก้วละ 500 เยน ดื่มกันไปพราง ๆ
เมนูเด็ดสำหรับผม คงจะเป็นเครื่องในไก่ และหนังไก่ปิ้ง รวมไปถึงเมนูหมูที่เค้าพิถีพิถันปิ้งย่างกันสุด ๆ บรรจงโรยเกลือให้ทุกไม้ เนื้อไก่และหมูทุกชิ้นถูกเสียบมาราวกับใช้เครื่องเสียบอัติโนมัติมาเสียบให้ เพราะเป็นระเบียบมาก ๆ บวกกับเบียร์ที่เสิร์ฟราวกับเอาไม้บรรทัดมาวัด ฟองเบียร์ของเบียร์ทุกแก้ว จะอยู่ที่บาร์ดาวของ Sapporo ทุกดอกไม่มีพลาด
แต่ดื่มไปดื่มมา บอกเลยว่า หมดกันไปราว ๆ คนละ 7 แก้ว พร้อมกับ ราคาปิ้งย่างที่เช็คบิลมาได้ในราคาคร่าว ๆ ที่ 2x,xxx เยน ให้ตายสิพับพา นี่มันเกือบ 10,000 บาทเลยนะเว้ย ฮ่า ๆๆๆ เอาล่ะ กลับไปคงนอนหลับปุ๋ยไม่ต้องอาบน้ำกันแน่นอน ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
DAY 2 – I AM BACK!!! NISEKO
ตื่นเช้าด้วยความงัวเงีย เช้านี้ต้องรีบเดินทางไปที่ Niseko เพื่อที่จะไป Fitting ชุด และอุปกรณ์สำหรับเล่น Snowboard ที่จองผ่านเว็บไซต์ไว้ ซึ่งจากตัว Otaru ไป Niseko ก็ใช้เวลาราว ๆ ชั่วโมงครึ่ง แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่ง่ายเลย เพราะหิมะตกหนักทุกวัน
ระหว่างทางคือขาวไปหมด บางช่วงเบรคแข็ง รถเบรคไม่ได้ ทำเอาตกใจไปตาม ๆ กัน มองไปทางไหนก็ไม่เห็นวิว หิมะสีขาวถูกทาไปทั้งเมือง ซึ่งก่อนที่เราจะไปร้าน Fitting อุปกรณ์ เราจะต้องเอาของไปวางทิ้งไว้ในที่พัก่อน เพราะจะต้องเคลียพื้นที่เก็บบอร์ด และอุปกรณ์ต่าง ๆ เรื่องที่พักไว้ค่อยพูดถึงตอนเย็นแล้วกัน ตอนนี้ ไป Fitting แล้วเด่วไปเรียนกันเลย!!!
ร้านเช่าอุปกรณ์สำหรับเล่น Snowboard ในเมือง Niseko จริง ๆ แล้วมีหลายร้านมากครับ มีทั้งเกรดดี เกรดไม่ดี อันนี้ก็ต้องใช้ประสบการณ์กันเอาเอง เราก็เดากันมั่ว ๆ และมาจบที่ Good Sport เพราะเป็นราคาที่คิดว่าสามารถจับต้องได้ ตีเป็นราคาไทยคร่าว ๆ ต่อวันแค่คนละ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น
ราคาดังกล่าวเป็นแบบ Standard นะ แต่เค้าก็มีแบบ Premium ราคาก็จะแพงขึ้นไปอีก ซึ่งนี่คิดว่าลูกทีมยังไม่จำเป็น เอาให้แค่ยืนได้ ทรงตัวได้ก่อนแล้วกันในทริปนี้ ไปถึง เราก็ไปแจ้งชื่อ เพราะจองผ่านเว็บไซต์มาแล้ว เค้าจัดเตรียมทุกอย่างมาให้เราเรียบร้อยเป็นกระเป๋า ๆ คนละใบพร้อมติด tag name ของใครของมัน ซึ่งแต่ละคนความต้องการต่าง ๆ ก็จะไม่เหมือนกัน มีสิ่งแนะนำที่ไมอยากจะนำนำไม่กี่อย่างสำหรับ Snowboard นั่นก็คือ
- ควรมีแว่นตากันแดด กันลม เพราะพอไปอยู่ในหิมะจริง จะแสบตามาก และหากหิมะตก หิมะคนเทห่าเข้ามาที่เบ้าตาเราอย่างไม่ขาดสาย เอาแว่นกันแดดส่วนตัวมาก่อนได้ หรือถ้าดีหน่อยก็เป็น Goggle
- หมวกกันน๊อคควรมีไหม อันนี้แล้วแต่เราเลย จริง ๆ ก็มีไว้ดีกว่าแหละ เพราะเราไม่รู้ว่าตอนล้มเราจะล้มท่าไหน ป้องกันไว้ก่อน
- ถุงมือกันน้ำกันหิมะ ต้องมี!!!
- บูท ของสวมใส่แล้วแน่นพอดี ไม่หลวมเกินไป และแน่นเกินไป ต้องเอาไปพอดีแบบเป๊ะ ๆ สำคัญขนาดไหน สำคัญขนาดที่ไซส์รองเท้าบูทมีจุดทศนิยมอ่ะ เช่นถ้าซื้อรองเท้าบ้านเราเบอร์ 42 เค้าจะมีเบอร์ 42.5 หรือ 41.5 ประมาณนั้นเลย เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ
- บอร์ด การวางเท้าของเราก็สำคัญ ให้เอาเท้าที่ถนัดไว้ด้านหลัง เพราะจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง เท้าไม่ถนัดไว้ด้านหน้า (ไม่จำเป็นเสมอไป แต่ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้)
- ชุดกันหิมะ สำหรับเล่น Snowboard จำเป็นมาก ๆ อย่าเสร่อใส่แค่ถ่ายรูปสวย เพราะถ้าเล่นทั้งวัน รับรอง ร่างกายจะไม่สวยแน่
หลัก ๆ ก็จะมีแค่นี้ เพิ่มเติมอีกนิดคือ ถ้าซ้ายนำเรียก Regular ขวานำเรียก Goofy พอทุกคนโอเค ไม่ปรับเปลี่ยนอะไร ก็ไปกันเลย เพราะครึ่งวันแรกในช่วงบ่าย ไมจะสอนวิธีการใช้ทุกอย่าง การใส่ การถอดบอร์ด การลุก การเดิน คือทุกอย่างที่เป็นขั้นต้นนั่นเอง ซึ่งสำหรับวันแรกภาพเราไม่ได้ถ่ายกันเลย เพราะคิดว่าคงยังไม่ได้อะไรมาก เอาให้ทุกคนรู้ทุกอย่างก่อน ซึ่งลานสกีวันแรก คืออยู่ข้างบ้านเราเลย ขับรถไป 2 นาทีถึง นั่นก็คือ Niseko Village Area
สอนพอไปวัดไปวาครับ เพราะลานสกียังไม่เปิด ทุกคนต้องแบกบอร์ดขึ้นไป แล้วไถลงมา ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ประมาณ หนึ่งชั่วโมง เพราะช่วงหน้าหนาวที่นั่น สี่โมงเย็นก็มืดแล้ว แต่แค่นี้ทุกคนก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน ก็พากันกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บอุปกรณ์ และไปทานมื้อเย็นกันก่อน
สำหรับมื้อแรกใน Niseko ไม่สิ จริง ๆ เป็นมื้อที่สองแล้ว แต่มื้อเที่ยงเราแวะ Lawson จัดอะไรที่มันง่าย ๆ กัน พอมามื้อใหญ่มื้อนี้ เราจัด Shabu กันเลยฮ้ะ เป็นร้านที่พึ่งเปิดใหม่เมื่อ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ชื่อ Kanpai Shabu Shabu Buffet บอกเลยว่าร้านสวยมาก แต่พนักงานยังงง ๆ เอ๋อ ๆ อยู่ และที่สำคัญ พูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้
น้ำซุปเองมีให้เลือกหลายแบบ เราเลือกเป็น Sukiyaki กับ Hot Spicy หรือแถวบ้านเรียกหมาล่านั่นเอง แต่กลิ่นก็ไม่ค่อยหม่าล่าเท่าไหร่ ทุกอย่างโอเคดีครับ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ร้องว้าว เนื้อดี แซลมอนดี แล้วก็สามารถตักอาหารในไลน์ Buffet ทานได้
ราคา All you can eat ต่อคนตกคนละ 5,000 เยน ทานได้ชั่วโมงครึ่ง และถ้าเป็น All you can drink จะต้องจ่ายแยกที่คนละ 2,500 เยน แต่คิดว่าไม่น่าไหว เลยเอาแค่ Soft Drink หัวละ 500 เยนเท่านั้น
กินกันเต็มอิ่มก็แวะ Lawson แล้วซื้อของกลับบ้านมากินกันครับ อย่างที่รู้ว่าเอาจริง ๆ ของใน Lawson ก็ไม่แย่เลย คืนแรกเรายังมากันไม่ครบครับ มี 11 คน ที่มาถึงก่อน อีก 2 คนบินตามมาและถึงตอนดึก ๆ ส่วนอีกหนึ่งคน จะขับรถตามมากจาก Hakodate ในวันพรุ่งนี้
คืนนี้บอกเลยว่าถือเป็นการ Re-skill ตัวเอง และสอนเพื่อน ๆ ไปในตัวได้อย่างราบรื่นเลยทีเดียว แต่พรุ่งนี้แหละ ที่เราจะไปพื้นที่จริง หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น และทุกคนสามารถทรงตัวได้ สำหรับคืนนี้ ราคตรีสวัสดิ์ครับผม หิมะตกแรงมาก!!!
DAY 3 – 1st DAY OPEN SKI AREA IN NISEKO
วันนี้ขอมาพูดถึงเรื่องที่พักกันบ้าง เพราะเราต้องอยู่ที่นี่ถึง 3 คืนด้วยกัน ที่พักของเราอยู่ในโซน Niseko Village ชื่อ Higashiyama เป็นบ้านหนึ่งหลังที่มีกว่าสิบห้องนอน เราพักกัน 4 ห้องนอน นอนกัน 14 คน ตัวบ้านมีห้องอาบน้ำ ห้องเก็บอุปกรณ์ ครัว และก็ห้องสำหรับทานข้าว มีโถวใหญ่ให้ได้นั่งคุยชิลเอ้าท์กัน ที่พักรวมอาหารเช้าอย่างง่ายอย่างคอนเฟล็กซ์ และขนมปัง
เป็นที่พักที่โดยส่วนตัวผมชอบนะ เพราะเหมือนได้มาอาศัยเป็นคนเมืองนี้จริง ๆ ทุกเช้าตื่นมาจะเห็นรถตัวเองถูกหิมะถมจนจำไม่ได้ ต้นสนจากสีเขียวก็ถูกปกคลุมด้วยสีขาวจากหิมะทั้งต้น เป็นการใช้ชีวิตอยู่ใน Niseko ที่สมกับซื้อตั๋วเครื่องบินหนีร้านมาที่นี่จริง ๆ
สำหรับที่พักที่นี่ราคาถือว่าถูกมาก ๆ เมื่อเทียบกับโซน Yamada เพราะเราอยู่กัน 14 คน 3 คืน จ่ายไปเพียง 130,000 เยน เท่านั้น ตีเป็นเงินไทย หารกันแบบหลวม ๆ ตกต่อคืน คนละ 1,000 บาท เท่านั้นเอง ให้ตายเถอะ ถ้าเทียบกับไทยเหมือนไปพัก Hostel คืนละ 300 บาท อะไรประมาณนั้น
จากที่พัก เข้าไป Hirafu ก็ไม่ได้ไกลหรือใช้เวลานานเลย ราว ๆ 10 นาที ก็ถึงแล้ว และเช้าวันนี้ เราจะมา Re-Skill และสอนเพื่อน ๆ กันต่อที่ลานสกี Grand Hirafu ครับผม
วันนี้ต้องบอกก่อนว่า เป็นวันเปิดวันแรกของลานสกีที่นี่ รถจอดกันพรึ้บ!!! พร้อมกับหิมะที่ตกมาอย่างไม่ขาดสาย จริง ๆ ที่นี่มีโรงเรียนสอนด้วยนะ แต่ขอกระซิบไว้ก่อนเลยว่าแพงมาก แล้วก็มีอัปกรณ์ให้เช่าถึงที่ด้วย เรื่องราคาไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ถือว่าโอเคพอตัว สำหรับมือใหม่
เราซื้อ 5 Hours for Lift ครับ ราคา 3,600 เยน ต่อคน ขึ้นลิฟท์ได้ 5 ชั่วโมง แต่หากต้องการจะซื้อแยก ก็ต้องยอมจ่ายจุดละ 900 เยน พอคิดดูแล้ว เซื้อแบบ 5 Hours ไปเลยถูกกว่าครับ
หรือหากเพื่อน ๆ จะซื้อแบบเต็มวันเลย ก็มี ราคาบวกขึ้นไปอีกไม่เท่าไหร่ แต่อย่าลืมดูฤดูกาลด้วยว่า พระอาทิตย์เค้าตกกันกี่โมง เพราะช่วงหน้าหนาว ลานสกีจะไม่เปิดตอนกลางคืน เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนั่นเอง
ช่วงเช้าเราก็ Re-Skill กันครับ ส่วนใครเริ่มขยับ Level หน่อย ผมก็ปล่อยเลย ล้มเยอะ ๆ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนหัดเล่นครับ สำหรับ Snowboard ใจเท่านั้นครับ ถ้าใจได้ สติมา ค่อย ๆ สังเกตุสรีระตัวเองให้มันสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ของบอร์ด แค่นี้ก็จะทำให้เราทรงตัวได้แล้ว
หิมะที่ Hokkaido ขอบอกว่า นุ่ม ติดอันดับโลกเลยนะครับ คือการันตีเบา ๆ เลยว่าล้มแล้วไม่เจ็บเท่าที่อื่นแน่นอน แล้วยิ่งมาช่วงที่มันกำลังตกอยู่เหมือนตอนนี้แล้วนี่นะ โหวววว เหมือนกระโดดลงไปบนอะไรที่นุ่มกว่าทรายอ่ะ เอาเป็นเม็ดโฟมแล้วกัน น่าจะเข้ามากที่สุด
เรื่องเล่น Snowboard ก็ปล่อยตัวใครตัวมันไปครับ เราจะมาแนะนำร้านอาหารเที่ยงตอนที่เล่นมาเหนื่อย ๆ ดีกว่า ร้านนี้อยู่ไม่ไกลครับ เดินลงมาจากลานสกีราว ๆ 5 นาทีถึงเลย เป็นร้านอาหารตามสั่งที่จานใหญ่มาก ๆ ถ้าเป็นราเมนสั่งมาคนเดียวกินไม่หมดแน่นอน ร้านชื่อ Tozanken Ramen (Address: 〒044-0081 北海道虻田郡倶知安町字山田191-31)
เมนูคือถ้าเทียบกับ Location ที่ตั้งอยู่เรียกได้ว่าถูก และคนจะต่อคิวเยอะมาก เยอะแบบยืนต่อแถวยาวขึ้นไปชั้นสองของร้านเลย เมนูเด็ด เห็นจะเป็นราเมนครับ แล้วก็อีกอย่างที่ผมชอบคือข้าวแกงกระหรี่ที่นี่คือสุดจริง ๆ
ช่วงบ่ายก็ไปเล่นกันต่อ และแน่นอนว่ามีทั้งคนไหว และไม่ไหว คนไหวก็เล่นต่อ คนไม่ไหวก็นั่งพักรออยู่ด้านล่าง
สำหรับการเล่น Snowboard กีฬาชนิดนี้ ค่อยข้างที่จะยากพอตัวครับ ไม่ง่ายเลย ร่างกายต้องแข็งแรง ต้องควบคุมสรีระตัวเอง และเคลื่อนไหวตลอดเวลา ที่สำคัญคือต้องทนหนาวด้วย จึงไม่แปลกหากใครที่ล้มบ่อย ๆ ล้มถี่ ๆ จะถอดใจ เพราะนอกจากจะเจ็บตัวแล้ว ยังเจ็บใจด้วยที่ยืนและควบคุมบอร์ดไม่ได้
วันนี้จบกันไปในสภาพที่พังยับเยิน ปากแตก น้ำหูน้ำตาไหลกันไป เมื่อเย็นเราจัดชาบูกันไปแล้ว เย็นนี้ต้องปิ้งย่างบ้างแล้วล่ะ ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าแถบนี้ร้านอาหารราคาแรงมากครับ ซึ่งก็ถ้ามาคนเดียวหรือมาน้อยคนก็อาจจะพุ่งเข้าใส่ แต่มากันหลายคนไม่รู้ว่าทุกคนต้องการแบบไหน เลยเอาราคาที่ถูกไว้ก่อน เลยไปหยุดอยู่ที่ร้านนี้ Niseko SOAN (Address: 〒044-0081 北海道虻田郡倶知安町字山田170-160)
ร้านนี้เป็นร้านที่เราเช็คราคามาแล้วว่าถูกที่สุดในเมืองนี้ครับ ราคาคือไม่แพงมาก ตกต่อหัวราว ๆ 3,000 กว่าเยน แบบ All You Can Eat แต่ไม่มีเนื้อวัว แล้วจะเสิร์ฟเป็นเนื้อแกะแทน หากจะสั่งเนื้อวัวต้องสั่งเพิ่มที่ 150g ต่อ 1,400 เยน
บรรยากาศในร้านคือ Local มาก ๆ กระทะดูแข็งแรง เมื่อสั่งแบบ All You Can Eat เราจะได้ทานไอติมฟรีด้วย มีข้าวให้ มีน้ำเปล่าที่บริการตัวเอง สามารถทานได้ 60 นาที แต่นั่งได้ 90 นาที รสชาติและคุณภาพอาหารถือว่าสมกับราคานี้แล้วครับ
ซึ่งเมื่อเราทานไปจนจบก็พบว่า สั่งแบบ A La Carte ถูกกว่าว่ะ ฮ่า ๆๆๆๆๆ ยังไงใครมา แนะนำให้สั่งเป็นจาน ๆ ไปครับ เพราะพอกินแบบบุฟฟเฟ่ต์แล้วไม่คุ้มจริง ๆ หมูทีให้จะเป็นหมูติดมัน ไม่มีหมูชนิดอื่น ส่วนเนื้อแกะถือว่าหอมกำลังดีเลยทีเดียว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว เนื้อวัวพอใช้ได้ ยังไงถ้าไม่มีที่ลงก็ลองไปร้านนี้ดูนะครับ : )
วันนี้เป็นวันที่พวกเรามาครบ 14 คนแล้ว ไม่แปลกเลยที่คืนนี้เราจะมีปาร์ตี้ใหญ่และทุกคนจะได้รู้จักกันครบทุกคน แต่ละคนบอกก่อนเลยว่าไม่รู้จักกันมาก่อน หรือหลายคนมาคนเดียวแบบไม่รู้จักใครเลย กิจกรรมยามเย็นวันนั้นจึงเป็นอีกกิจกรรมที่ทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะแนะนำสำหรับสายดื่มคือที่นี่ ไวน์ถูกกว่าเบียร์ราว ๆ 3 เท่า เอาเงินซื้อไวน์ราคาถูกกินกันยาว ๆ ก็น่าจะต่อเวลาให้กับค่ำคืนนั้นได้ยาวนานกว่าเก่าพอสมควร ถ้างั้นคืนนี้ ตัวใครตัวมันครับ
DAY 4 – DOWNTOWN SIGHTSEEING
วันนี้คือปล่อยตัวใครตัวมันเลยครับ ให้เล่นกันเต็ม ๆ หนึ่งวัน ซึ่งคิดว่านี่คงไม่ต้องให้เห็นภาพมาก ก็แล้วแต่ร่างกายของใครของมัน แต่วันนี้จะขอพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองกันหน่อย ว่าหากเราไปแล้วไม่เล่น มีร้านอะไรน่านั่งน่าเข้าบ้าง ไปเริ่มที่ร้านแรกกันเลย
ร้านแรกแนะนำเลย อยู่ใกล้ลานสกี Hirafu ที่สุด ที่นี่คือ Base Mountain Kiosk ( Address: 〒044-0081 北海道虻田郡倶知安町字山田204-30 MOUNTAIN KIOSK COFFEE )
คือถ้าไม่มีรถแล้วไม่รู้จะไปนั่งรอเพื่อนที่ไหน ร้านนี้ถือเป็นอีกหนึ่งัวเลือกที่ดี เพราะบรรยากาศสวย ถ่ายรูปงาม ออกโทนเทาดำ มืด ๆ แต่ตัดกับสีขายสไนด้านนอกคูล ๆ
ด้านนอกริมถนนก็มีกาแฟร้านหนึ่งสีชมพูเก๋ ๆ ตั้งท้าความหนาวอยู่ อันนี้ก็ถือว่าได้นะ ถ่ายรูปสวย รสชาติลาเต้ที่สั่งมาชิมคือนัวมากแม่ ร้านนี้ชื่อ Morning Owl Cofee แต่โทษทีไม่มีใครปัก Location ไว้ใน google เลย ฮ่า ๆๆๆๆ
ถ้ามีรถก็ขับออกมาหน่อย ออกมาทาง Niseko Village พอเจอสี่แยกแทนที่จะเลี้ยวขวาก็ออกซ้ายไปห่าง ๆ บ้านพักเลย มีอยู่หลายร้านให้เลือกนั่งเลือกนอนเหมือนกัน
ที่นี่คือ Cafe White Birch ( Address: 〒048-1502 北海道虻田郡ニセコ町字本通106番地3 ) เป็นอีกร้านที่สวยเลยนะ
มีค้งมีเค้กให้ได้สั่งมาจิบกับของร้อนด้วย อ่ะ ไปกันต่อ บอกเลยว่ามีหลายร้านมาก แต่ก็จะเก็บมาให้เท่าที่ไปเก็บมาได้นะ ๕๕๕๕
ร้านนี้เป็นร้าน Sandwich และขายพวกอาหารแนวอเมริกัน เป็นตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งไว้แบบนี้เลย แล้วตกแต่งภายในเอา
ร้านชื่อ Niseko 36 Parlour ( Address: 19-19Higashiyama.Niseko ニセコ町字東山19-19, Abuta-gun, Hokkaido, Japan 048-1521 ) ยังไงก็ไปตำกันล่ะ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นตาฟ้าด้วย
สุดท้ายมีอยู่ร้านหนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นร้านขายซูครีมชื่อดัง อยู่ติดบ้านพักเราเลย และก็มีวิวภูเขาไฟโยเตอยู่ด้านหลังด้วย ผมจำชื่อร้านไม่ได้ แต่ก็ copy address มาไว้ให้เพื่อน ๆ แล้ว ตามนี้เลย >>> 日本、〒048-1522 北海道虻田郡ニセコ町字曽我888−1
นี่เอามาไม่หมด Niseko นะ ที่นั่นมีอะไรทำนองนี้อีกเยอะ คิดว่าพวก Cafe Hoping พวกรักแนวสถาปัต หรือพวก Minimalist คงจะชอบเมืองนี้มาก ๆ และแนะนำเลยว่า เอากล้องฟิล์มมาถ่ายที่นี่สิ สวยยย!!!!
DAY 5 – GOODBYE NISEKO
วันนี้เป็นวันที่พยากรณ์บอกว่าอากาศจะดีที่สุดในทริปเราครับ คือท้องฟ้าเปิดและมีแดดออก เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เห็นวิวภูเขาไฟโยเตที่อยู่ตรงข้ามกับลานสกี เราเล่นที่ Grand Hirafu จนจำไลน์ได้หมดแล้ว วันนี้เลยคุยกันว่าจะไปอีกลานสกีหนึ่ง นั่นก็คือ Niseko Annupuri Kokusai Ski Area (Address: 〒048-1511 北海道虻田郡字ニセコニセコ485)
อ่อ…. แต่ก่อนที่เราจะไปลานสกีอันใหม่ ลูกเพจเราได้เซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกันที่หน้าบ้านด้วย เป็นโมเม้นท์ที่อบอุ่นจริง ๆ จริง ๆ พี่ชายคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่ตอยที่ไปกับผมแทบจะทุกที่เลย น่าจะคุ้นหน้ากันบ้าง หากใครตามอ่านรีวิวของไมตลอด ยังไงก็ยินดีกับพี่ ๆ ทั้งสองด้วย
กลับมาที่การเล่น Snowboard ของเรากันต่อ ที่นี่คือลานสกีดีมาก เหมาะสำหรับมือใหม่มากกว่า Grand Hirafu อีก ที่สำคัญคือ ข้างบนสุดเปิดให้เล่นแล้ว แล้ววิวดีมาก ๆ หิมะนุ่น และมีไลน์ให้เล่นหลายไลน์ ถ่ายรูปสวยประมาณหนึ่ง ยังไงไปดูภาพบรรยากาศกัน
และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ดี ๆ สำหรับเพื่อนใหม่ทุกคนที่บางคนถือว่าเป็นครั้งแรกในการเล่น Snowboard คาดว่าเจ็บตัวระบมไปยันหัวจรดเท้าเลยล่ะ หลังจากที่พวกเราเคลียทุกอย่างกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาร่ำลา Niseko เพื่อเข้าสู่ Chitose เตรียมตัวกลับบ้านกัน
ที่ Chitose เราพักกันที่ Air LCC Hostel ครับ เป็น Hostel ที่ผมเคยมาพักแล้วครั้งหนึ่งแล้วติดใจมาก เพราะห้องสะอาด พนักงานดูแลดี รวมถึงมี Living Room และ Dinning Room ที่เปิดให้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญ ราคาถูกมาก ๆ อีกด้วย แต่ที่นี่หากเอารถมาจะต้องจ่ายค่าที่จอดรถคันละ 500 เยนต่อคืน ไม่มีแปรงฟันและผ้าเช็ดตัวให้ ต้องเช่าเอง แต่ราคาก็ไม่ได้แรงมาก ตกอย่างละ 50 เยน เท่านั้น ตัวห้องนอนก็จะมีหลายแบบ มีเป็นเตียงเหมือนโรงแรม เป็นเตียงสองชั้น สลับกับที่นอนแบบเรียวกัง มีห้องน้ำในตัวไม่ต้องห่วง มีลิฟท์ให้ใข้ ไม่ต้องยกกระเป๋าให้หนัก ถือเป็นอีกที่พักหนึ่งที่แนะเลยเลยครับ เพราะห่างจากสนามบินเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
เก็บกระเป๋ากันเสร็จแล้ว ก็จะพาเพื่อน ๆ ไป Izagaya ปิดท้ายทริปกันหน่อย คือต้องบอกว่าช่วงที่เราอยู่ Chitose คือวันเสาร์ ร้านดัง ๆ คือถูกจองเต็มหมดเลย ร้านที่เราพอจะหาได้ก็เป็นร้านที่ไม่ดังมากเลยไม่อยากแนะนำ แต่เอาเป็นว่าบริเวณนี้ ร้านเพียบ!!! พอตื่นเช้าขึ้นมาวันที่ 6 เราก็ Check Out แวะ Shopping ที่ AEON Plaza คืนรถ และไปสนามบินบินกลับไทยกันเลยครับ อย่างที่บอกว่าขามาใช้เวลา 6 ชั่วโมง ฉะนั้นขากลับนะหรอ กินเวลาไป 8 ชั่วโมง เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว ทริปนี้จบลงด้วยดีครับ ไว้เจอกันระหว่างทางนะ
สรุปค่าใช้จ่าย!!!!!
- เช่าอุปกรณ์ 3 วัน 126,900 JPY
- เช่ารถยนต์ตลอดทริป 6 วัน 121,000 JPY
- ค่าน้ำมันทั้งทริป 16,412 JPY
- จอดรถ 2,100 JPY
- ที่พัก Niseko 3 คืน 157,000 JPY
- ที่พัก Otaru 1 คืน 31,500 JPY
- ที่พัก Chitose 1 คืน 26,256 JPY
- ค่าลิฟท์เฉลี่ย 14 คน 120,000 JPY
- ตั๋วเครื่องบินเฉลี่ยทั้ง 14 คน 500,000 JPY
- ค่าอาหาร เหล้ายาปาปิ้ง ตลอดทริป 250,000 JPY
- อื่น ๆ ราว ๆ 100,000 JPY