โอ้ยย… จี่ปุ่งคือเมืิองที่ไม่ว่าจะไปตอนไหนก็ยอมแพ้กับวิว คน และอาหาร แล้วยิ่ง Road Trip แบบนี้ด้วยนะ บอกเลยว่า ตาย ๆๆๆๆ วิวสวยมาก ๆ ทริปนี้ขอออกมานอกโตเกียวหน่อย เราจะ Road Trip ในแถบตอนกลางของภูมิภาคโทโฮคุ ซึ่งก็จะ Start ที่เมือง Sendai >> Yamagata แล้วไปจบที่ Fukushima ก่อนจะไปส่งรถคืนที่สนามบิน Narita แล้วบินกลับบ้าน
ซึ่งทริปนี้ก็ต้องขอบคุณทางภูมิภาคโทโฮคุ และหน่วงงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทีม Unithai ที่คอยประสานงานให้ครับ ต้องกระซิบบอกไว้เลยว่ารูทท่องเที่ยวนี้ ถูกแนะนำมาจากคน Local อีกที ทำให้เรารู้สถานที่ท่องเที่ยวบางจุดที่ไม่ค่อยได้เห็นที่ไหนตามรีวิวหรือแพ็คเกจท่องเที่ยวอื่น ๆ มาดูกันดีกว่า ว่าหาก Road Trip ตามรูทที่เราไปมา มันจะน่าสนใจขนาดไหน และทริปนี้ ใช้เพียง 3 วัน 2 คืน เท่านั้น รวมเดินทางแล้วด้วยนะ อ่ะ ไปดู…
DAY 0 – NOT READY ANYMORE
ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า ทริปนี้ เราจะเริ่มต้นจาก กทม. บินไปลง Nagoya แล้ว Transfer ต่อไปที่ Sendai จากนั้นขับรถเที่ยว 3 วัน ก่อนที่จะยิงลงล่างมาจบที่ Narita Airport เพื่อบินกลับบ้าน ฟังดูหน้าสนุกไหม ฉะนั้นแล้ว Road Trip ครั้งนี้ มันจะไม่เป็นวงกลมนะ มันจะเป็นการลากจากจุด A ไปยังจุด B อย่างที่เห็นในแผนที่
ใครยังมองภาพไม่ออกอีกว่าเราอยู่ส่วนไหนของญี่ปุ่น ลองมาดู Graphic ง่าย ๆ ที่ผมทำขึ้นมาเลย ทริปนี้ก็จะขับผ่านสามจังหวัดหลักดังนี้ที่ประกอบไปด้วย Sendai, Yamagata และ Fukushima เรียกได้ว่าเที่ยวเมืองละวันกันไปเลย
จาก กทม. มาถึงนาโกย่า ใช้เวลาราว ๆ 6 ชั่วโมง เราบินมากับสายการบิน JAL ครับ สะดวกสบายมาก ๆ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ บอกเลยว่าการจองรถ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ครั้งนี้เราจองรถกับ Toyota Rent A Car ซึ่งหากมาญี่ปุ่น ก็มีแค่แบรนด์นี้แหละ ที่ไว้ใจ ยกเว้นเสียแต่ว่าหาไม่เจอจริง ๆ ถึงจะเลือกใช้แบรนด์อื่น มันเคยใช้มาแล้ว ก็เลยใช้มาตลอด ที่สำคัญคือบริการดี และก็ราคาไม่แรงมาก
ตัดบทมาตอนที่ Sendai เลยนะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา หลังจาก ที่มาถึงแล้ว จะมี Shuttle Bus ของทาง Toyota Rent A Car มารอรับ หรือหากใครไม่มั่นใจ สามารถตามหาบูธเช่ารถสัญลักษณ์ Toyota เพื่อสอบถามพนักงานก่อนก็ได้ ซึ่งหลักฐานที่จะต้องใช้ ก็มีบัตรใบขับขี่ในไทย ขับขี่สากล และพาสปอร์ต แค่นั้นเลย
ตัว Shuttle Bus ก็จะพาเรามาที่จุดรับรถ แล้วก็ กรอกเอกสารยินยอมต่าง ๆ หรือหากใคร Additional บางอย่างเพิ่ม ก็สามารถแจ้งได้ตอนนั้นเลย ราคารถ ก็จะแตกต่างตามจำนวนวัน เวลาที่เช่า รวมไปถึงประเภทของรถด้วย ส่วนน้ำมัน ก็ Return with Full Tank นะ เป็น Global Condition อยู่แล้ว ใครสนใจที่จะจองรถเช่าในญี่ปุ่น ก็สามารถจองได้ที่นี่เลย https://rent.toyota.co.jp/th/
ซึ่งพอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เค้าก็จะพาเราเช็ครถ ตรวจสอบการใช้งาน และสอนวิธีการใช้งาน ส่วนการเตรียมตัวอื่น ๆ นั้น สิ่งสำคัญก็คงจะเป็นเรื่องอากาศ ช่วงที่ไปให้เพื่อน ๆ ศึกษาสภาพอากาศดี ๆ จะได้เตรียมเครื่องนุ่งห่มไปถูก และสำหรับรูทนี้ เค้าแนะนำมาว่าต้องมาช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จะสวยมาก ๆ สุดท้ายเรื่อง Air Card สำหรับเล่น Internet ระหว่างทริปเพื่อหาข้อมูล ก็สำคัญไม่แพ้กัน ครั้งนี้เราใช้บริการของ Samurai Pocket Wifi ครับผม
DAY 1 – ROAD TRIP BEGINS
Location: Minamibayashi-51-1 Zainiwasaka, Fukushima, 960-2262, Japan
หลังจากเคลียร์ทุกอย่างที่เรียบร้อย ซื้อซิม แลกเงิน และรับรถ จากจุดนี้ไปถึงสถานที่แรก ใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงในการเดินทาง ที่แรกที่เราจะไปขอเป็นแบบเบา ๆ ก่อน แต่เชื่อว่าน้อง ๆ หนู ๆ และสาว ๆ ต้องชอบแน่นอน
MICHINOKU KANKOF RUIRTS FARM
ลูกพีช/ลูกท้อ ค่าเข้าคนละ 800เยน เขาจะพาเราเข้าไปในสวนให้เวลา เก็บและปลอกกินเอง 30นาที ยืนกินตรงที่สวนนั้นเลย หวานอมเปรี้ยว กรอบ สดจากต้น
สวนผลไม้เพื่อการท่องเที่ยวมิจิโนขุ (Michinoku Tourist Fruit Land) ที่แรกนี่คือยู่ติด JR Fukushima Station เลยนะ คือเดินทางไปง่ายมาก ๆ เป็นที่เพาะปลูกผลไม้หลากชนิด รวมถึงของขึ้นชื่อประจำเมืองอย่างลูกพชด้วย นอกนั้นก็จะมีลูกท้อ เชอร์รี่ สาลี่ และแอปเปิ้ล ที่น่าสนใจคือเค้ารวมลูกพชเอาไว้ได้มากถึง 63 สายพันธุ์ ซึ่งแน่นอนว่าตั้งมี ” อาคัตสึกิ ” สายพันธุืขึ้นชื่อประจำฟุกุชิมะ ที่เราไม่พลาดที่จะลิ้มลองแน่นอน
ฟาร์มนี้เก็บกันได้แบบยาว ๆ ฮ้ะ ตั้งแต่ June – October เลย กิจกรรมก็จะเป็นเข้าไปเก็บผลไม้ 30 นาที จะมีคนพาไปนะ ค่าเสียหายคนละ 800 เยน คือก็ไปเด็ด ๆ เอาลูกที่อยากจะกิน แต่ก่อนเด็ดเค้าก็จะสอนวิธีการก่อน เด็ดปึ้บ ปอกปั๊บ ทานกันสด ๆ กลางสวนเลย พอมัน Fresh ทุกอย่างมันก็จะดี Texture ต่าง ๆ ของตัวผลไม้ออกมาแบบ 100% ไม่มีกั๊ก ทั้งกลิ่นหอม สัมผัส และบรรยากาศ มันไปด้วยกันอย่างลงตัว
และมากไปกว่านั้น ที่นี่ไม่ใช่สารเคมีเลยนะ จะใช้ปุ๋ยจากการนำปลาหรือสาหร่ายมาตากแห้ง แล้วทำเป็นผงก่อนที่จะเอามาเทและพรวนใส่หน้าดิน และยังมีเทคนิคการปลูกบนพื้นลาดเอียงเพื่อป้องกันไม่ให้รากเน่าในช่วงที่ฝนตกหนักอีกด้วย ด้วยเรื่องราวมากมายกว่าจะได้มาผลไม้ลูกหนึ่ง ทำให้เราสนใจที่นี่ และอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ แวะเข้ามาชมสวนแห่งนี้ด้วย
ซึ่งหน้าฟาร์มเองก็ทำรานเล็ก ๆ ขายผลไม้หลากชนิดในสวนกันสด ๆ หน้าร้านด้วย ทั้งปลีกทั้งส่ง ถือเป็น item ทานเบา ๆ ระหว่างเดินทางได้ดีเลย หรือหากวกวนกลับมา ก็ซื้อเป็นของฝากได้อย่างไม่หน้าเกลียด เพราะ Process ของที่นี่ ไม่ธรรมดาจริง ๆ
เอาล่ะ … ขับต่อกันมาอีกหน่อย ขึ้นมาทางซ้ายของแผนที่กันบ้างไม่กี่นาทีก็จะเจอป้าย ๆ หนึ่ง ที่ทำให้ต้องหยุดชะงักกันไปเลย เป็นห้ายที่แนะนำต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่กลางทุ่งหญ้าและดอกไม้ ลักษณะคล้ายแมวเหมียงอย่างไงอย่างนั้น
ซึ่งในตัวป้ายเองเนี่ย ก็มีภาพตัวอย่างของต้นไม้ชนิดนี้ในทุกฤดูมาอวดให้ดูกันด้วย จะไม่แวะก็กะไร ทางผ่านแท้ ๆ งั้นเรามาทำความรู้จักกับสถานที่ที่สองของทริปนี้กันเลยดีกว่า จะได้รีบเดินทางเข้าเมืองกันต่อ
TOTORONOMORI
Location: 587 Sumomoyama, Yonezawa, Yamagata 992-1461, Japan
ต้นไม้ขนาดใหญ่รูปตัวการ์ตูนโตโตโร่ตั้งเด่อยู่ทุ่งดอกไม้ แต่ละฤดูกาลต้นโตโตโร่จะเปลี่ยนเป็นแบบต่าง ๆ เขียวทั้งต้น หรือขาวเพราะถูกปกคลุมด้วยหิมะ หรือหลากสีจากฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นอีกจุดที่ถ้าไม่จอดคงรู้สึกเสียดายแน่นอน
ผมว่า Location นี้ถ่ายรูปสวยเลยล่ะ เตรียม Prop มาดี ๆ นี่ใช่เลย แต่ก็นะ ไม่ใช่จุดที่จะต้องแวะยาวนานอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าไม่แนะนำก็คงไม่ได้ เพราะต้นไม้เค้าน่ารักจริง จาก Totoronomori ขับรถเข้าที่พัก Sakaeya hotel ที่พักในคืนแรกของเราในเมือง Tendo ใช้เวลาราว ๆ 1.40 ชั่วโมง
เชื่อว่าหลายคนคงเป็นเหมือนกัน ทุกครั้งที่รู้ว่าระหว่างวันจะจบลง ในขณะที่เราอยู่ในรถ เราจะพยายามมองหา ว่าพระอาทิตย์จะตกลงตรงไหน แล้วมาลุ้นว่าวันนั้น เราจะเห็นพระอาทิตย์เต็มวงหรือเปล่า หรือเมื่อมันตกไปแล้วฟ้าจะระเบิดไหม บางครั้งภาพที่เราได้มา มันก็ไม่ได้อย่างที่เราหวังไว้ ก็นั่นแหละ ถ้าทุกคนได้เจอสิ่งที่อยากเจอง่ายไป โลกนี่ก็คงไม่สมดุล ทุกคนคงได้ภาพสวย ๆ กลับบ้านกันหมด จนไม่มีใครที่ถูกเรียกว่า ” โชคดี ”
TENDO CITY
Location: 2丁目-3-16 鎌田 Tendō, Yamagata 994-0024, Japan
เทนโดะนี่คือเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียง 60,000 กว่าคน ในจังหวัดยามากาตะครับ เป็นเมืองที่น่ารักมาก ๆ รายได้ที่นี่ของชุมชนส่วนใหญ่จะได้จากการท่องเที่ยวตามฤดูการ การเกษตร ผลิตภัณฑ์จากไม้ และที่พลาดไม่ได้คือมีาาชื่อเสียงในการผลิตตัวละครหมากรุกที่ใช้ไม้ของญี่ปุ่นอีกด้วย
คืนนี้เรามาอาศัยกันที่ Sakaeya Hotel เป็นโรงแรมที่ดูดีทีเดียวเลยล่ะ รวมอาหาร มีออนเซนภายในโรงแรม นอนแบบเรียวกัง และโรงแรมอยู่ใจกลางเมืองเลย หลายคนสงสัยใช่ไหมว่า “เรียงกัง” คือยังไง เดี๋ยวจะอธิบายสั้น ๆ แบบจับใจความได้ง่าย ๆ มันก็จะเป็นแนวที่พักขนาดเล็ก หรือเรียกโรงเตี๋ยมได้เลยล่ะ จุดเด่นคือห้องพักจะปูเสื่อนอน ไม่ใช่เตียง เสื่อจะเรียกว่า “ตาตามิ” และมีอ่างอาบน้ำรวม ซึ่งในตัวบ้าน ก็จะมียูกาตะให้สวมด้วย
ถือว่าดีเลยทีเดียว เดินทางมาเหนื่อย ๆ ขับรถมาก็แสนนาน การได้เก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปแช่ออนเซ้นพักร่าง ถือว่าเป็นการ Re-Boost ขั้นสุดเลยก็ว่าได้ ไปกันสองคนตอนแรกก็อาจจะอาย ๆ แต่ขอเหอะ อย่าให้ได้ลงไปแช่นะ จะอยู่ยาว ๆ กันเลยแหละ ซึ่งก็อย่าลืมว่าการแช่ออนเซ็นมันมีเวลาของมัน ดูเวลาดี ๆ ด้วย เพราะการที่แช่นานไป จะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมาเกินความจำเป็น และอาจทำให้เพลียถึงขั้นหมดสติได้
จบจากตรงนั้นก็มีมื้อค่ำจากที่พักเลยครับ เป็นการจัดเตรียมอาหารญี่ปุ่นที่น่าทานมาก ๆ สำหรับมื้อแรก และนี่คือจุดน่าสนใจของที่พักแบบเรียวกังอีกอย่างที่ทุกครั้งที่เที่ยวญี่ปุ่น จะต้องมาพักที่พักสไตล์นี้ ส่วนเรื่องรสชาติ ไม่รู้ว่าเราเองลิ้นจระเข้รึเปล่า แต่ถ้าเป็นอะไรที่ขึ้นชื่อว่าจี่ปุ่งงง… อร่อยหมดดดด!!!
IZAGAYA
Location: 2丁目-3-16 鎌田 Tendō, Yamagata 994-0024, Japan
เดินเล่นภายในเมือง มีหลายร้าน อิชากะยะ ร้านอาหาร คาราโอเกะ ห่างจากโรงแรมประมาณ 500 เมตร ซึ่งหลัง ๆ มาเพื่อน ๆ จะได้ยินคำว่า Izagaya และ Omagase กันเยอะมาก ซึ่งก็จะแตกต่างกันนะ แต่ขอธิบายคำว่า ” อิซากายะ ” คร่าว ๆ ให้ได้เข้าใจกันก่อน
อิซากายะ (Izakaya) หมายถึง ร้านเหล้าแบบญี่ปุ่นที่มาพร้อมกับอาหารง่าย ๆ แบบกินขำ ๆ เน้นนั่งดื่มและกินกับแกล้มเบา ๆ เช่น ไก่ทอด หม้อไฟ ไปจนถึงซูชิและซาชิมิ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านเก่า ๆ แก่ ๆ ซ่อนตัวอยู่ตามซอกตามซอย หรือริมถนนเลยก็มี แต่หลัง ๆ มา เริ่มได้รับความนิยมจากพนักงานบริษัท รวมไปถึงสาว ๆ หนุ่ม ๆ นักศึกษา จนเกิดการปฏิวัติ อิซากายะ ให้กลายเป็นร้านสวย ๆ ที่ตกแต่งแบบโมเดิร์นและทันสมัยขึ้นไปอีก แถวทองหล่อเพียบเลย ถ้ายังไม่ได้มาญี่ปุ่น ลองไปหากินดู
คืนแรกบอกเลยว่า ถ้าไม่รีบบังคับให้ตัวเองกลับไปพัก่อนนี่ตายแน่ ๆ ครับ บรรยากาศมันพาไปจริง ๆ เอาเข้าจริง ๆ มาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ต้องเก่งภาษาอะไรมากนะ พูดภาษาไทยกับเค้าไปเลยเหอะ เค้าก็ไม่เก่งอังกฤษเหมือนกัน นอกจากที่นี่จะใช้ภาษามือจนเมื่อยแล้ว ก็ยังมีภาษากาย และภาษาใจให้ได้ใช้กับสาวรินเบียร์หน้าบาร์อีกด้วย นอนละ ไม่ได้ชอบเค้าจริง ๆ นะ ฮ่า ๆๆๆๆ
DAY 2 – CHILLING DAY
เอาล่ะ ตื่นแต่เช้า มองวิวจากห้องพักทำใจไปพราง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมกับอีกหลายร้อยกิโลเมตรสำหรับวันนี้ ลงไปทานข้าวเช้า เช็คเอ้าท์ แล้วเดี๋ยวไปที่แรกของวันที่สองกันต่อเลย
SAGAE CHERRY LAND
Location: 〒990-0523 Yamagata, Sagae, Yakuwa, 川原919-8
ราว ๆ 30 นาทีเราก็มาถึงละครับ ตรงนี้จะเป็น “Cherry land Sagae” ในเมือง ซากาเอะ นอกจากจะเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้างานหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงของจังหวัดยามากาตะแล้ว ยังมีร้านอาหารอร่อย ๆ ที่แนะนำของจังหวัดให้เราได้เลือกทานกันได้อย่างเต็มที่อีกด้วยพร้อมกับการบริการที่ปลอดภาษีให้กับชาวต่างชาติที่ซื้อของฝากจากที่นี่ด้วยนะ
ด้านข้างของที่นี่จะติดกับ “Cherries Hall” ซึ่งเป็นที่ที่สามารถเขาไปเก็บเชอร์รี่ทานกันสด ๆ ในช่วงเดือน มิถุนา – กรกฎาคม อีกด้วย
แต่ต้องขอโทษที ดูเข็มจากหน้าปัดนาฬิกาแล้ว ได้เข้ามาชมภายในพอสังเขป ก็กลัวจะไม่ทันสถานที่ต่อไปแล้ว เอาเป็นว่า ถ้ามีเวลานะ นอกจากเข้ามาช๊อปแล้ว ก็ไปเก็บเชอร์รี่กินกันสด ๆ ด้วยล่ะ
และสถานที่ต่อไปที่ต้องทำเวลากันหน่อย เพราะอาจต้องมีการเดินขึ้นเขากันบ้างครับ ที่ที่จะเบาห่างจากจุดนี้ราว ๆ ชั่วโมงครึ่ง และว่ากันว่า เป็นศาลฯ ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
HAGUROSAN SHRINE
Location: Haguroyama Haguromachi Touge, Tsuruoka, Yamagata 997-0211, Japan
Hagurosan เป็นชื่อภูเขาลูกหนึ่งมีวัด 2 วัด ซึ่งตัว Hagurosan Shrine จะเสียค่าเข้า 400 เยนต่อรถ 1 คัน ซึ่งหากต้องการเที่ยวแบบครบรสก็สามารถเทรคกิ้งมาวัด Five-storey Pagoda ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ขึ้นมาบนเขาได้ เป็นวัดเก่า มีความสูง 5 ชั้น (สมบัติแห่งชาติ) มีต้นไม้อายุ 1000 ปี เรียงรายอยู่ตามทาง
แต่ถ้าอ่อนแอก็สามารถขับรถมาเข้ามาได้อีกทาง และเดินต่อประมาณ 15 นาที จะพบกับเจดีย์ 5 ชั้นกลางป่าสนซีดาร์ได้เหมือนกัน นับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ ซึ่งสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 937 นอกจากนี้ยังมีโรงน้ำชาให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางไกลมาอย่างเหนื่อยล้าด้วยน้ำชา น้ำเปล่า ขนม ของที่ระลึก และใบรับรองการปีนเขาอีกด้วย
แม้ว่าการเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาจะสามารถนั่งรถบัสหรือขับรถยนต์ขึ้นไปได้อย่างสะดวก แต่วิธีการดั้งเดิมของการขึ้นมาที่นี่นั้น คือการเดินผ่านบันไดหิน 2,446 ขั้นท่ามกลางป่าไม้ซีดาร์ ด้านข้างบันไดประกอบด้วยรูปสลักหิน 33 รูป และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเล็กน้อย ได้แก่บริเวณใกล้จุดเริ่มต้นเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อิเดฮะ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาพื้นบ้านที่เคารพบูชาภูเขา (Shugendo) วิถีปฏิบัติ และภูเขาเดวะซังซัน
และก่อนที่จะถึงยอดเขา ยังมีอาคารอีกแห่งหนึ่งเรียกว่า Saikan เชื่อมต่อกับศาลเจ้าฮากูโระซัง ให้บริการที่พักแบบห้องเสื่อทาทามิที่เรียบง่าย พร้อมอาหารเย็นและอาหารเช้าเป็นแบบมังสวิรัต และในช่วงเช้าจะมีโอกาสชมพิธีของศาลเจ้าอีกด้วย (ต้องจองที่พักล่วงหน้า) เอาล่ะ จาก Hagurosan Shrine ไป Mogami River Basyo Line สถานที่ต่อไป เราจะใช้เวลาราว ๆ 40 นาที
ที่นี่เปิดตลอดปี แต่จะแบ่งเป็นรอบ ๆ เมษายน – พฤศจิกายน เวลา 9:00-16:30 น. เท่านั้น ส่วน ธันวาคม-มีนาคม จะเปิดช่วง 9:30-16:00 น. และปิดทำการทุกวันอังคาร (ยกเว้นในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม) อ่อ… ปีใหม่ก็หยุดนะ อย่าทะลึ่งมาเคาท์ดาวน์ที่นี่ล่ะ
ความเชื่อว่าเทพเจ้าฮากูโระซังประทับอยู่ที่นี่ นับว่าเป็นเทพเจ้าหลักที่สำคัญที่สุด ในอาคารหลักของศาลเจ้า Sanjin Gosaiden ซึ่งสร้างด้วยหลังคามุงแบบหนา 2 เมตร ติดกับศาลเจ้าเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เดวะซังซัน ที่จัดแสดงข้อมูลประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศาลเจ้า พร้อมงานศิลปะและสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจอีกมากมาย
วัดและศาลเจ้าแตกต่างกันอย่างไร
อันนี้อยากเสริมความรู้ให้เพื่อน ๆ หน่อย เผื่อหลายคนมีคำถาม เพราะดูท่าทีแล้วรูปร่างมันคล้ายกันไปหมด รวมไปถึงทำไมต้องไหว้แบบนั้น หรือต้องล้างมือบ้วนปากแบบนี้ เด่วจะสรุปเป็นข้อ ๆ ให้ศึกษากันนะ
- วัดจะลงท้ายด้วยคำว่า ‘ji’ แต่ถ้าเป็นศาลเจ้าจะลงท้ายด้วย ‘jinja’ หรือ ‘jingu’
- ทางเข้าหน้าศาลเจ้ามักจะมีบ่อน้ำให้ล้างมือหรือบ้วนปากก่อนเข้าไปภายในศาลเจ้าเพื่อชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์
- วัดนั้นจะมีกระถางธูปขนาดใหญ่วางอยู่แทน ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าควันจากธูปจะช่วบปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปได้
- วัดมักจะมี พระพุทธรูป สุสาน เจดีย์และระฆังอยู่เป็นเอกลักษณ์
- ศาลเจ้านั้นจะมีเสาโทริอิที่คล้ายกับประตูอยู่บริเวณปากทางเข้าเป็นสัญลักษณ์
- โทริอิคือซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น ตั้งไว้เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ว่า อาณาเขตเบื้องหลังเสาโทริอินี้เป็นอาณาเขตของเทพเจ้า ซึ่งในแผนที่ของญี่ปุ่น จะใช้สัญลักษณ์โทริอิ เป็นเครื่องหมายบอกตำแหน่งศาลเจ้าต่าง ๆ
- สิ่งศักดิ์สัทธิ์ภายในวัดญี่ปุ่นมักจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ก็เจ้าแม่กวนอิม
- สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้านั้นคือเทพเจ้าต่าง ๆ ที่จะแตกต่างกันไปตามแต่ละศาลเจ้า
- วัดในประเทศญี่ปุ่นเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธ
- ศาลเจ้าเป็นของศาสนาชินโตซึ่งเป็นลัทธิดั้งเดิมตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่เชื่อในเทพเจ้าเป็นหลัก
- วัดจะมีผู้เผยแพร่ศาสนาอย่างพระสงฆ์หรือแม่ชีอาศัยอยู่
- ศาลเจ้าจะนักบวชหรือมิโกะเป็นผู้ทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรือสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า
แล้วการปฏิบัติล่ะ ทำอย่างไรบ้าง?
ก่อนอื่นเลยเมื่อเข้าวัดและศาลเจ้า เราจะทำความเคารพด้วยการหยุดที่บริเวณที่หน้าประตูทางเข้าเพื่อโค้งทำความเคารพก่อนเดินเข้าไป ยกเว้นศาลเจ้า พอเคารพเสร็จ ให้เดินออกทางด้านข้างของประตูหรือซุ้มโทริอิ เพราะตรงกลางถือว่าเป็นทางของเทพเจ้า
การชำระล้างร่างกาย
- เมื่อเจอบ่อน้ำให้ใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมาแล้วล้างมือทั้งสองข้าง
- ใช้มือรองน้ำที่เหลือจากกระบวยเพื่อล้างปาก (ห้ามใช้ปากสัมผัสกระบวย)
- ถือกระบวยตั้งขึ้นเพื่อให้น้ำที่ยังเหลืออยู่ไหลลงมาเพื่อล้างด้ามจับ เป็นอันเสร็จขั้นตอน
จุดธูปและเทียนไหว้พระ
- จุดธูปและเทียนไหว้พระก่อนปักลงกระถางธูป
- โบกควันจากกระถางธูปเข้าหาตัวเอง เพื่อเป็นการเพิ่มโชคภาพทั้งทางด้านการงาน การเงินและสุขภาพ โดยปัดเข้าที่หัวเพื่อขอให้ฉลาดหรือเก่ง ปัดเข้าบริเวณที่เจ็บป่วยเพื่อให้อาการดีขึ้น โบกเข้ากระเป๋าเพื่อเพิ่มโชคเรื่องเงินทอง
การขอพร
- หยุดยืนนิ่งแล้วโค้งคำนับ 1 ครั้ง ด้านหน้าจะมีกล่องไม้ขนาดใหญ่เรียกว่า Saisen
- จากนั้นโยนเหรียญ 5 หรือ 100 เยนลงกล่องไม้บริจาค
- และสั่นกระดิ่ง ซึ่งการสั่งกระดิ่ง อันนี้ผมไม่รู้นะว่าทำไมต้องสั่น อาจจะเป็นการเรียกเทพเจ้า
- ถ้าเป็นวัดก็พนมมืออธิษฐานขอพรภายในใจอย่างนิ่งสงบ เป็นอันจบ
- แต่ถ้าเป็นศาลเจ้าจะต้องโค้ง 90 องศา คำนับ 2 ครั้ง
- ปรบมือเสียงดังอีก 2 ครั้งก่อนขอพร
- พอขอถรเสร็จให้โค้งอีกครั้งเป็นอันจบ
ก็นอกจากจะพามาดูวันและศาลเจ้าแล้ว ก็ได้เรียนรู้วิธีการต่าง ๆ เกี่ยวกับวัดและศาลเจ้าไปในทีเดียวกันเลย หวังว่าเพื่อน ๆ ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งต่อไป จะทำถูกต้องตามหลักของคนที่นี่%8