ชีวิต Slow life หมู่บ้านบางพลับ ด้วยเงิน 300 บาท
07.30 – 09.30 : เดินทางสู่ “บ้านบางพลับ”
09.30 – 10.00 : ฟังบรรยายประวัติ ความเป็นมาของชุมชน
10.00 – 12.00 : สนุกกับการปั่นจักรยานเรียนรู้และลงมือทำ “น้ำตาลมะพร้าว” และ “ผลไม้กลับชาติ”
12.00 – 13.00 : รับประทานอาหารกลางวันที่ทางหมู่บ้านเตรียมไว้ให้
13.00 – 15.00 : สนุกกับการปั่นจักรยานเรียนรู้ลงมือทำ “ถ่านผลไม้” และ “สวนส้มปลอดสารพิษ”
15.30 – 16.00 : สรุปกิจกรรม และเดินทางกลับบ้าน
:: เป็นไงบ้างครับ ฟังดูกิจกรรมแล้วน่าสนใจมั้ย สำหรับผม เป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ามากๆ สำหรับ 1 วันในวันนั้น เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้วิถีชาวบ้านแล้ว เรายังได้ลองทำในสิ่งที่ชาวบ้านเค้าทำกันด้วย อาจจะไม่ได้นอนค้างคืน แต่ก็เข้าถึงได้พอสมควร และมากไปกว่านั้น ใกล้กรุงเทพนิดเดียว
:: จากนั้น ก็ใช้ช้อนตักน้ำตาลมะพร้าว มาหยอดใส่แม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ ตามที่เราต้องการ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เราก็จะได้น้ำตาลมะพร้าวที่ดูน่ากิจ แถมรสชาติเรียกได้ว่าคูลสุดๆ ไม่มีอะไรเจือปนทั้งนั้น มีแต่กลิ่นของธรรมชาติ กับรสชาติของธรรมชาติเท่านั้น
:: กลิ่นควันรถ กลิ่นอะไรเสียๆ ที่เคยดม ผมนิลืมไปเลย เพราะที่นี่ธรรมชาติโคตรๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ยึดอาชีพเกษตรกรเป็นหลักครับ แล้วมันสามารถสร้างรายได้ให้คนที่นี่จริงๆ ถ้าชุมชนเหล่านั้น แข็งแกร่งและสามัคคีกัน ซึ่งหมู่บ้านบางพลี ก็พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้ว ว่าแม่มทำได้จริง
:: ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว บนโต๊ะมีอาหารที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้เราทานกันอย่างเยอะแยะเต็มไปหมด ที่นี่อยู่ใกล้แม่กลอง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือปลาทู และมันก็มาจริงๆ อร่อยสมชื่อ เสียเงิน 300 บาท ได้มากินแค่มื้อนี้ ผมคิดเล่นๆ ยังไงก็คุ้ม ๕๕ เอาหละ เติมพลัง ก่อนที่จะถึงกิจกรรมในช่วงบ่ายกัน
:: คือไม่ใช่แค่ผลไม้นะ ผัก พืช หรือสมุนไพร ก็ถูกมาชุบชีวิต ทำให้มีรสชาติหวานขึ้น ด้วยกระบวนการที่พิถีพิถันมากๆ ผมฟังแกเล่าคร่าวๆ แล้วก็แบบ ป้าสุดยอดมากครับ เพราะกว่าจะได้ ผลไม้ชุบชีวิตมาแต่ละอย่าง จะต้องใช้เวลาราวๆ 1 อาทิตย์ครับ
:: เผื่อใครสนใจ ผมจะเล่ากระบวนการมาตรฐานคร่าวๆ ของการทำผลไม้คืนชีพให้ฟัง มันจะเป็นประมาณนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกปลอกเปลือกออก แล้วเอาไปแช่กับน้ำปูนขาว ถึงจุดนั้นซักพัก ก็เอาไปต้นจนสุก แล้วรอให้มันเย็นลง จากนั้นก็เอามาแช่กับน้ำเชื่อมในอัตรา ผลไม้ 1 kg/น้ำเชื่อม 2 kg ครับ ก็แช่มันไปทั้งคืน อย่างมะละกอต้องทำแบบนี้ถึง 7 ครั้งครับ ถึงจะได้ ผลไม้ที่มีรสชาติอมหวานมันอร่อยขนาดนี้ เป็นไงหล่ะ จะบอกว่าอร่อยมั๊ก > <
2. ขี้เถ้า เอาไปใช้เป็นน้ำล้างผลไม้โดยการปล่อยให้ตกตะกอนแล้วเอาน้ำข้างบนมาล่างผักผลไม้ แกบอกว่า เป็นเบสดีมาก ช่วยในการชำระล้างสารเคมี และก็เอาไปทำไข่เค็มได้ด้วยอีกนะ
3. น้ำมันผลไม้ น้ำมันผลไม้เกิดจาก ไอน้ำที่มันระเหยออกไปด้านนอก แล้วพอมันเจอกับอากาศข้างนอก เกิดการกลั่นตัวแล้วหยดลงมาเป็นน้ำมัน เราก็เอาภาชนะไปรองไว้ ซึ่งเจ้าตัวนี้ สามารถขายได้ลิตรละ 100 บาทเฉยๆ เลย เห็นมะ สร้างมูลค่าเพิ่มได้เฉย
4. บริเวณเตา พอถึงจุดหนึ่งจะมีความร้อนมาก แกก็ใช้จังหวะนั้นแหละ เอากระทะไปวางไว้ คั่วผัก คั่วพริก ทำไข่เจียว ลดการใช้พลังงานธรรมชาติได้เฉยเลย
5 สุดท้าย ถ่านผลไม้ ที่ขายได้ในราคาเริ่มต้นที่ ลุกละ 30 บาท โอ้วมายกอดดดดดดดดดด ส่วนใหญ่เค้าซื้อไปดุดกลิ่นอับในรถ หรือตู้เสื้อผ้า
:: อันนี้เป็นตัวอย่างจำลองที่แกทำไว้ใช้ประการสอน วิธีทำค่อนข้างง่ายมาก ก็ทำเตาขึ้นมาอันหนึ่ง เอาฟินวางรอบๆ ให้เกิดความร้อน เคล็ดลับสำคัญมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่เอาปี๊บหรือภาชนะมาใส่ผลไม้ก่อน แล้วค่อยเอาไปอบ ซึ่งมีมีช่องว่างเกิดขึ้นไม่ให้ไฟกับผลไม้สัมผัสกันโดยตรง แล้วบริเวณช่องว่างนี่เอง ที่จะทำให้ผลไม้ถูกดูดน้ำออกจากตัวของมันจนหมด แล้วเชื่อมั้ย เงาะแม่ม ยังทำได้เลย
:: แกบอกว่า ช่วงวาเลนไทน์ ขายดีมาก คนเอาดอกกุหลาบมาให้ทำ และมันก็ทำได้จริงๆ ครับ เออ พูดถึง คนคงสงสัยว่าตอนสัมผัสมันจะเป็นยังไง อารมณ์ประมาณนี้เลย เคยจับถ่านปกติมั้ย มันจะเบาๆ อะ และดูเหมือนมันสามารถแตกหักง่าย ซึ่งถ่านผลไม้ก็เหมือนกัน แม่มทำได้ไงวะ เก่งจริงๆ และนี่ก็เป็นภาพตัวอย่าง ถ่านผลไม้ที่แกทำไว้ให้พวกเราได้ดูกันครับ เชดแหม่ ทะเรียน ขนุน ลำยงลำไย แกใส่หมด ๕๕๕
:: แต่หลายคนยังไง รู้แล้วไงต่อ ก็พอเรารู้ว่า ว่าวัฏจักรมันจะเป็นแบบนี้ เราก็สามารถแกล้งให้มันออกลูกได้ตอนไหนก็ได้ และคนฉลาดอย่างแก ก็เลยวางแผนให้มันออกทุกฤดูกาลไปเลย ทั้งสงกรานต์ ปีใหม่ เข้าพรรษา โหหหหหห รับไปดิทรัพย์อะ ใครว่าเกษตรกรจน ผมเถียงขาดใจ ๕๕๕ จริงๆ มันมีเรื่องราวเยอะแยะกว่านี้อีกครับ แต่ผมคงเอามาเล่าไม่หมดหรอก เพื่อนๆ ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเอง