Site icon PALAPILII-THAILAND

Backpack หลวงพระบาง – วังเวียง – เวียงจันทร์ ด้วยเงิน 6,000 บาท

PALAPILII Thailand
Trip 19 : หลวงพระบาง – วังเวียง – เวียงจันนทร์

https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

 

เนื่องจากช่วงปีใหม่ บริษัทผมหยุด 10 วัน…
เลยคิดว่าจะไปลาวซัก 5 – 7 วันตามกำหนดการของผมคร่าวๆ ก็จะได้ประมาณนี้

Day 1 : 27 ธันวาคม 2556 (นอนในรถบัสหรือตามสถานีขนส่ง)
20.00 น. : เดินทางจาก กทม. – นครหลวงเวียงจันทร์

Day 2 : 28 ธันวาคม 2556 (นอนในรถบัสหรือตามสถานีขนส่ง)
08.00 น. : ทำเรื่องผ่าน ตม.ไทย – ลาว
09.00 น. : ถึงเวียงจันทร์ ตระเวรเที่ยวช่วงเช้า หลักๆ จะไป ประตูชัย พระธาตุหลวง วัดสีสะเกดและหอพระแก้ว
13.00 น. : เดินทางจากเวียงจันทร์ไปหลวงพระบาง

Day 3 : 29 ธันวาคม 2556 (นอน Guest House ครั้งที่ 1)
06.00 น. ตักบาตรข้าวเหนียว
07.00 น. เดินทางไปตาดแซ และตาดกวางสี
17.30 น. กลับเข้ามาในเมืองขึ้นวัดพระบาท ชมพระอาทิตย์ตก
18.00 น. เดินตลาดมืด

Day 4 : 30 ธันวาคม 2556 (นอนในรถบัสหรือตามสถานีขนส่ง)
06.00 น. ทัวร์เมืองหลวงพระบาง หลักๆ จะเป็น วัดเชียงทอง พระธาตุจอมพูสี ถ้ำติ่ง วัดวิชุน
16.00 น. เดินทางจากหลวงพระบางไปวังเวียง

Day 5 : 31 ธันวาคม 2556 (นอน Guest House ครั้งที่ 2)
เมืองนี้ขึ้นชื่อเลยว่าเป็น “กุ้ยหลินเมืองลาว” จะไปถ้ำจัง ตกบ่ายก็จะไปล่องแม่น้ำซอง Tubing หรือจะพายคายัคแล้วแต่ใจเลย ตอนเย็นก็ไป Bar ริมน้ำ เตรียม Count down ปี 2014 กัน

Day 6 : 1 มกราคม 2557
อาจจะไม่ได้นอน รอทำบุญเป็นฤกษ์งามยามเช้า ต้อนรับปีใหม่ จากนั้นเดินทางกลับประเทศไทย เรื่องเวลากลับไปคุยกันอีกทีครับ

จากนั้นก็เลยทำแบบมีหลัการนิดหนึ่ง ๕๕๕
จะทำอะไรซักอย่างเราต้องทำอย่างมืออาชีพครับผมทำแผนการเดินทางของเราเองแบบพอสังเขป แบบพอเข้าใจง่ายและพกพาสะดวกหน้าตาก็จะออกมาประมาณนี้ครับ สามารถลอกเลียนไปใช้ได้ครับไม่หวงเลย ๕๕

เอาหล่ะครับ เดินทางกันเลย!!!ผมจะไม่พูดมากนะครับ จะบอกแต่เรื่องหลักๆ เลย และจะแจ้งราคารายจ่ายแต่ละอย่างไว้ให้ด้วยDay 1 : 27 ธันวาคม 2556

ซื้อตั๋วเดินทางจาก กทม. – หนองคาย (ราคา 648 บาท)

*** จริงๆ มีรถจาก กทม. – เวียงจันทร์ ครับ ราคา 900 บาท แต่เนื่องจากพวกเรา walk in จึงต้องนั่งรถต่อจาก กทม. เข้าหนองคายก่อน แถมเสียเงินค่าตั๋วแพงกว่าปกติด้วย เพราะเป็นรถเสริม ถ้าราคาปกติ VIP จะอยู่ราวๆ 400 – 500 บาท เท่านั้นครับ***


(ภาพจาก สถานนีขนส่งหมอชิต ถ่ายด้วย noteI)

เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล การนั่งรถโดยสารจาก กทม. ไปหนองคาย เลยกลายเป็นขึ้นเครื่องไปยุโรปโดยปริยายครับ
เพราะใช้เวลาถึง 15 ชั่วโมงเศษ T T

เรื่องนี้สำคัญมากครับ ถ้าใช้วิธีเดียวกันกับผม แต่สำหรับใครที่นั่งรถ กทม. – เวียงจันทร์ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

***  หลังจากที่เราลงที่ บขส.หนองคาย จะมีรถจาก หนองคาย ไปเวียงจันทร์ ทุกๆ 2 ชั่วโมงครับ
ไม่ต้องกลัวจะไม่รถไปต่อ เพราะที่นี่ไม่รับจองตั๋วครับ ต้องมาซื้อหน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น
ราคาตั๋วแค่ คนละ 55 บาท เท่านั้น ***

แต่ถ้าใครรีบหน่อยเหมือนผม ก็เหมาตุ๊กๆ ไปครับ อาจจะแพงหน่อย แต่ก็ซื้อเวลาเราได้พอสมควร
ค่าตุ๊กๆ ประมาณคนละ 30 – 80 บาทครับ แล้วแต่ว่าเราจะต่อได้แค่ไหน ผมต่อได้แค่ 60 บาท T T

** ให้จำไว้ว่า… ตั้งแต่เราลงจากรถที่หนองคาย เราก็เป็นเหยื่อของคนพวกนี้แล้วครับ ***

จากข้างบน…ที่นั่งรถตุ๊กๆ นี่คือ ไม่มีรถไปเวียงจันทร์นะครับ ต้องนั่งรถตุ๊กๆ ไปด่าน…
แต่สำหรับคนที่ มีรถไปเวียงจันทร์เลย ก็ไม่ต้องลำบากเหมือนพวกผมแต่จะต้องทำเรื่องราวผ่านแดนดังต่อไปนี้….
พอมาถึงสะพานผ่านแดน (สะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว) ต้องทำอะไรบ้าง???

1. ต้องเขียนใบผ่านแดน (ขาออกประเทศไทย) *** ต้องเก็บขั้วขาเข้าไว้ด้วยนะครับ อย่าทิ้งเด็ดขาดเด๋วงานงอก
2. ยื่นกับ ตม. พร้อม passport
3. ซื้อตั๋วรถข้ามฝากจากฝั่งไทย ไปฝั่งลาว ราคา 20 บาท

(ภาพถ่ายจากโทรศัพท์ : Passport กับใบผ่านแดน)

หลังจากผ่านไปฝั่งลาว ต่อๆๆ… (นึกภาพตามนะครับ)

4. เขียนใบผ่านแดน (ขาเข้าประเทศลาว)
5. ซื้อ Ticket เพื่อจ่ายค่าเหยียบแผ่นดิน (ราคา 10,000 กีบ หรือประมาณ 47 บาท)
6. ซื้อตั๋วรถเข้าเวียงจันทร์ ราคา 4,000 – 6,000 กีบครับ หรือประมาณ 25 บาท (จริงๆ 20 บาทนะ ๕๕ ลองคุยกับเค้าดู)

แค่นี้คุณก็จะไปถึงเวียงจันทร์ภายใน 30 นาที จากสะพานฝั่งลาวครับ ^^

แล้วสำหรับคนที่ไม่มี Passport จะทำอย่างไรอะหรอ…???

รอแป๊ป… เด๋วบอกแน่นอน แต่ขอไปกินข้าวก่อน หิวโคตรรรรรร….

ระหว่างนี้ก็เยี่ยมชมเพจเราไปพรางๆ ก่อนได้นะครับ  : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

สำหรับคนที่ไม่มี passport ก็ลำบากหน่อยนะครับเพราะอยู่ลาวได้เพียงแค่ 3 วัน 2 คืนเท่านั้น
และจะต้องทำเรื่องขอผ่านแดนที่ที่ว่าการอำเภออีกด้วย
(แต่มีบริการครับ จ้างทำเอกสาร ราคา 100 บาท)เอกสารขอผ่านแดนชั่วคราวก็จะมีดังนี้
1. บัตรประชาชน
2. รูปถ่าย 1 นิ้ว (เอาไปเผื่อทั้ง 1 นิ้วและ 2 นิ้วเลย เพื่อความชัวร์)
3. เอกสารที่จะต้องกรอกหลักๆ ก็จะมีดังนี้ครับ
แต่จะอาศัยอยู่ได้เพียงแค่ 3 วัน 2 คืนเท่านั้น
หากเลยจากนั้นจะเสียค่าปรับวันละ 50 บาทครับ ^^
เดินทางกันต่อครับ….หลังจากที่เดินทางมาถึง “เวียงจันทร์”
ก็ต้องตกใจเล็กน้อยครับ เมืองหลวงบ้านเค้า จะเหมือนตัวเมืองในอำเภอในต่างจังหวัดครับ
อาจจะเซาะกราวนิดหนึ่ง แต่เราไม่เคยไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นหมดลงจากรถไม่ทันไร จะมีสามล้อเค้ามารุมขอลายเซ็น ถูยยย!!!
ไม่ใช่นะครับ เค้าจะให้เราเหมารถเค้าต่างหาก 555มาดูแผนที่เมืองกันดีกว่า จะได้เข้าใจง่ายขึ้น เนอะๆๆๆๆ

เนื่องจากว่าตอนผมไปอะ มันเสียเวลากับการเดินทางในประเทศไทย เลยเหลือเวลาแค่ 2 – 3 ชัวโมงในการอยู่เวียงจันทร์
ตามแผนจะต้องไปประมาณ 4 ที่ แต่ ก็เลยถามสามล้อว่า…

จะไปจองรถไปหลวงพระบางก่อน แล้วก็ไป ประตูชัย พระธาตุหลวง หอพระแก้ว คิดราคาเท่าไหร่…?

สามล้อทำหน้างงอยู่นาน แล้วก็บอกว่า 1,000 บาท

อุต๊ะ!  สะดุ้งสิครับ
จากนั้นก็เดินหนี แล้วบอกว่าไม่ไปๆๆๆๆๆ แพงเกิน ลดราคาลงมาเรื่อยๆ จนถึง 500

คิดในใจ เงินนะเมิง ลดให้กุง่ายจัง

แต่ผมก็พอใจในราคานั้นครับ ก็เลยตอบตกลงไป เพราะว่าเค้าต้องวนไปส่งเราตั้ง 2 รอบ

**** สำหรับเพื่อนๆ ที่ไปลองต่อราคาให้เหลือ 200 – 300 บาท ดูนะครับ ผมว่าน่าจะทำได้ เพราะที่แต่ละที่ ใกล้กันมากๆ ไอ่เราไปแบบไม่รู้อะไร ก็เลยโอเคกับราคา 500 บาท ยังไงลองดูนะครับ ได้ไม่ได้ว่ากันอีกที****

จากนั้น ก็ไปจองตั๋วครับ…

รถเที่ยว เวียงจันทร์ – หลวงพระบาง ออกทุก 2 ชั่วโมงครับ ราคาปกติจะอยู่ที่ 130,000 กีบ
ถ้ารถนอนจะอยู่ที่ 150,000 กีบครับ แต่เนื่องจากรถนอนเต็ม เราเลยไป VIP.

จากนั้นก็ตระเวณเที่ยว…

ที่แรกคือ

พระธาตุหลวง!!!

เรื่องราวของพระธาตุหลวงไปหาเอาเองนะครับ ผมจะ guide แต่วิธีเดินทาง
กับแนะราคาที่ไม่โดนหลอกเท่านั้น 55555

ประตูชัย!!!

ส่วนหอพระแก้วเราไปไม่ทันครับ เนื่องจากว่า เรามีเวลาน้อย กลัวตกรถ
ต้องขอโทษที่ไม่ได้นำภาพมาให้เพื่อนๆ ได้ดูครับ แต่แค่ 2 ที่นี้
ก็คงเห็นความอลังค์ของเมืองเวียงจันทร์แล้วหล่ะนะ ^^ อิอิ

เพจผมเองนะเพื่อนๆ : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

บริเวณประตูชัย จะเปิดให้ขึ้นไปชั้นบนสุดได้ถึงเวลา 5 โมงเย็นครับแต่ต้องเสียค่าขึ้นด้วย 2,000 กีบ ถือว่าถูกมากๆ ครับ ก็ประมาณ 8 บาทไทยครับมุมนี้เป็นวิวฝั่งตะวันตกจากประตูชัยครับ

และมุมนี้คือฝั่งตะวันออกครับ ^^

อีกมุมหนึ่ง ของพระธาตุหลวงครับ ^^เพิ่มเติมนะครับ พระธาตุหลวงเก็บค่าเข้าชมคนละ 20 บาท ครับ

จากนั้นพวกเราก็ นั่งสามล้อไปที่ Bus station สายเหนือทันที่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ระหว่างที่ไป พวกเรานั่งเลาะริมโขงไปเรื่อยๆ จะเป็นสวนสาธารณะครับ มีผู้คนมาออกกำลังกาย
และจะมีตลาดเล็กๆ ให้เราซื้อของกินของใช้ บริเวณนั้น

ที่สำคัญที่สุด!!!

ชาเย็นที่เวียงจันทร์อร่อยมาก บริเวณริมน้ำโขงอะคับ
นี่เลย บริเวณนี้!!!

อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกครับ

ราคาตั๋วรถโดยสาร จากเวียงจันทร์ไปหลวงพระบางราคา 130,000 – 150,000 กีบครับ
ซึ่งตั๋วนี้คือราคาเดียวกับลงวังเวียงครับ เพราะมันเป็นถนนเส้นเดียวกัน
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะไปวังเวียงหรือหลวงพระบาง คุณก็จะต้องซื้อตั๋วราคาดังกล่าวครับ

การนั่งรถจากเวียงจันทร์ ไปวังเวียง ใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง
แต่การนั่งรถจากเวียงจันทร์ ไปหลวงพระบาง ใช้เวลา 10 – 13 ชั่วโมง แล้วแต่โอกาสครับ 555

และเรา ก็ต้องเดินทางต่อไปยังหลวงพระบางกันแล้ว….

Fanpage : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

ถึงสถานนีขนส่งสายเหนือเวียงจันทร์แล้วครับเรากำลังจะเดินทางไป หลวงพระบางกันแล้วหละว่าแล้วก็เตรียมตั๋วขึ้นมาครับ

นี่เลยๆๆ

นี่คือบรรยากาศหน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วครับ

มาถึงที่แล้ว มีตั๋วแล้ว ก็เก็บของขึ้นรถกันได้เบยยยยยยยย เย่เย่!!

เอ๊ะๆๆ แต่ๆๆๆ

ให้ตายเถอะครับ พนักงานกำลังยัดมอไซต์ honda wave ใส่ล่างห้องเก็บของของรถบัส
นิสงสัยมากเลยว่า ฟรีหรือเสียตัง แต่ยังไงก็แล้วแต่ แมร่งงง โคตรรรร อ่ะ Unseen in Laos จริงๆ ครับเพื่อนๆ ๕๕๕

จากนั้นก็เดินทางกันเลยครับ ปลายทางคือ “หลวงพระบาง”

บรรยากาศในรถ VIP ลาว ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดน๊าา จะบอกให้ หลับสบายมากกกเบยย อิอิ

หมดไปแล้วครับ 2 วันแรก เด๋วจะสรุปค่าใช้จ่าย 2 วันแรกให้ดูว่า หมดตังไปเท่าไหร่แล้ว

สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก- ค่ารถ กทม. หนองคาย 680 บาทฃ
– ค่ารถ หนองคายไปสะพานมิตรภาพ 60 บาท
– ค่ารถข้ามฝาก 20 บาท
– ค่าเหยียบแผ่นดิน 47 บาท
– ค่าเข้าตัวเมืองเวียง 25 บาท
– ค่ากินรวมๆ วันแรก 160 บาท
– ค่าตุ๊กๆ ทัวร์รอบเมือง 250 บาท
– ค่าชมประตูชัย 10 บาท
– ค่าเข้าชมพระธาตุหลวง 20 บาท
– ค่ารถ เวียงจันทร์ ไปหลวงพระบาง 530 บาทรวมค่าใช้จ่ายวันแรก ประมาณ  1,800 บาทครับ

สวัสดีตอนเช้าหลวงพระบางงงงงงงงงงงงงงงงง >_________<เรามาถึงตอนประมาณ 7 โมงเช้าครับ นั่งรถ 10 กว่าชั่วโมงกันเลยทีเดียว

จากนั้นเราก็เดินออกจากสถานีขนส่งครับ

*** ตั้งใจฟังนะครับ ถ้าอยากได้ที่พักคืนละ 200 บาท***

พอเราเดินออกจากประตูของสถานีขนส่ง ให้เดินตรงไปทางซ้ายมือครับ
ประมาณ 100 เมตร ก็จะเจอสามแยก จะมีเสาความสัมพันธ์ไทยกับลาวกลางแยกเลย
ถ้ามองเยื้องไปถางซ้าย จะเจอสนามกีฬาขนาดใหญ่ ถ้ามองไปทางขวาจะเจอร้าน ดาวฟ้า (ผับ ตื๊ด)บ

ให้เราเลี้ยวซ้ายนะครับ ตรงไปอีก 30 เมตร จะเจอหอพักราคาถูกแถบนั้นเต็มเลย

ผมได้ห้องพักราคา 280 บาทครับ
อาจจะเก่าหน่อย แต่มีแอร์ พัดลม ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น ให้ครบครับ

หลังจากนั้น เราก็โบกรถสามล้อครับ คนละ 20 บาทไปตลาดมืดเพื่อไปเช่ามอเตอร์ไซต์….

Fanpage : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

ผมจำชื่อร้านเช่ามอไซต์ไม่ได้ครับ
แต่จะบอกในแผนที่ให้นะ ตามนี้เลย

ค่าเช่ามอไซต์จะอยู่ที่ 100,000 จนถึง 200,000 กีบ คิดตาม CC เลยครับ
อย่างกรณีผม เอา 125 cc ก็ราคาตกอยู่ที่ 160,000 กีบครับ
ถือว่าแพงมาก เมื่อเทียบกับบ้านเรา

จากนั้นก็ไปตลาดมืดไปหาอะไรทานครับ

ส่วนตัวผม Sandwish คืออะไรที่ง่ายที่สุดแล้ว ราคาเท่าๆ กับก๋วยเตี๋ยวและส้มตำเลย ๕๕
รับรองว่าอิ่มครับ ถ้าใครเคยกิน Subway ก็เข้าทางเลยครับ แบบเดียวกัน แต่อาจจะถูกกว่าซะด้วยซ้ำ
แถมรสชาติ ปาดใจมากก

ราคาอยู่ที่ 10,000 – 20,000 กีบครับ แล้วแต่เราจะสั่งเลย ^^

ตามแพลน วันนี้เราต้องไป ตาดกวางสี
ช่วงบ่ายจะไปตาดแซ
มาลุยกันต่อเลยครับ ^^ตามแผนที่เลยนะครับ จากตัวเมืองไป ตาดกวางสีประมาณ 36 กิโลเมตรครับ

ระหว่างการเดินทาง เราจะได้เห็นทุ่งหญ้า ภูเขาที่สูงๆ ไม่เหมือนประเทศไทยครับ
ทุกๆ 5 km จะมีหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้าน ก็จะมีการละเล่นกันเต็มไปหมดเลย
รวมถึงมีเด็กมาขายของ และเด็กมายืนรอให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปครับ

ภาพเหล่านั้น อยากให้ไปเห็นเองครับ ต้องเข้าไปทำกิจกรรมกับเค้า ถึงจะรู้คุณค่าครับ
ผมได้น้องมีโอกาสได้ไปดูน้องๆ เล่นลูกข่าง ชาวบ้าน ซึ่งเป็นประเพณีกว่า 100 ปีของประเทศลาวเลยก็ว่าได้

นี่เป็นภาพบางส่วนที่เราแวะถ่ายรุปข้างทางครับ
ให้เอาลงหมดคงไม่ไหว ๕๕๕

เนื่องจากผมซ่าครับ การขับรถเลนขวาจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม
ผมชอบอะไรท้าทายอยู่แล้ว 36 km จึงใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว (ทางโค้งขึ้นเขาลงเขา)

พอไปถึง จะเห็นรถจอดเต็มไปหมดเลยครับ จะมีร้านอาหาร ร้านของฝากเต็มไปหมด

ต้องเสียค่าเข้า คนละ 20,000 กีบครับ หรือประมาณ 80 บาทไทยนั้นเอง
หลังจากที่เข้าไปในตาดกวางสี จะมีทางให้เดิน 2 ทางครับ คือทางไปน้ำตก
กับทางชมธรรมชาติ

แนะนำครับ….

ให้เพื่อนๆ เดินไปทางชมธรรมชาตินะครับ
จะได้เห็นหมีดำ กับหมีน้ำตาลด้วย

น่ารักมากๆๆ

หลังจากนั้ันเดินไปไม่ถึง 3 นาที
ทุกคนก็จะได้เจอภาพๆ นี้เหมือนผมครับ

เด๋วจะเอาภาพ “ตาดกวางสี” มาให้ชมกันครับ
รอซักครู่
เพจผมเอง แวะไปเยี่ยมกันได้ : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

ผมจะลงแค่รูปนะครับ ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น…

เราใช้เวลาอยู่ตาดกวางสีนานหน่อยครับ ราวๆ 2 – 3 ชั่วโมงเลย เพราะมันสวยมากจริงๆ

หลังจากนั้น เราก็มุ่งหน้าไปยังตาดแซ ในช่วงบ่ายครับ ^^

จำแผนที่กันได้มั้ยเอ่ยยยย
ถ้าใครไม่เข้าใจให้ขึ้นไปดูแผนที่ด้านบนนะครับ มันจะต่อกัน
หลังจากที่เราเยี่ยมชม “ตาดกวางสี” เสร็จเรียบร้อย
ทานข้าวบริเวณนั้นเลยจะดีมากครับ…เราก็เดินทางกลับเข้ามาในเมืองก่อน แล้วก็มุ่งหน้าไปยัง “ตาดแซ”
ตาดแซไม่ไกลจากตัวเมืองมากเท่าไหร่ครับ ประมาณ 15 กิโลเมตรคิดเล่นๆ เราขับรถไปกลับเฉพาะวันนี้ สองที่ปาไป ร้อยโลกันเลยทีเดียวนี่ครับ แผนที่

ขับไปจากตัวเมืองไม่ถึง 30 นาทีครับ
ก็จะเจอทางเลี้ยวซ้าย เข้าไปยังหมู่บ้านหนึ่ง
จะเขียนว่า “ตาดแซ” ป้ายใหญ่มากๆๆ

เลยปั๊ม ปตท.ลาวไปไม่ไกลมากครับ

พอเข้าไปที่หมู่บ้าน ก็จะมีชาวบ้านมาเก็บค่าต๋ง
ไม่ให้นำรถเข้าไปครับ จะเก็บค่าจอดรถ
คันละ 20 บาท จากนั้น จะให้เราเดินเข้าไปในหมู่บ้านครับ
ประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงท่าเรือครับ

จะต้องจ่ายอีกคนละ 10 บาท
เพิ่งนั่งเรือข้ามฟากไปยังตาดแซครับ

ระหว่างที่เดินทางบังเอิญเจอพี่ๆ คนไทยที่ไปกันสองคนเหมือนพวกเราครับ
ก็ได้คุยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ
สนุกดี…

แล้วเราก็จะได้เห็นภาพตาดแซกันแล้ว…

ว่าแต่คนอ่านหายไปไหนหมด T T
ไม่มีการตอบสนองใดๆ เลย…
เริ่มหมดแรงเขียนต่อแล้ววววววววว ฮือๆๆๆๆๆๆ

นี่เป็นท่าเรือก่อนข้ามไปตาดแซครับแล้วก็มาถึงตาดแซครับ

จะลงแค่รูปนะครับ ไม่สาธยายอะไรมากก

เออๆๆ แต่ขอนิดหนึ่ง จริงๆ ที่ตาดแซ มีกิจกรรมเยอะมากนะครับ เป็นพวก สลิงโรยตัวข้ามน้ำตก ขี่ช้าง และก็บลาๆๆ ครับ
ตอนเราไปมัน 4 โมงเย็นแล้ว นักท่องเที่ยวกลับกันหมด แต่ขอ Confirm ว่า น้ำใสจนเหลียวกันเลยทีเดียว ๕๕๕๕

มีให้แค่ 2 ภาพนะครับ เหนื่อยมาก ขี้เกียจถ่ายแล้ว

ขากลับแวะถ่ายปั๊ม ปตท ที่ลาวมาให้เพื่อนๆ ดูครับ

ราคาเท่าๆ บ้านเราเลย

พอกลับมาถึงที่พัก ก็สลบไปเลยครับ ขับรถทั้งวัน

แต่ไม่นานก็ฟื้นและไปตลาดมืดต่อครับ
สำหรับตลาดมืด ก็ไม่ไกลจากที่พักเรามากครับ ตามแผนที่เลย

ตลาดมืดที่หลวงพระบางตลาดมือดส่วนใหญ่จะขายของ handmade ครับ เป็นของซ้ำๆ กัน
บรรยากาศส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติมากกว่าแต่ที่ผมติดใจที่ตลาดมืดคือ ร้านๆ นี้ครับร้าน Buffet 10,000 กีบ

หลักการง่ายๆ ให้จานมา 1 ใบ คุณจะตัดเท่าไหร่ก็ได้ตามใจคุณเลย
แต่ตักได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ พอเราตักเสร็จ ก็จะส่งให้เค้าเอาไปผัดรวมกันครับ
คล้ายๆ ไปเข้าค่าย รด.เลยครับ แปลก แต่เด็ดดี

คิวจะยาวกว่าร้านอื่นๆ หน่อยครับ
เรียกได้ว่า เป็นสวรรค์ของ Backpacker เลย

*** สังเกตุง่ายๆ ครับ
พอเราเดินเข้าไปในตลาดมืด
ประมาณซอยที่ 2 – 4 ครับ ราวๆ นี้
จะอยู่ฝั่งซ้ายมือครับ สังเกตุไม่ยาก***

นอกจากตลาดมืด ผมก็แนะนำอีกอย่างครับ
นวดน้ำมันที่ตลาดมืดครับ จะมีอยู่ร้านสองร้าน
ราคาถูกกว่าที่ไทยมากครับ
นวดชั่วโมงละ 200 บาท (นวดน้ำมัน)
ผมจัดไปละและก็อีกอย่างที่ผมไปก็คือ ผับที่หลวงพระบางครับ ผับชื่อ “ดาวฟ้า”
ส่วนใหญ่เล่นเพลงไทยครับ เบียร์ในร้านขายขวดละ 40 บาทครับ
ปิดเที่ยงคืนเป๊ะ ๕๕๕หลังจากที่เที่ยวผับ วัยรุ่นบางส่วนจะกลับบ้าน และบางส่วน
จะนั่งต่อร้านปิ้งย่างครับ อยู่ข้างหน้าผับเลยครับ
ตรงข้ามถนนกัน ยังไงลองดูนะครับดาวฟ้า อยู่ตรงข้าม บขส.เลยครับ (บขส.ที่รถพาเรามาส่งนั้นแหละ)(ดูแผนที่ข้างบนได้)

มาหลวงพระบาง ต้องมาตักบาตรข้าวเหนียวครับ
บริเวณที่สามารถตักบาตรได้ จะอยู่ใกล้ๆ ตลาดมืดครับ
จริงๆ ก็สามารถตักได้ทุกที่ แต่แค่เราจะไม่มีของมาใส่บาตรพระเท่านั้นเอง
ถ้าไปแหล่งท่องเที่ยว จะมีชุดตักบาตรครับ

ราคาต่อชุด ชุดละ 100 บาท เท่านั้นครับ

และที่พลาดไม่ได้ ที่คนไทยเลื่องลือกัน ว่า…
มาหลวงพระบาง ต้องไปร้านนี้ครับ
“ประชานิยม”

ให้ตายเถอะ คนเยอะมากครับพี่น้อง
แต่รู้ป่าว ในความคิดผม ชงชาชงกาแฟได้ห่วยมาก
จืด ๆๆๆๆ ข้าวต้มก็กาก
ไม่อร่อยเลยครับ
แต่ยังไง ลองไปชิมเองนะครับ

นี่ครับ แผนที่!!!

หลังจากที่ เก็บกิจกรรม “ตักบาตรข้าวเหนียว” และ “ประชานิยมเสร็จ”
เรามาทัวร์รอบเมืองกันครับจะบอกว่า มีแต่รูปนะครับ ข้อมูลต่างๆ ไปหากันเอง เพราะในหลวงพระบางมีวัดเยอะมาก
แต่ที่จะแนะนำก็คือ ไปหลวงพระบาง ต้องลอง 2 อย่างนี้ครับ
1. ตำลาว
2. ปลาปิ้งยังไงลองดูนะครับ

ถ้าสังเกตุดีๆ นะครับ เมือหลวงพระบาง จะเป็นเมืองที่ยังดำรังตึกรามบ้านช่องสมัยเก่าๆ ไว้อยู่
ทุกอย่างจะดู classic มากๆ อยากให้ทุกคนไปสัมผัสกันเองครับ ผมคงจะลงรูปเพียงเท่านี้
เพราะถึงเวลาที่เราจะเดินทางไป “วังเวียง” กันต่อแล้ว…

เพิ่มเติมนะครับ
ค่าเข้าชมแต่ละวัด จะต้องเสียค่าเข้าชมด้วยครับ
ขั้นต่ำอยู่ที่ 10,000 กีบ – 20,000 กีบครับ
ก็เลือกเอาแล้วกันครับ ว่าอยากเสียตังวัดไหน
ไม่จำเป็นต้องเข้าไปชมทุกที่ก็ได้ครับ มันเปลืองตัง
ดูแค่ภายนอกก้พอ เนอะๆๆหลังจากที่ทัวร์มาทั้งวัน ก็กลับห้องเก็บของ เตรียมตัวเดินทางไปวังเวียงครับ
ราคาตั๋วรถนอนไปวังเวียง จะเท่ากับเวัยงจันทร์ครับ
เพราะเป็นสายเดียวกัน เก็บราคาเดียวกัน คุณจะลงตรงไหนก็ได้
ราคารถนอนอยู่ที่ 150,000 กีบครับ ก็ประมาณ 740 บาท ครับไม่ต้องห่วงเลยครับ ว่าการเดินทางจะลำบาก
เพราะรถนอนที่ลาว ดีกว่าไทยเยอะครับ
มาดูข้างในรถกัน!!!

ในรถจะมีน้ำ 1 ขวด ข้าว 1 กล่อง ขนม 1 ถุง และผ้าห่ม 1 ผืนครับ
เรียกได้ว่า หลับไปตื่นมาเที่ยวได้เลย ๕๕๕

แต่ที่ Unseen ไปกว่านั้นคือ
พนักงานจะปูพรหมแดงให้เรา ก่อนขึ้นรถครับ ๕๕๕๕
เรียกได้ว่า เราเป็นดาราฮอลิวูดกันเลยทีเดียว

เอาหล่ะครับ ระหว่างเดินทางไปวังเวียง
มาสรุปค่าใช้จ่าย 2 ที่อยู่หลวงพระบางกันดีกว่า

1. ค่าที่พัก 1 คืน คนะล 143 บาท
2. ค่าเช่ามอเตอร์ไซต์ 2 วัน คนละ 650 บาท
3. ค่าตักบาตรข้าวเหนียวคนละ 50 บาท
4. ค่าเข้าตาดกวางสี คนละ 80 บาท
5. ค่าเข้าตาดแซ คนละ 60 บาท
6. ค่าเรือเข้าตาดแซ คนละ 10 บาท
7. ค่าน้ำมัน คนละ 40 บาท
8. ค่านวดน้ำมันคนละ 200 บาท
9. ค่ากินข้าวรวมๆ คนละ 250 บาท
10. ค่าเข้าวัดเชียงทอง คนละ 80 บาท
11. ค่าเข้าชมวัดพูสี คนะล 80 บาท
12. ค่ารถจาก หลวงพระบางไปวังเวียง 640 บาท
13. ค่าฟุ้มเฟือย เบียร์ เที่ยว บลาๆ 300 บาท

รวมเป็นเงินประมาณ 2,500 บาท

เพราะฉนั้น ตั้งแต่ กทม. – เวียงจันทร์ – หลวงพระบาง เราใช้เงินทั้งสิ้น

1,800 + 2,500 = 4,300 บาทครับ (คิดเผื่อค่ากินแล้วด้วยนะเนี่ย ๕๕)

หมายเหตุ : ราคา 1,800 อ้างอิงจากความเห็นที่ 26 ครับ

ไปวังเวียงกันต่อเลยครับ…

ให้ตายเถอะครับ…ตามเวลาการเดินทาง เราออกจากหลวงพระบางตอน 2 ทุ่ม เพราะฉนั้น…
จะมาถึงวังเวียงตอน ตีสองตีสามแน่ๆ ๕๕ แต่ก็ช่างมัน เอาเป็นว่า
ลุยมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ลุยกันต่อไป….และก็เป็นไปอย่างที่ผมคิดเป๊ะๆๆ ครับ
มาถึงวังเวียงตอนตี 2 จิงๆ ด้วยมาดูเหตุการณ์หลังจากนี้กันครับหลังจากผมกับน้อง ลงจากรถเสร็จ ก็เหมือนเดิมครับ
สามล้อมารุมตอมเต็มเลย
เค้าถามว่าจะไปไหน ผมบอกว่าหาทีพัก ยังไม่ได้จองที่พัก
เค้าบอกผมว่า มาๆ ไปมั้ยๆ จะพาไปหาที่พัก
ผมถามว่าอยู่ไกลมั้ย เค้าบอกว่า
ก็ประมาณ 2 km (แต่ชี้ไปอีกทางที่ออกนอกเมือง)

ผมก็แบบ เอิมมมม…
คิดเท่าไหร่..
ทำท่าคิดอยู่นานแล้วบอกว่า คนละ 200 บาท

พ่อง….

สำรักน้ำลาย

ผมเลยเดินหนี แล้วบอกว่า ไม่เป็นไรครับ เด๋วหาทางไปเอง
จากนั้นตรงที่รถจอด มีร้านขายลูกชิ้นปิ้งร้านหนึ่ง กำลังจะปิดร้าน
ก็เลยเข้าไปถามว่า…

พี่ครับ ในเมืองไปทางไหน ทางนี้หรือทางโน้น (ชี้ตามที่สามล่อมันบอก กับทางที่เราสงสัยว่าน่าจะใช่มากกว่า)

พี่เค้าบอกว่า… นี่ไงในเมือง เดินข้ามสนามบินเก่าไปก็ถึงแล้ว ๕๕๕๕
จะบ้าตาย ดีนะ ไม่เชื่อพี่ๆ สามร้อออออออออ ใจดี ถูยยย !!!
เกือบเสียตังค์แล้ว

สรุป ก็เลยเดินเข้าไปในเมืองตอนตีสองกว่าๆ เข้าไปหาที่พักครับ

เหตุการณ์สนุกไปกว่านั้นคือ

ไล่เคาะตามบ้านเลยจ้าาา เพราะว่าไม่ได้เปิด sim ที่ลาวไว้
ก็สงสารพี่ๆ เค้าเหมือนกัน เพราะบางคนที่เค้าตื่นขึ้นมา เราก็ไม่เอา
แถมบางที่ก็เต็ม บางราย เราเค้าไปดูห้องแล้วแต่ก็ปฏิเสธ
จนเค้าลดราคาให้เราหลือคืนละ 40 บาท โอว้แม่เจ้าาาาาาาา > <

เอาเป็นว่าคืนนั้น หาที่พักได้ในราคาตั้งแต่ 40 60 100 200 400 และ 600 บาทเลยครับ
เอาเป็นว่า เมิงเลือกได้เลยว่าเมิงจะเอาราคาไหน ๕๕

แต่สุดท้าย ด้วยความที่คิดว่า ปีใหม่ทั้งที ก็ขอห้องมันดีๆ หน่อยแล้วกัน
มีแอร์ wifi เครื่องทำน้ำอุ่น และทีวี ราคานี้ อยู่ที 400 บาทครับ ๕๕๕

(ใครอยากได้เบอร์ ติดต่อหลังไมค์นะ แต่ต้องไปกด like เพจให้ก่อน ๕๕)

จากนั้นก็เก็บของ และตั้งปลุกตอน 8 โมงเช้า เพื่อที่จะทัวร์วังเวียงแบบ one day trip

ต้องขอโทษจริงๆ ครับ ที่ไม่มีภาพเลย เพระว่าชนวุนมาก แบบ… มันเหนื่อยและก็ตื่นเต้น
อยู่ตอนกลางคืนในที่ทีเราไม่รู้จัก แถมไม่มีใครด้วย ก็เลยระวังตัวครับ ไม่กล้าเอากล้องออกมา…
ยังไงก็จินตนาการตามไปนะครับ….

เราเดินจากที่พักไปทางแม่น้ำซองครับ
ไมมีการจองใดๆ ทั้งนั้นครับ ย้ำ
พวกเรา walk in ทุกอย่างเลยจนมาเจอร้านๆ หนึ่งครับ
สอบถามเกี่ยวกับ one day trip ได้ราคารประมาณ 500 กว่าบาทเลยไปถามร้านที่สอง ได้ราคา 400 บาท
ก็เลยตกลงเอาร้านที่สองครับ เพราะตอนนั้น 9 โมงเช้าแล้ว
กลัวจะเที่ยวไม่ทัน เที่ยวไม่หมดตามโปรแกรมของเขา*** จริงๆ แล้ว ถ้าเพื่อนๆ ลองหาดีๆ มีบางบริษัท ราคาประมาณ 300 บาทครับ***นี่เป็นตัวอย่าง สถานที่ทอ่เงที่ยว ของ “วังเวียง” ครับ

หลังจากนั้นก็ขับรถออกจากตัวเมืองไปประมาณ 30 นาทีครับ

แผนที่วังเวียง : เอามาให้ดูประกอบครับ กับความเห็นด้านบนด้วย

และแล้วก็มาถึงทางเข้าไปทำกิจกรรมวันแรกแล้วครับ….
เป็นไงบ้าง บรรยากาศ ชิวไปป่ะ?? 555555

หลังจากที่รถจอด พนักงานจะแจกชูชีพให้เราครับ
และเราต้องรับผิดชอบตั้งแต่ตอนนั้น
รวมถึงช่วยถือกับข้าว ที่เค้าจะต้องทำให้เรากันด้วย

เดินเท้ากันเลยครับ…

เราจะเดินข้ามสะพานนี้ไปถ้ำช้างครับ

ที่ชื่อว่าถ้ำช้าง เพราะมีหินรูปหนึ่งเป็นรูปช้างครับ แค่นั้นจริงๆ
ผมไม่ได้ถ่ายมา เพราะไม่เห็นความสำคัญ หรือแปลกตาอะไร ๕๕

หลังจากกราบไหว้เสร็จ ก็เดินเข้าหมู่บ้าน
เดินผ่านหมุ่บ้าน ทะลุทุ่งนา

ระหว่างที่เดินในทุ่งนา จะเห็นภูเขาที่ไม่เหมือนบ้านเราครับ
ภูเขาที่นี่สูงชัน นึกจะชันก็ชัน อยากจะขึ้นก็ขึ้นมา แปลกตาดี
สำหรับผม มันสวยจริงๆ

ต่อจากนั้นไม่เกิน 10 นาที เราก็มาถึง หน้าถ้ำน้ำกันแล้วครับ…

ในถ้ำน้ำ ก็จะค้ายๆ ถ้ำลอด จ.ตรังครับ น่ากลัวและหวาดเสียดี
แต่เปล่ยนจากเรานั่งเรือ เป็นเราบังคับห่วงยางตามเชือกอะครับ
ผมเก็บภาพมาไม่ได้ เพราะ Gopro ถ่าย ที่มืดไม่ได้แต่เอาเป็นว่า เป็นประสบการณ์หนึ่งที่ดีพอตัว ๕๕หลังจากเล่นถ้ำน้ำเสร็จ เค้าก็จะแจกข้าวให้เรากินครับ
พอเล่นเหนื่อยๆ ก็หิวครับ
อาหารที่เค้าให้มาก็โอเคนะ

หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็จะขับรถไปยังจุดปล่อยตัวครับ

ใช่ครับ เราจะล่องคายัคกัน

ไปกันเลย…

น้ำซองหน้าหนาว น้ำจะใสมากครับ และเย็นด้วย
ระหว่างที่ลอ่งเรือไป เราจะเห็นกระต๊อบ และบ้านริมน้ำ
รวมถึงภูเขาสูงใหญ่ เรียงรายอยู่ทั้งหน้าและหลังเราเลยแหละ

พายเรือมาได้ประมาณชั่วโมงถึงสองชั่วโมง
เราก็จะแวะที่บาร์ริมน้ำครับ มีหลายบาร์เลย
แล้วแต่ว่า ทัวร์ที่เราได้ เค้าจะพาเราลงบาร์ไหน

แอบเมาเลยครับ แวะแค่ชั่วโมงเดียวเอง ๕๕๕

นี่แหละครับ โปรแกรม one day trip ราคา 400 บาทครับ

จากนั้นเค้าก็จะส่งเราลงที่ฝั่ง แล้วให้เราเดินกลับที่พักเองเลย
เพราะไม่ไกลมาก ๕๕๕

เนื่องจากวันที่เราเป็นวันที่ 31 ครับ

อีกวันหนึ่งก็จะปีใหม่แล้ว

หลังตะวันตกดิน เมืองวังเวียงจะเป็นอย่างไรนะหรออออออออ…

เห็นหลังๆ มันบูมหว่ะเพื่อนๆ คนแชร์หลักพันและ งั้นกลับมารีวิวต่อแล้วกัน ว่าแต่จะเอาตอนไปทะเลบัวแดงด้วยเลยป่าว
เพราะพอกลับจากวังเวียง ผมโบกรถไปทะเลบัวแดงต่อ ถ้าใครจะเอา รบกวนแสดงท่าทางอยากได้ไว้ใต้คอมเม้นท์ด้วย ๕๕:: พอตกเย็น เราทั้งสองก็ไปหารถมอเตอร์ไซต์มาเช่า และก็ขับทัวร์รอบเมืองวังเวียงในยามราตรีครับ
ขับวนอยู่หลายรอบก็ยังไม่เจอที่ถูกใจเท่าไหร่ ช่วงนั้นที่ไปเป็นช่วงที่จะ count down ด้วย คนเลยเยอะ
เป็นพิเศษ และใจจริง อยากปาร์ตี้กับคนพื้นที่มากกว่า ไม่อยากอยู่กับพวกฝรั่ง สุดท้ายเลยได้ผับผับหนึ่ง
ในวังเวียงชื่อ The Moon มีอยู่ผับเดียวเลยครับ อารมณ์ประมาณ Route 66 บ้านเรา แต่คุณภาพยังสู้บ้านเรา
ไม่ได้เท่าไหร่ครับ ข้างในจะเปิดเพลงไทยเป็นส่วนใหญ่ รับลองร้องได้ทุกท่อน และแทบจะทุกเพลง ๕๕๕

:: เนื่องจากว่าเราไปกันสองคน และไม่ใช่คนพื้นที่หรือเจ้าถิ่น ช่วงแรกๆ ก็ได้แต่กระดิกขาครับ เพลงจะมันแค่ไหน
กุกระดิกขาไว้ก่อน พอเหล้าเริ่มเข้าปากหัวเริ่มมาครับ คุยกันกับน้อง ไม่ไหวนะ เด๋วถ้าเราเมาแล้วมีเรื่องในผับเค้า
กลัวจะไม่ได้กลับบ้าน งั้นลองเซิฟๆ ชนแก้วแล้วขอเข้าไปแจมดีมั้ย ตอน count down จะได้สนุกด้วย มีเพื่อน
count down หลายคน หลังจากนั้น ก็เป็นอย่างที่เห็นในภาพครับ อ้าวววว แซ๊ะะะะะะะะะะ!!!! 5555555

***** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน 555 *****:: ระหว่างที่รอ count down เพลงก็เปิดไป เราก็เต้นไป คนในโต๊ะที่ผมยืนเต้นส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมัธยนครับ
ที่นั้นเค้าฮิตแบบนี้ครับ ทำยังไงก็ได้ให้ผู้หญิงอยู่ที่สูงๆ แล้วก็เต้นครับ เหมือน หาเก้าอีก หาลัง หาอะไรก็ได้
มาให้ผู้หญิงโต๊ะตัวเองยืนเต้นครับ แหม…. มันมากๆ ผมกับน้องนิมองหน้ากัน ก็ยิ้มมมมมมม แก้มปรีเลยครับ ๕๕:: ช่วงที่กำลังเมามันส์กับเสียงเพลงและรสสุรา น้องมันถามผมว่า “เล่นมั้ย” เอิ่ม กุก็งง เลยถามกลับไปว่า
“เล่นอะไร” มันก็ตอบกลับมา “ยาบ้าไง” สาาาาดดด กุช๊อค นิเมริงจะเอาอะไรให้กุเนี่ย กุเป็นนักท่องเที่ยวนะ
ด้วยความมีเชิง เลยตอบไปมาดเข้มๆ ว่า ไม่เล่นหรอก และก็ทำเป็นไม่สนใจ เต้นต่อ เผลอๆ หน่อย ก็เลยถาม
กลับไปว่า นิเล่นกันทุกคนเลยป่าวเนี่ย มันบอกว่า “อืม” เล่นนานยัง “ตั้งแต่ ม.1” โอโหหหหหห ไอ่เชรี่ยยยยย
แล้วไปเอามาจากไหน “มีคนขาย” คิดในใจ นิเมิงพกติดตัวกันเหมือนพาราเซตาม่อนบ้านกุเลยนะเนี่ย ๕๕๕
เอาเป็นว่า ไม่ว่าเค้าจะซื้อจากฝั่งเราเข้ามา หรือฝั่งเค้าผลิตเอง ผมก็มองว่ามันไม่ควรอย่างยิ่งครับ ไม่ว่าจะเด็ก
จะแก่แค่ไหน ไม่สมควรไปยิ่งกับยาเสพติดเด็ดขาด แต่สุราในเวลาแบบนี้ กุขอเถ่อออออออ ๕๕๕ ต่อๆ….

:: เห็นข้างบนมันเบลอๆ มั้ยครับ ใช่ครับ แม้วล้าววววววว เมาแล้ววววววว ๕๕๕ เอาเป็นว่าผมจะเล่ารวบรัดไป
ในตอนนี้เลย ผมกับน้องแยกกันระหว่างที่อยู่ในผับครับ ที่แยกกันเพราะน้องเจอเพื่อนที่คุยรู้เรื่อง และผมก็ดันไป
เจอคนลาวที่ไปเรียน ม.รังสิตครับ โอ้แม่เจ้าาาา เมิงบังเอิญไป เลยคุยกันยาวหน่อย สรุปก็เลยบอกน้องว่า
เจอกันที่ห้องนะ ใครไปก่อนก็รอตรงนั้นแหละ ถ้าไม่มีกุญแจก็รอหน้าประตู ๕๕๕ น้องก็อยู่ผับต่อ ส่วนผมกับเพื่อน
คนลาว ก็ขับรถออกจากผับไปบ้านมันครับ จะไปเมาต่อที่บ้านมัน พอไปถึงบ้านมัน อื้อหืออออออออ พ่อแม่มัน
กำลังจะนอน แล้วแบบว่า เอิ่ม เอิ่ม เอิ่ม กุต้องทำไงเนี่ย เอาเป็นว่า ไหว้ไปก่อนหนึ่งดอกแล้วกัน ๕๕๕ คุยกันไป
คุยกันมา หายเมาครับ หมดอารมดริ๊งค์ ผมเลยขอกลับก่อน ระหว่างที่กลับก็ให้น้องมันมาส่งครับ ก็บอกขอบใจ
หลายๆ ไปสองสามรอบ ๕๕ ในใจคิดว่า กุมาถึงก่อนเมิงแน่ๆ เพราะเมิงคงเมานอนตายอยู่ผับแน่ๆ หลังจากเปิดห้อง
ไป อ้าวววว เมริงมาก่อนกุได้ไงวะเนี่ย… คุยๆ เล่าๆ ทั้งผมทั้งมัน สรุป น้องแมร่งโดมตี ๕๕๕๕ จะโดมรุมด้วย
ดีที่มีสาวๆ ห้ามไว้ ไม่งั้นตายแน่ ถามว่าแล้วกลับมายังไง เดิน ๕๕๕๕๕๕๕ ขรรมแป๊ป เดินกลับ….. ราตรีสวัสดิ์ : )

:: เอาหล่ะ ถ้าไปวังเวียงแล้วไม่ได้ไปถ้ำจัง กับ Blue Lagoon ก็ถือว่า ยังมาไม่ถึงแบบ 100% แต่ตามแผนข้างบน
ที่วางไว้ จริงๆ เราต้องกลับบ่าย แต่เนื่องจากว่า รถที่ไปเวียงจันทร์ มีเหลือแค่รอบเช้า มัวแต่เที่ยวจนลืมจอง ทำให้
รอบบ่ายเต็ม ผมตื่นมาตอน 6 โมงเช้า มีเวลาเพียง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่จะไปชมความงามของสองสถานที่นี้ ข้อดี
ของผมอย่างหนึ่งคือ เวลาเมา จะตื่นเร็ว เอาหล่ะ ในเมื่อตื่นมาแล้ว ดูแผนที่ เช็คทาง แล้วสตาร์ทรถไปกันเลย…

ก่อนที่จะข้ามสะพานจากภาพที่แล้วไ้ด เราจะต้องเสียค่าผ่านทางก่อนครับ 4,000 กีบ ถ้าผมจำไม่ผิด ก็ราวๆ 20 บาทไทย
พอข้ามสะพานไปก็จะเป็นหมู่บ้านครับ จังหวะนั้นไม่ต้องดูแผนที่แล้ว มีป้ายบอกตลอดทาง ว่าไปทางไหน
ด้วยเวลาที่มีไม่มาก ผมพยายามที่จะทำเวลาให้ดีที่สุด แต่ดูสภาพถนนแล้ว เอิ่ม… ไข่กุจะแตกก่อนถึง Blue lagoon ครับ ๕๕พอพ้นหมู่บ้านไป ด้วยอากาศที่ต่ำกว่า 20 องศาในตอนนั้น และบรรยากาศวิวรอบข้าง ทำให้ผมอดคิดไม่ได้เลยว่า
นิกุอยู่ประเทศจีนปะเนี่ยยยยยยยยยย ๕๕๕ สวยงามมากครับ บรรยากาศแบบ สุดตรีนจริงๆ
ต้องโทษตัวเองที่วางแผนไม่ดีเท่าไหร่ เลยไม่มีเวลาจอดถ่ายรูปมาก ได้แต่ทำเวลาให้ไปถึง Blue lagoon ให้เร็วที่สุด
จากภาพที่เห็นขับไปเรื่อยๆ เด๋วก็จะเจอสามแยกครับ จากนั้นเลี้ยวขวา แล้วตรงไปเรื่อยๆ เลย
อีกไม่กี่นาที พวกคุณก็จะไปถึงสถานที่แห่งนี้ครับ  สถานที่เรียกว่า Blue lagoon
แล้วก็มาถึงซักที โอ้ยยยยยยยยยๆๆๆ ก่อนเข้าไปที่ Blue lagoon จะต้องเสียค่าผ่านทาง 2000 กีบครับ
จริงๆ ที่นี่ต้องมาตอนบ่ายๆ นะครับ แล้วมาเล่นน้ำ มาโหนเชือกกระโดดลงบ่อ lagoon นี่
แต่ผมมาตอน 7 โมง มาไม่มีใครเลย มีแต่พี่ๆ น้องๆ ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ๕๕๕
ในใจคิดแค่ว่า สงสัยกุได้กลับมาอีกแน่ มาซ่อนๆ เพราะไม่ได้มาเล่น้ำ
ไหนๆ ก็มา ขอเอาน้ำมาล้างหน้าาาาา ให้หายเหนื่อยหายเมาหน่อย พอจะกลับก็เสียดาย
ก็เลยไปนั่งเอาเท้าแช่น้ำ มองวิวรอบๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่มีวันลืมจริงๆ
ถึงเวลาต้องร่ำลา say bye blue lagoon แล้วหล่ะครับ เพราะเรามีนัดที่จะต้องไปเยือนถ้ำจังกันต่อ
ด้านบนเป็นแผนที่ที่เราจะได้จากพนักงานเช่ามอไซต์ครับ และเป็นแผนที่เดียวที่คลาสสิคมากๆ
เชื่อมั้ยว่า น้องผมซื้อหนังสือลาวมานะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แทบไม่ได้ใช้เลย
เพราะการที่ดูแผนที่ที่เค้ามีไว้ให้ มันรู้สึกเข้าถึงมากกว่า มันคลาสสิค
ถึงแม้ว่า มันจะ xerox หลายรอบซะจนอ่านไม่ออกแล้วก้ตาม ดี เหมือนลายแทงเลย ๕๕๕๕๕
แต่กว่าที่เราจะสามารถใช้แผนที่นี่ได้ เราก็ต้องถามเค้านั่นแหละ ว่าที่นั้นที่นี้ไปยังไง
แล้วนานมั้ย ใช้เวลากี่นานที ก็ดูจากแผนที่นี่แหละ ถ้าไปวังเวียง แนะนำให้เก็บมาเป็นที่ระลึกครับ….
ผมขับรถมาเรื่อยๆ ตามแผนที่ด้านบน จนหน้าถึงปากทางเข้า เจ้าหน้าที่ก็เก็บไปอีก 2000 กีบครับ
ประมาณ 10 บาท หลังจากนั้น ผมจอดรถ แล้วก็เดินไปทางที่ป้ายชี้ว่าถ้ำจัง
ด้วยความที่หาข้อมูลมาเยอะพอสมควร เค้าบอกว่า สะพานสีส้มนี่แหละ คือสัญลักษณ์ของถ้ำจัง
ตอนผมเห็นสะพานสีส้ม ผมดีใจมากกกกกกก เย่เย่เย่เย่ กุมาไม่ผิด ๕๕๕๕ คือกลัวว่าจะไปผิดทางครับ
แผนที่อ่านไม่ค่อยออกเท่าไหร่ แต่ก็สนุกดีหลังจากนั้นผมมีปัญหานิดหน่อย ตอนน้นเวลา 8:30 น. รถจะออก 9:00 น. ผมลังเลอยู่นานว่ายังไง
จะไปต่อ หรือไม่ไปต่อ แต่ผมตัดสินใจไปต่อ ระหว่างที่เดินไป รองเท้าขาดครับ แต่ก็ยังคิดว่าจะไปต่อ
แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง ดูนาฬิกาอีกที โอเคหล่ะ สงสัยเราคงต้องมาอีก วังเวียงคงอยากให้เรากลับมาอีกแน่ๆ
ผมถอดรองเท้าออกทั้งสองข้างเดินเท้าเปล่า และรีบวิ่งกลับไปที่รถ สตาร์ทรถทั้งๆ ที่ไม่มีรองเท้า
แมร่งงงงง เจ็บโคตร จากนั้นผมรีบบิดๆๆๆๆ จนไปถึงห้อง เจ้าของท่ารถ ก็มาตามพอดี บอกว่ารถมาแล้ว
รอผมคนเดียว ผมไม่รู้ว่าจะลืมอะไรมั้ย จำได้ว่า ยัดๆๆๆๆ และรีบแบกเป้ ขึ้นรถ พร้อมบอกลาน้องชายที่มาด้วยกัน
(คนนี้แหละ ที่เป็นคนให้เช่ามอไซต์ คอยบอกแผนที่เวลาไปไหน และก็คอยพูดกับคนรถให้รอผม ๕๕ คิดถึงน๊าาาา เธอว์)ที่แยกกับน้องตอนนั้นเพราะว่า น้องจะกลับ กทม.เลย แต่ผมจะไปทะเลบัวแดงต่อ ใช่ครับไปคนเดียว
หลังจากนั้น ก็นั่งรถ mini bus ไปเวียงจันทร์ แบบติดๆ ค้างๆ ในใจ เพราะเหมือนมาไม่ถึง ๕๕๕๕
ยังไงถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากรู้ว่าหน้าตาถ้ำจังเป็นยังไง search google เลยครับ ภาพสวยๆ เพี๊ยบบบบบบบ!!!
สรุปค่าใช้จ่ายตอนอยู่วังเวียงครับ
ค่าใช้จ่ายรวมก่อนหน้า (ความเห็นที่ 43 : 4,300 บาท)
– ค่าห้องคนละ 250 บาท
– ค่า one day trip 400 บาท
– ค่า กิน + เมา ประมาณ 300 บาท (หาร 2 แล้วนะ ปล.ดีนะ แอบกินของน้องๆ เค้าด้วย ไม่งั้นงบบานแน่ ๕๕)
– ค่าเช่ามอไซต์คนละ 150 บาท
– ค่าผ่านแดนข้ามฟาก 20 บาท
– ค่าเข้าชม Blue Lagoon 10 บาท
– ค่าเข้าชม ถ้ำจัง : 10 บาท
– ค่ารถกลับเวียงจันทร์ ประมาณ 500 บาทรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดดดดด:::  5,940 บาทครับ
อ้าวเห้ยยยยยยยยยยย!!!! ยังอยู่ใน 5,000 อยู่นะคับ ผมไม่ได้โกหก ๕๕๕๕๕

ตอนนั้นผมรู้สึกว่า ทริปมันกำลังจะจบแล้ว ผมเลยถ่ายภาพ ticket ไว้เป็นที่ระลึกครับ เฮ้ออออ…

มันยังไม่จบครับ 5,940 บาท มันยังไม่จบ ๕๕๕
หลังจากที่นั่งรถ 3 ชั่วโมง สุดท้ายก็มาถึงเวียงจันทร์
ให้ตายเถอะ ดันมาเจอน้องครับ สรุปรถที่กลับ กทม. ต้องมาจอดวเียงจันทร์ก่อนเหมือนกัน
ก็เลยงงๆ ได้เจอกันครับ ๕๕๕ และนั้นก็เป็นการลาจบทริปจริงๆ ซักทีแต่ว่า 5,940 ยังไม่หมดนะครับ
พอถึงเวียงจันทร์ต้องซื้อรถข้ามแดนไปฝั่งไทยในราคาอีก 25 บาทครับ
โอ้วแม่เจ้า ผมประมาณการผิดไป 1,000 บาท เพราะค่าเช่ามอไซต์ที่หลวงพระบาง
แพงโคตรรรรรรรร และก็ไม่ได้เผื่อค่าเมามา ๕๕๕๕ เอาเป็นว่า
ถ้าไม่มาเมา หรือไปที่ไร้สาระ 5,000 บาท อยุ่แน่นอนครับสรุปสุดท้าย 5,940 + 25 = 5,965 บาทและนี่ก็คือค่าใช้จ่ายปิดทริปครับ

ขากลับเข้าไทย รถเต็ม ก็เลยได้นั่งตรงที่เก็บของหลังรถครับ ฮือๆๆๆ เศร้าแป๊ป T T
Exit mobile version