Site icon PALAPILII-THAILAND

แบกเป้เที่ยวภูเก็ตหน้าฝน 2 วัน 1 คืน แบบเก็บหมดครบทุกจุดทุกย่าน

:: เมิงจะบ้ารึป่าว ไปเที่ยวทะเลหน้าฝน จะชวนกุไปเที่ยวทั้งทีก็เลือกที่ที่มันดีๆ หน่อยยยย > <

reviewed by : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

ภาพทุกภาพมาจากกล้อง iphone6 และภาพใต้น้ำมาจาก กล้อง Gopro4 Silver ครับ

ไม่รู้สินะ

:: ไม่รู้แหละ กุจองตั๋วเครื่องบินให้เมิง แล้ว เมิงจะบินไม่บิน บินไม่บิน บินไม่บินแม่มก็ถ่ายปีกเครื่องบินมาให้เพื่อนๆ ดูแล้วเนี่ย ๕๕๕ ทริปนี้ เกิดขึ้นเพราะความอยากครับ รู้ว่าที่ภูเก็ตมีงาน Surf เลยจะไปแจมกับเค้าหน่อย วางแผนกันคร่าวๆ ว่าบินเย็นวันศุกร์ แล้วบินกลับคืนวันอาทิตย์ ไม่ต้องลางาน แถมไปทำตัวชิคๆ ที่เมืองมากเสน่ห์ Best Destination อย่างภูเก็ตอีกด้วย ราคาตั๋วเครื่องบินช่วงนี้ เมิงนิก็จะถูกไปไหน กุเห็นอะไร กุก็จองหมด ๕๕๕ กระเป๋าตังค์เบาไปโดยปริยาย สาธยายมาเยอะแล้ว มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า หม๊ะ!

:: ทริปนี้ผมวางแผนสั้นๆ ว่าจะไปเล่นเซิรืฟที่หาดกะตะ ต่อด้วยเล่น Flow surf (คลื่นจำลอง) หน้าหาดต่อเลย แล้วก็ไปเมาตายที่ป่าตองตรง Walking Street ตื่นมาอีกวันก็จะไปเดินทางที่เมืองเก่าโปรตุกิส ไปซื้ออาหารทะเลสดๆ ที่ตลาดราไวย์ ต่อจากนั้น 4 กิโลเมตร ก็ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในประเทศอย่างแหลมพรหมเทพ แล้วจบด้วยการไปทำอะไรบ้าๆ ที่ถนนคนเดินถลาง ถ้าอยากรู้ว่าทำอะไร เลื่อนลงมาข้างล่างเรื่อยๆ นะ

:: สวัสดีภูเก็ต คืนแรกกุก็เมากันเลย เค้าบอกว่ามาภูเก็ตต้องมานั่งชิวร้านนี้ครับ Comics Bar บรรยากาศน่านั่งมาก ข้างในดูเล็กๆ แต่รู้สึกดีนะ เหมือนเป็นกันเอง เบียร์ก็มีหลายแบบให้เลือก แต่อาหารจัดได้ว่าแพงไปหน่อย แต่ก็สั่งกินกัน นักดนตรีเล่นได้อารมณ์มาก เรานั่งชิวกันไปเรื่อยๆ จิบเบียร์เบาๆ เคล้าบรรยากาศเมาๆ ของเสียงเพลง หลังจากนั้นก็นอนลงบนเตียงหลับไหลไป zzzZZZ

:: เมื่อคืนนี้เราพักที่โรงแรม The memory at On On ครับ ที่พักเมื่อคืนของเราจัดได้ว่า เนียบ มีสไตล์ คลาสิค ดูชิคโคตรๆ เพราะที่มี อดีตคือเป็นโรงแรมแห่งแรกในตัวเมืองจังหวัดภูเก็ตครับ เค้าพยายามจะรักษาบรรยากาศแบบเดิมๆ ไว้ ให้มันอยู่ในเมืองปัจจุบันได้อย่างลงตัว สวัสดีตอนเช้า ณ On On

:: บรรยากาศคงไม่ต้องพูดมาก คิดว่ามองจากภาพก็น่าจะดูออก มาพูดถึงเรื่องราคากันดีกว่า สำหรับ Backpacker ผมคิดว่าน่าจะชอบกัน ที่มีมีเตียงสองชั้น เป็นแบบ Dormitory ให้เพื่อนๆ ได้นอนค้างคืนกันในราคา 300 – 400 บาท ต่อคน หรือถ้าจะมากันเป็นคู่ อยากได้ห้อง Private หน่อย ราคาห้องก็อยู่ที่ 1,100 – 2,600 บาท ซึ่ง Private Room รวมอาหารเช้าแล้วนะครับ ที่สำคัญ ที่พัก อยู่กลางเมืองเก่าโปรตุกิสด้วย

:: เช้านี้เรากินของเบาๆ ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ครับ ก็นั่งคุยกันว่า จะไปไหนก่อน อะไรยังไงบ้าง ซึ่งในวันนี้ เราจะไปเล่น Surf กันที่หาดกะตะ และก็ไป Surf House Phuket กันต่อเลย หลายคนคงไม่รู้ ว่าประเทศไทย ก็สามารถเล่นเซิร์ฟได้เหมือนกัน คลื่นไม่แรงมาก แต่ก็เหมาะสมหรับ Beginner อย่างเราๆ เลยแหละ ว่าแล้วก็เดินทางไปกันเลย

หาดกะตะ

:: ภูเก็ตถนนเล็กครับ เราใช้เวลาเดินทางจากที่พัก ไปหาด ประมาณ 1 ชั่วโมงได้ ครั้งนี้เราไปแบบสบายๆ ครับ ใช้บริการของ Andaman Passion เป็นรถตู้บริการรับส่งนักท่องเที่ยว เวลาไปกันเป็นกลุ่ม เพื่อนๆ สามารถติดต่อเช่าเหมาคันได้ในราคาวันละ 1,800 บาท ไม่รวมค่าน้ำมัน มีคนขับมาให้แล้ว เมืองภูเก็ตสำหรับผม ไม่เหมาะกับ Backpacker ครับ การเดินทางลำบาก ถึงจะมีรถสาธารณะก็เถอะ ทุกอย่างแพงหมด เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว เวลาจะลงใต้ทีไร เลยต้องพาเพื่อน 6 – 10 คน ลงมาช่วยหารค่าใช้จ่าย ทริปนั้นๆ ถึงจะอยู่ในราคาที่น่ารัก น่าคบครับ

:: หาดกะตะ ถือเป็นอีกหาดหนึ่งที่สวยพาสมควรในแถบนี้ นักท่องเที่ยวมักมาเล่นเซิร์ฟกันในช่วงเดือนนี้แหละ ครับ เดือนที่หน้าฝนกำลังจะมา จะทำให้ทะเลที่ดูนิ่งๆ มีคลื่นสูงถึง 2 เมตรเลย เราเดินลงไปติดต่อเช่า Board ซึ่ง ที่นี่ เค้าคิดค่าเช่าบอร์ดในราคาชั่วโมงละ 150 บาท ครับ เช่าเสร็จก็ต้องเซ็นรับรู้ ว่าก่อนเล่น บอร์ดยังอยู่ครบ ตอนเอากลับมา ถ้าฟินหัก หรือเชือกขาด ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้เค้าไป ว่าแล้วก็ลงไปเล่นกันเลยย

:: ช่วงที่เล่นเซิร์ฟ ไม่มีใครถ่ายรูปให้เลยครับ มัวแต่เล่นกันจนลืมถ่ายรูป เพื่อนๆ ต้องลองเล่นดูนะ คือมันดูหมือนจะใช้เวลาแป๊ปเดียว แต่ไม่เลย เราสามารถใช้เวลาทั้งวันตากแดด เพื่อรอคลื่นลูกใหญ่ๆ ไม่กี่ลูก ผมเริ่มจะเข้าใจคำคำนี้แล้วหล่ะ “จะมีความหมายอะไรกับนักโต้คลื่น หากท้องทะเลนั้นนิ่งสงบ” คำนี้แม่ม ฟังดูงงๆ มั้ยครับ กุก็งงเหมือนกัน ๕๕๕ บ้าหรอ ผมว่ามันคงมีความหมายของมันแหละ เพียงแต่ผม ยังไม่เข้าใจ

:: ช่วงบ่ายเราไปต่อกันที่ Surf House Phuket ครับ อยู่ตรงหน้าหาดเลย แต่อยู่ฝั่งตรงข้ามทะเล ที่นี่ ถือว่าเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ที่น่าสนใจมาก ผมนิอยากเอากลับไปไว้หลังบ้านจริงๆ Surf Flow ที่นี่ ค่อนข้างแพงกว่าในกรุงเทพฯ ครับ แต่บรรยากาศมันต่างกันครับ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ไหนๆ ก้ไปแล้ว ก็จัดกันเลย ที่นี่ เล่นชั่วโมงละ 800 บาทครับ

:: อย่าถามว่าล้มมั้ย? มันก็ต้องล้มอยู่แล้วครับ ผมนิเขาเขียวเลย เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้หนึ่งชัวโมงเปีะ ก่อนที่จะย้ายไปทำตัวชิคๆ ที่ Foto Hotel ครับ

Foto Hotel

:: Foto Hotel เป็นโรงแรมที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในประเทศไทยครับ โทนโรงแรมจะเป็นสีเท่า 10 เท่าไหร่เปอร์เซ็นนี่แหละ เค้าเชื่อว่า สีเทา คือสีที่ทำให้ทุกอย่างดูสวยงามครับ เราขึ้นไปกันชั้นบน จะมีร้านอาหารอยู่ข้างบนนั้น ขึ้นไปสั่ง น้ำปั่น กับของกินเล่น พรางชมวิวชิวๆ จากสระว่ายน้ำหินอ่อนสีขาว หลายคนคงไม่กล้าขึ้นไป เพราะอาจจะดูว่าไม่เข้ากับเรา แต่ขึ้นไปเถอะครับ จะจนจะรวยแค่ไหน พนักงานเค้าก็บริการเราด้วยใจที่เต็มเปี่ยมครับ

:: ที่นี่ เป็นอีกที่ที่ถ่ายรูปสวยมากครับ คือเหมือน ที่อ่านๆ มา เค้าบอกว่า โรงแรมนี้ อยากทำให้เป็นสไตล์คนรักการถ่ายภาพครับ ทุกอย่าง จะตั้งชื่ให้เป็นการถ่ายภาพ อย่างสระว่ายน้ำ ที่ชื่อสิลุเอท สิลุเอท คือการถ่ายภาพย้อนแสงครับ ช่วงที่พระอาทิตย์ตกดิน เวลามาถ่ายรูปที่นี่ ตัวเราก็จะเป็นเงาสีดำสวยๆ แล้วด้านหลังก็จะเป็นแสงสีแดงแกรททองเรืองอร่าม นึกภาพแล้วก็น่าเสียดาย ที่เราอยู่ไม่ถึงในช่วงเย็น แง๊

Sugar Marina Surf

:: จาก Foto Hotel เราก็กลับมาที่พักในชีวิตจริงของเราครับ คืนนี้เราจะนอนที่ Sugar Marina Surf ที่นี่ในความคิดของผม ผมชอบเป็นการส่วนตัว การตกแต่งออกแนว Surf ครับ ตัวผนัง ฝ้า เพดาน อุปกรณ์การตกแต่งภายใน ผมว่าชิคมาก โดยส่วนตัวแล้วผมชอบที่นี่

:: ที่พักช่วงที่เราไปเป็น Low season ครับ ค่าห้อง 1,500 – 2,000 บาทเหลือๆ บรรยากาศไม่ต้องพูดถึง ข้างในว่าฟรุ้งฟริ่งแล้ว ในห้องน้ำมีจากุสชี่ ในได้นอนบี้ เอ้ย! ให้ได้นอนขยี้ เอ้ย! ให้ได้นอนแช่ตัวในอ่างชิวๆ เลยหละครับ ของในตู้เย็น บริการรวมค่าที่พักเรียบร้อย ออกไปนอกระเบียง ก็จะเจอกับวิวสระว่ายน้ำ จะบอกว่าดีก็กลัวจะน่าเกลียดไป ผมว่า Perfect เลยทีเดียว

:: เราวางข้าวของเสร็จ ก็ลงไปเล่นกิจกรรมที่ทาง Receptor แนะนำครับ ที่นี่นอกจากจะมีสระว่ายน้ำแล้ว ยังมีห้องซ้อมมวยอีกด้วย แรงยังเหลือ เลยไปลองของกันซะหน่อย

:: หลังจากต่อยมวยกันจนข้อมือเคล็ดก็ลงไปแช่น้ำกันให้หายเหนื่อย ยอมรับว่า ขี้เกียจถ่ายรูปแล้ว ลงขี่คอกันในน้ำ วนไปวนมาอยู่กลางสระนั่นแหละ ก่อนจะขึ้นไปแช่จากุสชี่กันในห้องนอน ฟินมาก บอกเลยยยย > <

:: ในช่วงที่เราเล่นน้ำอยู่ข้างล่าง เราไปเจอแก๊งค์สาวๆ จาก USA ท่าทางเค้าเหมือนอยากให้เราพาเที่ยว เราคุยกัน และแลกเปลี่ยนบทสนทนา สุดท้าย เราก็นัดกันไปที่หนึ่ง ที่ที่เป็นแหล่งรวมอสูรกายภายใน ให้ออกมาป้วนเปี้ยนยามค่ำคืน ใช่ละครับ Walking Street ป่าตอง เรานัดกันหน้าโรงแรม และหมาะตุ๊กๆ 400 บาทต่อคัน เข้าไปเมา และเรื่อนตายอยู่ที่นั้น จนภาพตัดไปในที่สุด

Old Town

:: เราตื่นสายกันพอสมควร เพราะเมื่อคืนจัดกันหนักมาก ทางโรงแรมมีอาหารเช้าเตรียมไว้ให้แบบบุฟเฟ่ห์นะครับ อยากกินอะไรก็ตักๆ แล้วมายัดกันได้ตามสบายเลย วันนี้หลังจากที่เราทานอาหารเสร็จ เราจะไปเมื่องเก่าโปรตุกิสกัน

:: เมืองเก่าโปรตุกิน สมัยก่อนคือเป็นเหมืองแร่ครับ เลยทำให้คนจีน และเช้าตะวันตกแห่กันมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ เวลาสร้างบ้าน ตึกรามบ้านช่อง เลยออกมาเป็นแนวโปรตุกิสจ๋าเลยหล่ะ ทางเทศบาลภูเก็ตเค้าก็เลยอนุรักษ์ที่นี่ไว้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวไปเลย จะว่า เป็น ปีนัง แหล่งที่สองเลยก็ว่าได้ครับ ยังไงลองมากันดู

:: ระหว่างที่เดินเล่นชมเมือง เราก็ไปเจอร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่งครับ ร้านหน้าตาน่าเข้าแช่ขาไว้บนพื้นมาก เราเข้าไปสั่งโกโก้ กับชานมคนละแก้ว นั่งคุยกัน ท่ามกลางกลิ่นอายของเมล็ดกาแฟคั่ว และบรรยากาศออกแนวฮิปนิดๆ ถ่ายรูปเล่นพักเหนื่อยกันไปพรางๆ

:: ออกมาเดิ่นเล่นกันต่อ ก็ไปเห็น แกลลอรี่ ครับ เป็นศิลปินอิสระ ที่วาดลายผลงานออกมาขาย และเอามาตั้งโชว์ ในแกลลอรี่ ผมรู้สึกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่นะ รู้สึกว่าเป็นตัวเองดี ลึกๆ แล้วผมเป็นคนที่ชอบอะไรพวกนี้อยู่แล้ว สมัยก่อน ก็เป็นนักวาดภาพระบายสี แต่ห่างเหินมานานเลย เรานั่งคุยกัน พูดถึงการทำหนัง หนังเพลง การวาดภาพ และอนาคตของสังคมไทย คงไม่ได้ต้องบอกว่านานมั้ย แต่ใช้เวลานานกว่าการเดินเล่นธรรมดาๆ แน่นอน และนี่คือผลงานบางส่วนของพี่เค้าครับ (ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ)

Rawai Fishing Maket

:: จบจากตรงนั้น ก็เดินทางไปที่ตลาดราไวย์เลยครับ ที่นี่เป็นแหล่งขายอาหารทะเลสดๆ ริมทะเลเลย ราคาค่อนค้างแพงหน่อย แต่ถ้าเป็นคนไทย แม่ค้าลดให้แน่นอนครับ ก็ต่อๆ ทำหน้าตาหน้าสงสารๆ อ้อนๆ เค้าหน่อย แค่นี้เค้าก็ลดให้แล้ว ผมกับเพื่อนตั้งงบกันไว้คนละ 500 บาท แล้วช่วยกันสั่งอะไรคนละนิดคนละหน่อย เอาให้ท้องแตกไปข้างหนึ่งเลย

:: ฝั่งติดทะเล จะเป็นหารหารสด ส่วนอีกฝั่ง จะเป็นบริการรับทำครับ คิดกิโลละ 100 บาทครับ ก็เลือกๆ มา ว่าเราอยากให้เค้าทำอะไรให้กิน เราอยากกินอะไร ก็บอกเค้าครับ เค้าก็จะชั่งกิโลให้เราดูตรงนั้น และจดเมนูอาหารตรงนั้นเลย

:: เวลาประมาณ 30 นาที จานแรกก็มา

:: และก็มาจนครบ

:: ขอการันตรีความสดและความอร่อยครับ ทั้งหมดนี้ 1,000 บาท กะแล้วเป๊ะๆ รวมค่าทำอาหาร พวกเรากินกันจนพุงแบบ เดินไม่ตรงกันเลย จากตรงนี้ไปที่แหลมพรหมเทพ ห่างประมาณ 4 กิโล แล้วคิดหรอ ว่าเราจะไม่ไปกัน…

Cape Town

:: จากตลาดราไวย์ ไปแหลมพรหมเทพ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีครับ ที่นี่คนเยอะมากๆ เค้าบอกว่า ที่นี่ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในประเทศไทย แต่น่าเสียดาย ที่ตอนเราไป ฟ้าไม่โปร่ง

:: แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เรามาถึงที่นี่ เราเดินลงไปดูที่แหลมกันจริงๆ เลยดีกว่า ระหว่างทางลงไปที่แหลม ค่อนข้างลื่นพอสมควร ถ้าฝนตกอย่าไปเลย อันตรายมาก เหนื่อยเหมือนกันนะ เหมือนไม่ไกล แต่พอเดินจริงๆ ก็ไกลใช้ได้ ๕๕๕ สุดท้าย ภาพที่เราเห็นของเย็นวันนั้น มันก็ทำให้เราหายเหนื่อย มันสวยงามจริงๆ

:: เราตีรถกลับไปที่ถนนคนเดินถลางครับ เป็นถนนคนเดิมในตัวเมืองภูเก็ต ผมคิดเกมส์บ้าๆ ได้เกมส์หนึ่งก่อนกลับ เลยแวะซื้อสีที่ร้านเครื่องเขียน ผมเตรียมมันลงบนถาดสี เทสีที่ซื้อมา เอากระดาษหนังสือพิมพ์กางออก ถอดเสื้อผ้า แล้วยืนเป็นหุ่นนิ่งกลางตลาด ให้คนเอาสีที่ผมเตรียมมาให้ป้ายตัวผมเล่น จะให้เงินหรือไม่ให้เงินก็ได้ ผมไม่ซีเรียสอะไร และนี่ก็คือภูเก็ตหน้าฝนของผม ภูเก็ตครั้งนี้ ไม่เร่ง ไม่รีบ แต่ก็จบได้อย่างปราณีตและงดงาม ขอบคุณที่ตามมาถึงตรงนี้ครับ : )

Exit mobile version