Site icon PALAPILII-THAILAND

Backpack ภูชี้ฟ้า – ดอยแม่สลอง – ไร่ชาฉุยฟง ด้วยเงิน 3,000 บาท

เราเริ่มจากวัดร่องขุน ไร่บุญรอด ดอยผาตั้ง ภูชี้ฟ้า บ้านดำ ดอยแม่สลอง ไร่ชา101 จนไปถึงไร่ชาฉุยฟง
4 คืน 3 วัน กับเงินคนละ 3,000 บาท
ดั้นนนนน… มะเป็นโอกาสที่ทำให้เรามาพบกับสวรรค์อีกหลายที่ในเมืองไทย

เตรียมตัว เตรียมใจ แบกเป้คู่ใจไปกับเรากัน
ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปกันเล๊ยยย!!!

reviewed by : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

บทนำ

สวัสดีครับ : )

ผมชื่อไมนะครับเพื่อนๆ วันนี้จะมาทำหน้าที่เล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษรตลอด 4 คืน 3 วันที่ผ่านมา
ไมออกเดินทางมากว่า 3 ปีแล้ว กำลังเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บ Destination ที่ปักหมุดไว้ให้ครบ
รีวิวที่ผ่านมาที่ไมได้ทำไว้ส่วนใหญ่จะเป็นการท่องเที่ยวในประเทศและข้างๆ ประเทศดังนี้

:: Backpack หลวงพระบาง – วังเวียง – เวียงจันทร์ ด้วยเงิน 5,000 บาท ———————————- http://pantip.com/topic/31480606
:: Backpack นครวัด – นครธม ด้วยเงิน 2,500 บาท ———————————————————- http://pantip.com/topic/32255585
:: Backpack วังเวียง ด้วยเงิน 2,500 บาท ——————————————————————– http://pantip.com/topic/32303037
:: Backpack ทีลอซู – ปริโต๊ะลอซู ด้วยเงิน 3,000 บาท —————————————————– http://pantip.com/topic/32131519
:: Backpack ปากเซ – ดานัง – ฮอยอัน ด้วยเงิน 6,000 บาท ———————————————— http://pantip.com/topic/32495990
:: 30 ข้อควรรู้ ก่อน Backpack ไปสิงคโปร์ ——————————————————————– http://pantip.com/topic/32411379

ฝากผลงานข้างบนและผลงานที่กำลังเขียนอยู่ตอนนี้ด้วยนะครับ ทุกรีวิวพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด
และถ้าไม่ลำบากจนเกินไปอยากให้เพื่อนๆ ให้กำลังใจโดยการกดบวกเพิ่มพลังกระทู้ให้ด้วยนะครับ

เตรียมความพร้อม

แผนที่ผมทำไว้มักจะออกมาเป็นตารางเอ็กเซลแบบนี้หล่ะครับ
สำหรับผมมันง่ายมาก ต่อการฟิกซ์วัน เวลา และสถานที่
และสามรถรู้ได้คร่าวๆ อย่างเห็นภาพว่าทริปของเราดำเนินไปแล้วกี่เปอร์เซ็น

การเดินทางเริ่มต้นของเราจะเป็นประมาณนี้ครับ…

ไปเช้าที่เชียงราย และก็เที่ยวรอบๆ ตัวเมือง เก็บวัดร่องขุน และไร่บุญรอด
หลังจากนั้นก็หาอาหารรา้นเด็ดทานในตัวเมือง ก่อนออกไปดอยผาตั้ง
กะเวลาให้ถึงดอยผาตั้งก่อนตะวันตกดิน และเข้าที่พักบริเวณตีนภูชี้ฟ้า

ตื่นมาวันที่สองก็รีบขึ้นไปภูชี้ฟ้า เก็บความรู้สึกความทรงจำบรรยากาศมาให้ได้มากที่สุด
จากนั้นก็กลับลงมาเช็คเอ้าท์เก็บข้าวของเดินทางต่อไปบ้านดำ
และผ่าน ม.แม่ฟ้าหลวง ก่อนที่จะขึ้นไปนอนข้างบนดอยแม่สลอง

ตื่นมาวันสุดท้ายก็ตระเวณดูความเป็นอยู่ของคนพื้นเมืองที่นั้น
รวมถึงไร่ชาชื่อดังบนแม่สลองอย่าง ไร่ชา101
กลับลงมาแวะเข้าไร่ชาฉุยฟังทิ้งท้ายก่อนกลับบ้านเกิดของพวกเรา

แพลนคร่าวๆ ก็จะเป็นประมาณนี้ ครับ ซึ่งการจองที่พักและตั๋วโดยสาร
หลักๆ ก็จะจองขาไปกลับ และที่พักที่ภูชี้ฟ้าที่เดียว
ส่วนที่ดอยแม่สลอง วางแผนกะจะ walk in กัน

การเดินทาง

สำหรับการเดินทางระหว่างจังหวัด เราเลือกใช้บริการของ “สมบัติทัวร์” ครับ
เราจองไปกลับรอง 17.00 น.ทั้งสองรอบ เพื่อให้ไปถึงเช้าพอดีในวันถัดไป
ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ขาละ 773 บาท ไปกลับตกคนละ 1,500 กว่าบาทครับ

รายละเอียดการจอง : http://www.sombattour.com/html/route/909.php

สำหรับการเดินทางในจังหวัด เราเหมาพี่สองแถวบริเวณ บขส.กันครับ
เราอธิบายแผนการเดินทางของเรา บอกวันเวลาอย่างละเอียด
และให้พี่เค้าตีราคาให้ครับ สำหรับช่วงที่เราไปเป็นช่วง Low Season
ไม่ค่อยมีใครไปขึ้นดอยขึ้นภูหน้าฝนกันครับ เราเลยได้ราคาวันละ 1,500 บาท
เราใช้เวลา 3 วัน ก็จะอยู่ที่ 4,500 บาท แต่ก็อาศัยความน่ารักของเด็กวัยรุ่น
ต่อพี่เค้าจนเหลือทั้งทริป 4,000 บาท รวมรถ รวมคนขับ รวมค่าน้ำมันแล้ว

รายละเอียดการจอง : inbox มาในเพจครับ : )

ที่พัก

เราตกลงกันว่าจะจองที่พักแค่ตอนไปนอนที่ภูชี้ฟ้า ส่วนดอยแม่สลองเราจะ walk in กัน

สำหรับภูชี้ฟ้า เราเลือกของ “เฮือนดอกเสี้ยว” ครับ เนื่องจากว่าราคาเหมาะสม
ที่พักเป็นบ้านสองชั้นครับ สะอาด ดูแลดี บรรยากาศดี รวมอาหารเช้า
และที่สำคัญไม่ไกลจากภูชี้ฟ้าเลย เดินทางสะดวกครับ
ค่าใช้จ่ายหลังละ 2,500 บาทครับ เฉลี่ยกันก็ตกคนละ 500 บาท

รายละเอียดการจอง : http://www.dorksiow.com/today1.html

สำหรับที่ดอยแม่สลอง เรา walk in กันครับ แต่ก็ไปเจอ hostel ที่ถูกใจใช่ได้เลย
นั่นก็คือ “ซินแซ” เค้าคิดหัวละ 100 บาท ชิวๆ ครับ ที่พักพอใช้ได้สำหรับพวกเรา

รายละเอียดการจอง : 053 765 026

หลักๆ ที่เราวางแผนไว้เบื้องต้นก็จะเป็นประมาณนี้หล่ะครับ ไม่ถูกไม่แพงไม่ลำบากจนเกินไป
เด็กไปได้ ผู้ใหญ่ไปดี ยิ่งถ้ารวมตัวกับก๊วนเพื่อนสนิทๆ ไปกัน ยิ่งมันส์เข้าไปใหญ่
เมื่อแผนทุกอย่างถูกวางอย่างแน่นอน ก็ออกเดินทางกันเลยครับ : )

ก้าวแรก

หลังจากที่เราทำการเช็คอิน เพื่อบินไปแอ่วเมืองเจียงฮาย
เราก็หันหลังกลับมาบอกลาครอบครัวและญาติพี่น้องที่มาส่งเรา
เย็นวันนั้นท้องฟ้าเปิดสดใสกว่าทุกวัน แสงอาทิตย์ลอดผ่านกระจกอาคารโดยสารมาอย่างบางเบา
เป็นเงาจางๆ พรางถึงเวลาว่าเราต้องจากกัน เราโอบกอดพ่อแม่ของเราพร้อมล่ำลาครอบครัวอย่างอบอุ่น
ไม่ช้าไม่นานเราจะกลับมา เอาหล่ะ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องจา… ถรุ๊ยส์!

จริงๆ พวกเราต่างตะเกียดตะกายยัดข้าวของใส่กระเป๋า แล้วรีบโบก Taxi
ถ้าลำบากหน่อยก็ถึงกันต้องนั่งพี่วินหละคราวนี้ ยังไงก็ตามต้องรีบไปให้ทันคิวรถบัสของสมบัติทัวร์
รถออกจาก กทม. รอบ 5 โมงเย็น ทุกอย่างดูรีบเร่งมาก เราเฉียดการตกรถไปเพียงไม่กี่นาที
เราตื่นเต้นกันมากพอสมควร เพราะทริปครั้งนี้ คือการขึ้นเหนือไปแอ่วเมืองเจียงฮายครั้งแรกของพวกเรา…

ทริปนี้มี 4 คนอยู่ กทม. อีก 4 คนอยู่เชียงใหม่ อีก 1 คนเด่วบินตามไป และอีก 1 คนขอถอนตัวกลางคัน
ทุกคนมาจากต่างที่ต่างถิ่น แต่ก็มีจุดหมายเดียวกันคือ “เ ชี ย ง ร า ย” จ้าวววววว

ตัดบทมาที่ 4 คนที่อยู่ กทม. ส่วนคนที่เหลือปล่อยมันไปก่อน พวกเราทั้ง 4
ตะเกียดตะกายแทบเป็นแทบตาย กว่าจะได้ตั๋วขาไปใบนี้มาครอง
โบก taxi นั่งวิน หน้าต้านฝุ่น ลม มลพิษมาจนถึง สถานีของสมบัติทัวร์
สถานที่ดูสะอาดตา ใหญ่ กว้างขวาง มองไปทางซ้ายก็เห็นรถบัสขาวคันใหญ่
หนังสือข้างตัวรถเขียน กทม. – เชียงราย ใช่เลย ต้องใช่รถพวกเราแน่ๆ

เราโหลดกระเป๋าเข้าท้องเครื่อง เอ๊ะ! ไม่สิ เราแบกกระเป๋าส่งให้พนักงาน
เพื่อติดแท็กกำกับหมายเลขกระเป๋าที่เราฝากไว้ใต้รถบัส และเดินขึ้นไปบนบัส VIP
โอ้วแม่เจ้าา… ตัวรถใช้ได้ เบาะนุ่ม แอร์เย็น รถสะอาด พนักงานต้อนรับดี
การเดินทางของเราในค่ำคืนนี้ คงจะสมบูรณ์แบบเลยไม่น้อย… : )

ล้อหมุนจาก กทม. ตรงเวลาเป๊ะ เราเอาเท้าก่ายไปข้างหน้า ดั่งเราเหมาบัสคันนี้ทั้งคัน
เราสี่คนทำความรู้จักกันอีกครั้ง เพื่อจะให้สัมพันธไมตรีของเรามันแซ่บขึ้น
เวลาห้าทุ่มเที่ยงคืนกว่าๆ บัสก็จอด และให้เราลงไปรับประทานอาหารว่าง
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ามันไม่ว่างแล้วหล่ะ มันคือบุฟเฟต์ดีๆ นี่เอง
นี่ก็ครั้งแรกกับการใช้บริการของสัมบัติทัวร์ขึ้นเหนือ ต้องบอกว่าบริการดีมากครับ
อาหารที่มีเราเลือกก็โอเค ไม่ดีไม่เลว ทานได้ สะอาด อร่อย
กินกันให้จุกตายเค้าก็ไม่ว่าอะไรครับ ที่สำคัญมีหลายอย่างให้เลือกมากๆ
หลังจากที่กินเสร็จ ก็ถึงคิวหลับยาวเพื่อจะไปสว่างอีกทีที่เชียงราย…

สวัสดีเชียงราย

สวัสดีเชียงราย ฝนตกพรำๆ ละอองน้ำเต้นระบำอยู่ข้างนอก
พวกเรามาถึงเชียงรายตอน 6 โมงเช้า พร้อมกับฝนโปรยปรายที่ทำท่าเหมือนจะไม่มีทางหยุด
เอาหละ 4 คนแรกมาถึงที่หมายแล้ว อีก 4 คนที่อยู่เชียงใหม่เป็นยังไงกันบ้าง
เราตั้งกลุ่ม line เฉพาะไว้ เพื่อติดต่อสอบถามความเป็นไปของคนในกลุ่ม
ก็ได้ความว่า อีก 4 คนจากเชียงใหม่จะมาถึงตอนประมาณแปดเก้าโมง ให้เราหาอะไรทำไปก่อน
ส่วนอีกคนที่จะบินตามมาบอกว่าเสร็จงานแล้วจะรีบบินจากอุดรฯ ตามไปเลย น่าจะถึงตอนประมาณเที่ยงๆ บ่ายๆ

หลังจาก update ข้อมูลล่าสุดของคนในกลุ่ม ก็ถึงคราวที่เราจะต้องจัดการหน้างานตอนนี้ให้ดีที่สุดไปก่อน
อ่าววว… เจอและ พี่สองแถวอยู่นี่นิเอง เราเข้าไปสอบถามสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณตัวเมืองเชียงรายว่ามีที่ไหนน่าไปบ้าง
พร้อมกับสอบถามค่าใช้จ่ายในการเช่าสองแถวให้เดินทางตามแพลนที่เราได้วางไว้
คุยกันไปคุยกันมา ต่อราคากันแบบหน้าด้านๆ ก็เลยได้ราคารถมา 4,000 บาท ต้องบอกว่าสุโค่ยมากๆ
ความสามารถเฉพาะตัว ราคา 4,000 บาทนี้ รวมค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าคนขับด้วยเลยนะแกร๊รรรรรร อร๊ายยย > <

อีก 2 – 3 ชั่วโมงหลังจากนี้เราจะทำอะไรดี จะนั่งเฉยๆ หรอ ไม่อะ ต้องหาอะไรทำ
เราให้พี่สองแถวพาไปทัวร์เมืองเชียงราย และไปจอดที่หอนาฬิกา ไปเดินตลอดเช้าเชียงราย
เห่ยยยยย… หอนาฬิกาเหี้_ไนเนี่ย สวยโอเฟ่อร์มากๆ ด้วยความไม่เคยมาเชียงราย เห็นอะไรแบบนี้ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ไม่สิ กุตื่นเต้นโคตรๆ เลยพี่น้อง ถนนสายนั้นคันทรีมากๆ มีหอนาฬิกาสีเหลือทองอร่ามงดงามแวววับอยู่กลางถนน
ด้วยความตื่นเต้นไม่รอช้า วิ่งรอบหอนาฬิกากันแม่มเบยยยย

7 โมงกว่าๆ คงเป็นเวลาปกติพี่พระจะเดินบิณฑบาต ด้วยความที่ชอบทำบุญอยู่แล้ว บวกกับอยากได้ภาพสวยๆ
และอยากทำบุญในต่างถิ่นต่างแดน ก็เลยแงะกระเป๋าเอาข้าวของที่ตุนไว้จากรถทัวร์มาถวายพระให้หมด
ถือเป็นฤกษ์งามยามดีเปิดทริปดีๆ ทริปนี้อย่างเป็นทางการ

มองเข้าไปในซ้อยซ้ายมือก็พบว่าเป็นตลาดเช้า มีแม่ค้าพ่อค้าปูเสื้อตั้งร้านกันเรียงรายแม้ฝนจะพรำๆ อย่างต่อเนื่องก็เถอะ
เราเดินเข้าไปในตลาดเพื่อหาของกินแปลกๆ กัน ให้ตายเถอะ ทางซ้ายเป็นเนื้อกระทิงป่า ถูกหั่นและสับเป็นชิ้นๆ
ทางขวาเป็นกรงนักเงือก ที่รอให้ลูกค้ามาฆ่าเชือดเพื่อเอากลับไปทำอาหารกินที่บ้า… จะบ้าหรอ!!!
ในตลาดเช้าเชียงรายก็เหมือนตลาดต่างจังหวัดทั่วไป มีของซื้อของขายเป็นผักผลไม้ ของคาวของสด
ใครใคร่จ่ายแบบไหน ก็ต่อรองราคากันไป ส่วนพวกเราก็เดินชมวิถีคนคนเมืองที่นี้
และสุดท้ายก็ไปจบกันที่กระเพราไข่ดาวที่ร้านท้ายปากซอย…

เรากินข้าวเสร็จก็ฟาดไป 8 โมงแล้วครับเพื่อนๆ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีก 4 คนจะมาถึง
เราไปนั่งร้านกาแฟตรงหอนาฬิกาอะครับ คนเชียงรายน่าจะรู้จักดีนะ สั่งนมร้อนและเค้กก้อนหนึ่งมากินพรางๆ ว้าววว!!!
รสชาติใช้ได้ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบคุยกะคนท้องถิ่น ก็เลยถามนู่นนี่น้องเค้าว่าที่ไหนน่าไปบ้าง อะไรยังไง
ก็ได้ข้อมูลมาส่วนหนึ่ง ปกติผมจะติด pvc selfie มาถ่ายรูปและบันทึกเรื่องราวการเดินทาง
แต่คราวนี้ไม่ได้เอามา ก็เลยต้องมาตามหากันที่นี้ เพื่อเตรียมจะไปด่ายรูปในมุมสูงสวยๆ ตามยอดดอย

ผมกลับไปที่ตลาดอีกครั้ง เพราะตอนเดินผ่านเห็นมีอุปกรณ์เครื่องเขียนอยู่ด้วย เหลือบมองไปทางขวา
เห็นไม้พรองสีแดงน้ำหนักเบาสีแป๊ดดดดด อันหนึ่ง ลุงๆ เท่าไหร่ครับ 25 บาทจ้า เอาก้านหนึ่งครับ
หลังจากที่จ่ายตังค์ไป ก็บอกคุณลุงว่า ผมจะเอากล้องตัวนี้มาใส่ไว้ที่ปลายไม้พรองอะครับ คุณลุงพอจะมีวิธีมั้ย
ผมกับคุณลุงช่วยกันโมดิฟายเจ้าไม้เซลฟี่อยู่นานจนสำเร็จ
โอ้มายก๊อดดดด!!! ปรมาณ 5 – 10 นาที ผมก็ได้ไม้เซลฟี่คู่ใจแล้วหละ
ผมขอบคุณและเดินออกจากร้านด้วยความอยากที่อยากจะโชว์ไม้เซลฟี่ DIY ของผม
และไม่ต้องแปลกใจที่ทั้งทริปจะเห็นสีฟ้า สีแดง ก้านยาวๆ ปนมากับรูปแทบจะทุกรูป : )

หลังจากที่กลับเข้าไปในร้านกาแฟ ทุกคนก็ต้องอึ้ง ให้ตายเถอะ เมิงทำได้ไงวะเนี่ย เรื่องมันไม่จบแค่นี้
เราคุยกันถึงคราวที่เราต้องไปไร่ชาฉุยฟง เราคิดกันว่า ถ้าได้ภาพมุมสูงๆ ถ่ายเซลฟี่กัน มันคงจะสวยไม่น้อย
ด้วยความหึกเหิมพี่ทิมเพื่อนร่วมทริปอีกคน ก็เดินออกไปจากร้านพร้อมกับผมและพี่จูน ไปร้านขายท่อประปาครับทีนี้
ไปซื้อก้านท่อประมามาเป็น pvc selfie อีกตัวหนึ่ง
เพื่อที่จะเอามาต่อกับไม้พรองของผมให้เป็นก้าน selfie ที่แบบแม่มโคตรยาว
สามมารถถ่ายไร่ชาได้แบบ 360 องศา และสุดท้าย เราก็ได้มันมาครับ ๕๕๕

เสียงโทรศัพท์ดังลั่น เพื่อนอีกสี่คนใกล้จะมาถึง บขส. เชียงรายกันแล้ว
เราขึ้นรถสองแถวและมุ่งกลับไปที่ บขส. เพื่อไปต้อนรับสมาชิกใหม่อีกสี่คนที่กำลังจะมาถึง…

วัดร่องขุ่น

ไม่เจอกันนาน บานขึ้นเยอะเลยนะเมิง เรากล่าวทักทายพอเป็นธรรมเนียมตามประสาคนเคยรู้จักกันมาก่อน
สองแถวล้อหมุนไปด้วยเสียงคุยโม้โอ้อวดประสบการณ์แปลกใหม่ที่ทุกคนได้ไปมาเมื่อทริปก่อนหน้า
บ้างไปล่องแก่ง ปั่นจักรยาน ขี่ช้างจับตั๊กแตน บ้างก็ไปล่าสัตว์ในป่าอเมซอน ได้กระทิงน้ำมาหนึ่งตัว
นิก็เพิ่งกลับจากเวียดนาม ไปเจอคนลาวมีแฟนเป็นคนพม่า พูดภาษาจีนกลางให้กุฟัง บ้างก็เจ… พอเถอะ!
ก็โม้ไปเรื่อยครับเพื่อนๆ พวกเราก็คุยกันอย่างละเมียดละไมเหมือนคนที่ไม่รู้จักกันมาทำความรู้จักกันใหม่ๆ นั่นแหละครับ
จะหัวเราะ จะอะไรบางทีก็เกรงใจไม่ค่อยกล้า อ่าวเห้ยยยย!!! ถึงวัดร่องขุนแล้วเว้ยยยยย…

อดไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องงัดกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายทันทีเมื่อเท้าได้สัมผัสบริเวณข้างนอกวัด
นี่นะหรอวัดร่องขุ่น สวยงามไม่เบาเลยทีเดียว ก่อนที่เราจะมาสองสามเดือนมีแผ่นดินไหวที่เชียงรายครับ
เลยทำให้ตัววัดและบริเวณรอบข้างเสียหายไปพอสมควร แต่ก็ยังคงความสวยงามไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว…

เราเข้าไป Check in ในวัดกันดีกว่าครับ ไปดูว่าข้างในวัดมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
ผมจะขอใช้คำพูดบ้านๆ ตามสิ่งที่ผมเห็นและทำจริงๆ เพราะผมก้ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมเห็นมันคืออะไร
มันต้องทำยังไง และมันมีความหมายอะไรบ้าง ผมจะบรรยายตามที่ผมเข้าใจเป็นพอ
ถ้าอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมและถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น เชิญกด New tab แล้วพิม google.co.th เลยครับ

ข้างในตัววัดบรรยากาศจะร่มรื่นครับ มองไปทางซ้ายจะเป็นโบสถ์สีทอง มองไปทางขวาจะเป็นตัววัดร่องขุ่น
แต่ไอ่โบสถ์สีทองที่เพื่อนๆ เห็นมันคือห้องน้ำเว้ยเห้ยยยย!!! 555
เราเดินเข้าไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บภาพความสวยงามภายในวัดให้หมดทุกซอกทุกซอย

เดินลึกเข้ามาอีก ก็จะเห็นเป็นศาลากลมๆ สีขาว ตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า
พอเข้าไปก็จะเป็นบ่อน้ำตรงกลาง และก็มีใบโพธิ์ห้อยลงมาจากบนเพดาน
ที่นี่จะเป้นกุศโลบายให้คนโยนเหรียญเข้าไปในบ่อน้ำ แล้วให้เหรียญมันไปตกอยู่บนจุดสูงสุด
ของช่อพานที่นูนสูงขึ้นมาจากใต้น้ำ ถ้าใครสามารถทำให้เหรียญวางตัวอยู่บนยอดพาน
หรือในบริเวณพานได้ คำอฐิษฐานของคนๆ นั้น จะเป็นจริง…

บริเวณรอบศาลากลมๆ ตรงนั้น จะมีต้นโพธิ์เงินอยู่สี่ด้านรอบศาลา ซึ่งแต่ละใบของโพธิ์เงิน
จะถูกเขียนคำอฐิธานลงไปในนั้น และนำเอาไปห้อยเหมือนอย่างในรูป เป็นหมื่นแสนล้านใบเลยทีเดียว
และเราก็ไม่พลาด ที่จะทำอะไรแบบนี้อยู่แล้วหล่ะครับ ๕๕๕ ซื้อไปเลย ใบละ 20 บาท
ใบเดียวเขียนได้ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ยันหลานเหลนโหลนเลยหล่ะ : )

คราวนี้ก็เข้าไปชมความงามในโบสถ์สีขาวที่ทุกคนเห็นกันบ่อยๆ นะครับ
ในความรู้สึกผมตอนนั้น คิดแค่ว่า เค้าทำได้ยังไง ได้สวยงามและใหญ่โตขนาดนี้

บริเวณรอบข้างจะมีสระน้ำที่มีปลาค๊าฟแหวกไหว้อยู่อย่างมีสีสัน รอบข้างเต็มไปด้วย
ปูนขาวแกะสลักเป็นนรกบ้าง สวรรค์บ้าง ทุกลายทุกชิ้นงานล้วนมีความหมายทั้งสิ้น
มิสามารถประมูลค่า หรือนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นใดได้เลยจริงๆ และทีเด็ดมันอยู่ตรงนี้ครับ
ภาพวาดฝาผนังในโบสถ์แห่งนี้ สุดยอดศิลปะอลังค์การณ์งานสร้างมากๆ
เต็มไปด้วยความหมาย อุปมาอุปมัย ถึงโลกอดีตกาล ปัจจุบัน และภายภาคหน้าได้อย่างลงตัว
แต่เสียดายตรงที่ว่าเราไม่สามารถเก็บภาพภายในมาให้เพื่อนๆ ได้ เพราะติดป้าย “No Photo”

ไร่บุญรอด

อากาศมันอบอ้าวมากๆ ครับ เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นหน้าฝน ฝนจะโปรยลงมาจากฟ้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เราก้าวขึ้นรถและก็เดินทางกันต่อ ระยะทางจากวัดร่องขุ่นไปไร่บุญรอดไม่ไกลกันมาก เพราะอยู่บริเวณเดียวกัน
ไม่นานนัก ก็เห็นสิงห์สีทองตัวใหญ่เหลืออร่ามท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเขียวขจี
เราลงเช็คตารางเดินรถรอบไร่ และก็จองไว้รอบเที่ยงตรง ค่าใช้จ่ายคนละ 50 บาท/รอบ
ระหว่างนั้นเราก็เลยไปถ่ายรูปเล่นกับเจ้าเสือตัวเหลืองอร่ามนั่นอย่างเมามันส์กันเลยทีเดียว

“รถรอบ 12.00 น. จะออกแล้วค่ะ ใครที่มีบัตรคิวรอบนี้ กรุณามายืนรอบริเวณจุดขึ้นรถด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เสียงพนักงานประกาศให้เราไปพร้อมเพรียงกันบริเวณจุดขึ้นรถ เราพร้อมที่จะเดินทางรอบไร่บุญรอดกันแล้วหละครับเพื่อนๆ
ภายในไร่ก็จะมีฟาร์มต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ นานาพันธุ์ รวมไปถึงทุ่งดอกไม้ที่ยาวสุดลูกหูลูกตาบนพื้นที่กว่า 10,000 ไร่
ถ้ามาฤดูหนาวทางทีมงานเข้าจะจอดให้เราลงตามสวนองุ่นและไร่สตรอเบอรี่ให้เราเด็ดกินกันแบบสดๆ กันไปเลย
เราจอดบริเวณไร่ชาเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ออกจากไร่ชาไม่ไกลเราก็ไปดูสัตว์หายากในไทยที่ทางไร่ได้เลี้ยงเอาไว้นั่นก็คือยีราฟ และม้าลาย
เราซื้ออาหารมาป้อนตะกร้าละ 20 บาท เพื่อให้ได้ภาพและได้ใกล้ชิดมันอย่างใกล้ชิด
ช่วงที่เราไปกิจกรรมที่เราทำก็มีแค่นี้ครับ จริงๆ แล้วไร่บุญรอดจะสวยงามมากกว่าในภาพ
หากเพื่อนๆ มาช่วง high season ครับ จะมีสีสดใสจากดอกไม้ จะได้ชิมของเปรีย้ยวหวานจากองุ่น
จะได้นั่งรถชมวิวท้าลมหนาว โหหห… นึกแล้ว ยังไงก็ต้องกลับไปที่นี่อีกครั้งจรงๆ : )

เนื่องจากเป็น low season ทางไร่จึงยังไม่เปิดให้เราชมอีกหลายจุด แต่สำหรับคนที่จะไปช่วงปีใหม่ที่จะถึง
ผมคาดว่าจะได้เจออะไรที่มากมายกว่าผมแน่นอน เพราะทางทีมงานบอกว่า หลังเดือนตุลาคมปีนี้เป็นต้นไป
ทางไร่จะเพิ่มกิจกรรมขึ้นมาอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขับเอทีวี พายคายัค หรือการโหนสลิงข้ามแม่น้ำ
และเปิดเส้นทางให้ปั่นจักรยานรอบไร่อีกด้วย สำหรับใครที่ชอบแนวนี้แล้ว ไม่ควรพลาดจริงๆ ครับ

เพิ่มเติมเกี่ยวกับไร่บุญรอดนะครับ…

การท่องเทียวไร่บุญรอด ทางไร่จะมีรถนำเที่ยวแบบฟาร์มทัวร์  อัตราค่าบริการคนละ 50 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบฟรี ใช้เวลาการ ชมประมาณ 45- 50 นาที รอบเช้าเที่ยวแรกประมาณ  09.30 น.
รอบบ่าย 12.30 น. รอบสุดท้าย 17.00 น. ในส่วนของฟาร์มทัวร์จะปิดตั้งแต่เดือนมี.ค. – ต.ค.
และจะเปิดให้บริการในช่วงหน้าหนาว พ.ย. – ก.พ. แต่ร้านอาหารภูภิรมย์เปิดให้บริการปกติ

ติดต่อสอบถาม : โทร 053 172 870
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/boonrawdfarm

ดอยผาตั้ง

เราใช้เวลาอยู่ไร่บุญรอดราวๆ หนึ่งชั่วโมงเต็ม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “เห้ย พี่จะถึงเชียงรายประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ นะ”
พี่ไผ่ที่จะบินตามมากำลังจะขึ้นเครื่องตามมาสมทบให้ครบวง ระหว่างนี้เราคงต้องหาร้านอาหารทานข้าวไปพรางๆ เพื่อรอพี่ไผ่
จะพูดไปก็ไม่ใช่ครับ คือตอนนั้นหิวโคตรๆ ตั้งแต่เช้าจนมาถึงตอนนี้เราเดินทาง และเดินเล่นมาตลอดจนแรงเหลือน้อยแล้ว
พี่สองแถวขับเข้าเมืองและแนะนำร้านอาหารชื่อดังให้เราอยู่ร้านหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด ร้านนั้นคือ “สลุงเงิน”  ร้านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมือง
บรรยากาศท่าทางจะโอเคเลยทีเดียว ถ้าเป็นตอนกลางคืนน่าจะชิวเลยไม่น้อย เราเดินเข้าไปก็พบกับความเรียบง่ายและคลาสสิคของร้าน
พื้นเป็นกระเบื้องสีน้ำตาลปูติดกัน โต๊ะเป็นสีดำ เรียงรายพร้อมที่จะต้อนรับแขกผู้น่ารักอย่างพวกเรา
(สึส! ทำไมสีกระเบื้องกับสีโต๊ะไม่ตรงกับในรูปที่เมิงถ่ายมาเลยฟร๊ะ!!)
เราหยิบเมนูขึ้นมาเพื่อสั่งอาหาร…
ว้าว อาหารแต่ละอย่างน่าทานมากๆ มีแม้กระทั่งอ่อมกบ เราสั่งเมนูเด็ดๆ หลายเมนูเลย
อาหารแนะนำของร้านนี้จะเป็นอาหารเหนือและอาหารป่า รูปร่างหน้าตาหน้าทานมากกก…
ผมจำไม่ได้ว่าสั่งอะไรไปบ้าง แต่อาหารมื้อนั้น ก็ทำให้เราอิ่มหนำสำราญไม่น้อย…

เรา Bills เสร็จ ก็ออกจากเมืองไปสนามบินเพื่อไปรับพี่ชายอีกคนที่ Airport เราต้อนรับพี่ชายคนนั้นเหมือนดารา
มีป้ายไฟที่ทำมาจากไอแพด มีการยืนต้อนรับเหมือนเค้าเป็นคนสำคัญ
มีการเก็บภาพเคลื่อนไหวยังกะคนสำคัญที่เดินท่ามกลางพรหมแดงในฮอลีวู๊ด
โอ้ววววว… มันช่างน่าภูมิใจจริงๆ นะครับเพื่อนๆ (สึส! กุอาย)
หลังจากที่พวกเราทั้งเก้าพร้อมหน้าพร้อมตา
ก็ถึงเวลาที่จะบุกไปดมกลิ่มดิน ลม ฝน ที่ดอยผาตั้งกันแล้วหล่ะครับ : )

เพื่อเพิ่มบรรยากาศ เราเอาช้าง เอาเสือและสิงห์ขึ้นมาบนรถด้วย
แปลกดีที่เสือ และสิงห์ไม่ทำร้ายเราเลย มันเพียงแค่นั่งยองๆ และจ้องหน้าพวกเรายามที่เราจับมันชนกัน
ช้างเสือสิงห์ที่ว่าคือตัวนำพาความสุขชั่วคราวแก่เรา ใช่ครับ เบียร์นั่นเอง
เราจิบเบียร์เคล้าคลุ้งคุยโขมงกันไปจนถึง อ.เทิง ซ้ายไปดอยผาตั้ง ขวาไปภูชีฟ้า เราเลือกไปทางซ้าย
ถนนหนทางเริ่มดูเรียบง่ายและปราศจากรถที่มากมายอย่างเมืองกรุง

ระหว่างทางสองทิวฝั่งจะพบกับธรรมชาติที่สวยงามไร้ที่ติ บวกกับอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ เมื่อขึ้นสู่ที่สูง
บ้างเป็นไร่ข้าวโพด บ้างเป็นสวนผลไม้สลับกับหมู่บ้านเล็กใหญ่ของชุมชนนั้นๆ
เราหยิบกล้องวีดีโอขึ้นมาเก็บเรื่องราว สาวเอากล้องตัวใหญ่มาเก็บภาพความประทับใจ
อดไม่ไหวที่จะต้องปีนขึ้นไปบนหลังคา เพื่อรับพลังจากธรรมชาติให้ได้มากที่สุด
รถจอดข้างถนน ไม่มีผู้คนอื่นใด นอกจากพวกเรา

เราเดินทางขึ้นไปพร้อมเปิดเพลงผ่านลำโพงบลูธูทสร้างบรรยากาศ
ไม่ถึงร้อยขั้นก็เจอกับพระองค์หนึ่งอยู่บนเขา
เราเข้าไปกราบไหว้และขอให้ทริปนี้เดินไปอย่างปลอดภัย
เดินต่อไปไม่ไกลก็จะเห็นป้ายนำทางไปเขาช่องขาด
ระหว่างทางหมอกลงจัด ทางเดินลื่น ฟ้าเริ่มลืมไปแล้วว่าเคยมีดวงอาทิตย์เป็นเพื่อน
แต่ก็ยังพอมีแสงบางเบาที่ลอดผ่านหมอกเมฆนำทางเรามาจนถึงช่องขาด

เขาช่องขาดจะเป็นหินใหญ่ๆ ก้อนหนึ่งที่แตกออกจากกัน มีพื้นที่ที่สามารถให้คนไปยืนติดกันได้ 5 คน
เราเดินเข้าไปในตัวเขาที่ขาดออกจากกัน พอเดินไปจนสุดทางก็จะพบว่าเป็นเหวลึก
เรามองไม่เห็นอะไรนอกจากหมอกและหมอก
สายลมพัดผ่าน ตีหน้าเราเบาๆ พร้อมจับมือพาหมอกเดินออกไปจากตรงนั้นชั่วครู่
ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นฝั่งประเทศลาวที่ วิวที่เห็นคือภาพที่สวยงามตามระเบียบจากที่สูงมองลงที่ต่ำ
เราเห็นเส้นน้ำโขงเลื่อยคดโค้งแบ่งเส้นเขตแดนประเทศ
นี่เราอยู่ใกล้ประเทศเพื่อนบ้านเราสินะ
เราไม่สามารถใช้กล้องถ่ายรูปมาเก็บภาพความประทับใจได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นเพราะตอนนั้นแสงไม่เหลือแล้ว
แต่ภาพมุมนั้นยังคงอยู่ข้างหลังเรตินาร์เราอย่างไม่ลืมเลือน…

ถอยจากเขาช่องขาดก็ต้องรีบไปยังจุดสูงสุดบนดอยผาตั้ง เราเปิดแฟลชจากมือถือเพื่อเป็นแสงส่องทางให้เรา
บางคนลื่นลม บางคนหนาว บางคนกลัวความมืด แต่เราก็ยังช่วยกันและพยุงกันไปจนถึงตีนเขาลูกสุดท้าย
เราใกล้จะถึงที่หมายแล้ว อีกไม่กี่ก้าว เราจะไปตีระฆังดังก้องให้โลกรู้ว่า
ฝ่าเท้าสองข้างของเรา เคยมาเหยียบแผ่นดินบนยอดเขาที่เรียกว่า “ดอยผาตั้ง”

ด้วยความมืดที่บดบัง บวกกับดวงจันทร์ก็มาเยือน หมอกหนาๆ ก็เลื่อนเข้ามาหาเรา
ข้างบนเริ่มหนาว เปียกและแฉะจากหมอกและไอน้ำ ทางเดินลื่นและอันตราย
ทางขึ้นเริ่มชันจนทำให้เราไม่อยากไปต่อ เราหันหลังกลับและบอกกับตัวเองว่า
ปีหน้าเด่วกุมาใหม่ ปีนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน เพื่อนๆ หลายคนเสียใจมาก
บางคนถึงกับนั่งยองๆ ร้องไห้ว่าทำไมถึงไม่เดินขึ้นไปต่อ
อีกไม่กี่ก้าว เราก็จะเดินขึ้นไปถึงแล้วเชียว จากความสามัคคีเลยแตกเป็นสองฝั่ง
ฝั่งหนึ่งอยากกลับ ฝั่งหนึ่งอยากขึ้น เราทะเลาะกันจนกระทั่งเกิดความรุนแรง
ผมต่อยหน้าพี่ทิมให้หยุดบ่น และชกหน้าพี่จูนให้เลิ… เมิงจะบ้าหรอ!!!
จริงๆ แล้วเราเดินกันต่อครับเพื่อนๆ
อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงจุด Check in ที่เราเฝ้าฝันแล้ว ผมรีบวิ่งนำเพื่อไปเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก
ถรุ๊ยส์! ดอยผาตั้งพอเมิงงง…
หลังจากที่ผมอยู่จุดที่สูงกว่าใครเพื่อน ผมเลยถ่ายภาพๆ หนึ่งเก็บไว้
เพราะภาพที่ผมเห็นตรงหน้าตอนมองย้อนลงมา มันสวยงามเหลือเกิน…

บ้างตะโกนเพราะสะใจ บ้างนอนตายเพราะกายช้ำจากการชกต่อยเมื่อครู่นี้
ย๊างงง… เมิงยังไม่หยุดอีก
บรรยากาศตอนนั้น มันฟินจนไม่สามารถสาธยายผ่านมาเป็นตัวอักษรได้
คุณคงต้องไปสัมผัสด้วยตัวคุณเอง เราตีระฆังดังก้องเพื่อ Check in
และถ่ายรูปสองสามใบไว้เป็นที่ระลึก เอิ่ม… ไม่ใช่สิ “ร ะ ทึ ก” มากกว่า

ภูชี้ฟ้า

คืนนั้นเรากลับลงมานอนที่ตีนเขา Booking ที่พักชื่อ “เฮือนดอกเสี้ยว” ที่พักจะเป็นบ้านสองชั้น
คิดหัวละ 500 บาท รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น ที่พักสะอาดตาดีครับ
เป็นที่นอนติดกันสามารถนอนได้ชั้นละ 5 – 6 คน รวมๆ แล้วบ้านหลังหนึ่งก็นอนได้ประมาณ 10 คน
มีห้องน้ำสองห้อง เครื่องทำน้ำอุ่น ไม่มีแอร์ เพราะข้างบนนั้นอากาศเย็นตลอดปีครับ
หลังจากที่เราเคลียธุระส่วนตัวและทานข้าวกันเสร็จ ก็ต้องวงช็อทกันเพื่อดับความเย็น
ช๊อทไปช๊อทมาอากาศมันร้อนต้องถอดเสื้อหนาวกันออกเลยทีเดียว (ช๊อท = shot คือการกิน vodka เพียวๆ)
คืนนั้นเราหลับไปด้วยอาการเหนื่อย หนาว และเมาๆ นิดหน่อย…

สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก

เราตื่นแต่เช้าตรู่ ตามฬิกาที่ตั้งปลุกเอาไว้ตอนตีห้าครึ่ง
เราจะต้องรีบขึ้นไปบนยอดภูชี้ฟ้าให้เร็วที่สุดเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น
บรรยกาศตอนที่ตื่นมันเย็นจนถึงหนาวเบาๆ เราหยิบข้าวของเพื่อเตรียมตัว
ใส่เมมการ์ดในกลอ้ง เช็คอุปกรณ์ให้ครบ เปลี่ยนเสื้อผ้า
จากนั้นเข้าไปขดตัวอยู่ในผ้าห่มแล้วนอนต่ออย่า… พอเถอะไม!!!

เราตั้งปลุกตีห้าครึ่งก็จริง แต่ตื่นกันหกโมงกว่าๆ เลยหละครับ ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะผมที่แหกแค่ขี้ตา หน้าไม่ล้าง ฟันไม่แปรง
แล้วเข้าไปนั่งหลังรถสองแถว เพื่อเตรียมตัวขึ้นดอยเลย
เมื่อทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา (ตาที่สะลึมสะลือ) ล้อก็หมุน…

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพวกเราก็มาอยู่ตรงตีนภูชี้ฟ้า ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก ภูชี้ฟ้ามันก็คงจะเหมือนกับภูอื่นๆ ที่เคยไปกัน
เราค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ไม่พูดไม่จา ถ่ายรูปเล่นตามประสานักท่องเที่ยวทั่วไป
ไม่นานนักเสียงแหกปากก็เริ่มดังขึ้น เพราะเราเห็นปลายภูอยู่ลิบๆ

ระหว่างที่เข้าใกล้ถึงยอดภู มองไปฝั่งขวาจะเห็นภูเขาอยู่ลูกหนึ่งตั้งอยู่โดดๆ ไม่มีเพื่อน
ผมเดินลงไปคนเดียวโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไร หรือเห็นสิ่งอื่นใดที่แปลกไปจากคนอื่นหรือไม่
แต่ทว่า… การตัดสินใจเดินลงไปของผมคนเดียวในวันนั้น
ทำให้ผมได้ภาพๆ นี้กลับมาโชว์ให้เพื่อนๆ ดูในบทนี้ : )

ผมเดินย้อนขึ้นมา และตามหลังเพื่อนอยู่ท้ายสุด มองไปฝั่งขวาเห็นก้อนหินริมปลายผา
ด้วยความที่อยาก selfie ในที่เสียวๆ และอยากได้ภาพที่มันแปลกตากว่าคนอื่นๆ
ก็เลยตัดสินใจก้าวเท้าออกไป แล้วก็ไปยืนอยู่บนปลายหินก้อนเล็กก้อนนั้น

ข้างหลังคือผืนดินที่ควรอยู่ มีเพื่อนคอยดูอยู่ข้างหลัง
แต่ข้างหน้าคือเหวชัน ที่ตกลงไปก็ไม่รู้ว่าจะกลับขึ้นมาหรือมีชีวิตต่อมั้ย
แต่สุดท้ายผมก็ได้ภาพนั้นกลับมาครับ…

เอาหล่ะ… ถึงเวลาที่เราต้องขึ้นไป check in บนภูชี้ฟ้ากันแล้ว
พอเริ่มก้าว ปลายภูชี้ฟ้าก็ใกล้เราขึ้นมาทุกที เราค่อยๆ บรรจงก้าวที่ละก้าว
ก้าวอย่างระมัดระวัง เพราะบรรยากาศตอนนั้น หมอกเริ่มลง
บดบางดวงอาทิตย์ที่เราตั้งตาคอยที่จะชมอย่างน่าเสียดาย

ไม่นานเราก็ขึ้นมาถึงจุดยอดสุดบนภูชี้ฟ้าแล้วครับ บรรยากาศตอนนั้นมันฟินสุดๆ
มันฟินจนแทบจะหยุดหัวใจที่ร้อนแรงของพวกเราเลยหละ
เราต่างคนต่างรับเอาพลังธรรมชาติ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเรา

จะบอกว่าข้างบนนั้นเน็ตแรงมากๆ ครับ แต่ยกเว้นของ DTAC
ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้อง Check in ข้างบนนั้น
บรรยากาศกลายเป็นแบบสงคมก้มหน้าไปชั่วขณะ
แต่ไม่นาน เราก็กลับมาสู่โหมดรับพลังธรรมชาติเหมือนเดิม
ถ่ายรูปเก็บไว้ สูบอากาศหายใจเข้าไปลึกๆ
และนึกถึงเรื่องดีๆ ตลอดทริป ที่ผ่านมาตั้งแต่วันแรก
คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ขึ้นมาอยู่บนนี้…

เราทิ้งร่างกายไว้บนนี้ราวๆ 1 ชั่วโมงเต็ม ตอนนั้นไม่อยากลงไปเลย มันฟินแบบสุดจริงๆ
หมอกหนาตา บรรยากาศกำลังดี อากาศก็เย็นดีกำลังได้ อุณหภูมิตอนนั้นลงต่ำถึง 17 องศา
แต่ทว่าความชื้นสัมพัทธ์สูงมาก จึงทำให้ตัวเราเปียกปอน เพราะหมอกที่หนารอบตัว
เราตัดสินใจที่กลับลงไป ท่ามกลางการคัดค้านของหัวใจที่อยากอยู่ต่อ
แต่เอาหล่ะ มีพบก็ต้องมีพราก มีเจอก็ต้องมีจากเป็นธรรมดา…

เรากลับไปถึงที่พัก พร้อมอาการคัดจมูกนิดหน่อย ทางรีสอร์ทมีข้าวต้มร้อนๆ ให้เรา
เรากินข้าวต้นร้อนๆ มีไออุ่นๆ ท่ามกลางอากาศที่เย็นแบบสบายๆ
บ้างก็นั่งสนทนา พร้อมจิบกาแฟโอวัลตินร้อนๆ แบบชิวๆ
ตอนนั้นชีวิตเราดีมากจริงๆ ครับ หาเรื่องอะไรที่ไม่ดีไม่ฟินไม่เจอเลย
เราเก็บข้าวของ เช็คอุปกรณ์ให้ครบ และบอกลาเจ้าของรีสอร์ท
ถึงเวลากลับเข้าเมือง เราจะแวะไปบ้านดำกัน…

บ้านดำ

เราย้อนกลับมาเลาะชานเมืองเพื่อมาชมศิลปะยิ่งใหญ่ที่ขัดกันของสองศิลปินชื่อดังอย่าง อ.ถวัลย์ ดัชนี
คนเชียงรายมักมีประโยคติดหูคำพูดติดปากว่า “เฉลิมชัยสร้างสวรรค์ ถวัลย์สร้างนรก” เพราะอะไรหนะหรือ…
ให้ภาพอธิบายเรื่องราวในตัวของมันดีกว่าครับ

เป็นไงบ้างครับ แตกต่างจากแนวของ อ.เฉลิมชัย ฯ อย่างสิ้นเชิง
บ้านหลังนี้จะออก dark dark เหมือนมีสิ่งชีวิตคอยวนเวียนอยู่ในบ้านหลังนี้
ซากสัตว์ หนังสัตว์ เขาสัตว์ อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสัตว์
ถูกจับมาดัดแปลงเป็นศิลปะอยู่ในบ้านหลังนี้แทบทั้งหมด
นอกจากนั้นยังมีสัตว์จริงๆ ที่มีชีวิตอยู่ถูกเลี้ยงไว้ในบริเวณบ้านด้วย
ไม่ว่าจะเป็นงูเหลื่อม นกฮูกเป็นต้น

ห้องน้ำของบ้านดำได้ใจผมมาก เป็นห้องน้ำที่ครีเอทแบบสุดๆ
ภายในตกแต่งไปด้วยเขาวัวควาย แม้แต่ที่เสียบทิชชู่ที่เอาไว้ชำระล้างรูดากเรา
ยังเป็นเขาควายที่มีมูลค่าและมีชีวิตชีวาอย่างที่เห็นในภาพ

ภาพวาดของ อ.ถวัลย์ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้มือและนิ้วตวัดตามความรู้สึก
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ แต่ก็พอจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์และเรื่องราวของภาพบ้าง
เรื่องราวเกี่ยวกับ อ.ถวัลย์ ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลงาน
หรือประวัติที่น่าสนใจอื่นๆ ทุกอย่าง อยู่ใน google ครับ : )

ก่อนกลับผมมีโอกาสได้เข้าไปใน shop บริเวณหน้าบ้าน ข้างในนั้นมีเสื้อผ้าราคาพอสมควร
กระเป๋าหนังสัตว์ราคาเหยียบหมื่น และงานสลักต่างๆ ที่ราคาเหยียบหมื่นเช่นเดียวกัน
มองไปบนฝาผนังก็จะเจอกับภาพวาดหลักแสนหลักล้าน ผมทึ่งในสิ่งที่แกทำมากๆ
เคยได้ยินแต่ชื่อดังผ่านหูมากว่า 23 ปีตลอดอายุที่ผมเกิดมาบนโลกใบนี้
คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มาสัมผัสผลงานของแกจริงๆ
ผมเดินชมผลงานแกไปเรื่อยๆ จนมาเจอรอยประทับแผ่นใหญ่แผ่นนี้…

ให้ตายเถอะ นี่คือโอกาสเดี่ยวที่เราจะได้สัมผัสมือกับศิลปินแห่งชาติ
และระดับโลกอย่างนี้ ผมค่อยๆ แบมือทั้งสองขึ้น แล้วสัมผัสลงไปในรอยประทับรอยนั้นอย่างช้าๆ
พร้อมหลับตาแล้วระลึกถึงศิลปะด้านมืดของอาจารย์ที่สงสารผ่านภาพวาดมาเป็นพลังให้ประชาชนรุ่นหลังอย่างเรา
ให้ตายเถอะ พลังมันจะมหาศาลอะไรมากมายขนาดนี้
ผมรู้สึกเหมือนได้รับพลังงานด้านมืดมาอย่างเต็มๆ
ผมลืมตาที่แข็งกร้าวของผมขึ้น แล้วดึงมือออกจากรอยประทับไปหยิบเขาควายทางด้านซ้ายมือ
ผมเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับเสียงโฮร้องที่คึกคะนอง
บรรยากาศคล้ายกับเปิดเพลงค่ายบางระจัน หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที
ผมก็ใช้เขาควายที่กำแน่นอยู่ที่มือขวา ฟันไปที่กลางหัวแม่ค้าขา… เมิงเพ้อแล้วไอ่สึส!!!

กุไปไกลเหมือนกันนะเนี่ย ๕๕๕

หลังจากที่ผมได้สัมผัสกับรอยประทับมือของ อ.ถวัลย์ สารภาพเลยว่าตอนนั้นไม่รู้สึกอะไร
ธรรมดามาก ไม่มีสิ่งที่ประทับใจเกิดขึ้น แต่มันรู้สึกดีนะ รู้สึกดีแบบแปลกๆ
หลังจากกลับจากทริปนั้นไม่นาน ผมก็รู้สึกประทับใจ และขอบคุณโอกาสดีๆ
ที่อย่างน้อยผมก็ได้ไปสัมผัสกับรอยประทับฝามือของ อ.ถวัลย์ฯ
ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา อ.ถวัลย์ ก็สิ้นลงอย่างน่าใจหาย
ผมขอไว้อาลัยให้กับ ศิลปินแห่งชาติท่านนี้หนึ่งนาทีครับ…

ม.แม่ฟ้าหลวง

เรารีบทำเวลาเพื่อเดินทางไปยังสถานีต่อไปในค่ำคืนนี้ นั่นก็คือ “ดอยแม่สลอง”
แต่ระหว่างทางที่ไป เส้นทางที่ผ่านมันผ่าน ม.แม่ฟ้าหลวงพอดี เราก็เลยแพลนและปรึกษากันว่า
เราขอลงไปดูมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในประเทศซักครั้ง ไปดูว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงรึป่าว
ระหว่างที่เรากำลังคุยโขมงโฉงเฉงรถก็ชะลอลงแล้วเปิดไผเลี้ยวขวา
เราส่องสายตาลอดผ่านเหล็กกั้นสองแถวก็พบว่าอยู่หน้า ม.แม่ฟ้าหลวงแล้ว
พี่สองแถวเร่งคันเร่งอย่างไม่รีรอ ขับเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยที่สุดที่สุดในประเทศ มันร่มรื่นมากๆ
สองฝั่งข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ไม่กี่นาทีเรามองเห็นอาคารใหญ่ๆ อาคารหนึ่งตั้งสง่าอยู่บนที่ราบสูง
และมีบ่อน้ำร่ายล้อมอยู่ข้างหน้าประกอบกับดอกไม้สีสดที่ทำให้มหาลัยดูมีสีสันขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

พี่สองแถวจอดรถ เราเดินลงไปโดยที่ไม่รู้ว่าส่วนไหนคือส่วนที่เค้ามาถ่ายรูปกัน
เราต่างควักมือถือแล้ว search หาสถานที่ที่เราโหยหา และแค๊ปรูปเอาไว้
มองไปข้างซ้ายเห็นนักศึกษารุ่นน้องเอ๊าะๆ ดูท่าทางจะเป็นเฟรชชี่เพราะยังใส่รองเท้าผ้าใบขาวกันอยู่เลย
ผมเดินเข้าไปด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา น้องเค้าก็ยกมือไหว้โดยที่นึกว่าผมเป็นรุ่นพี่มหาลัย
ผมเอารูปที่แค๊ปไว้ไปโชว์น้องๆ และถามว่า ภาพที่เห็นเรียกว่าอะไร แล้วต้องเดินไปอีกไกลมั้ย?
“ลานดาว” ค่ะพี่ เดินขึ้นไปบนอาคารตรงนั้นเด่วก็เห็นเอง…

ช่วงที่เรากำลังเดินไป ก็คุยเล่นคุยหัว วิ่งไล่เตะตูดกัน เราขึ้นไปถึงลานดาว
ขาทั้งสองข้างของผมหยุดลงและก้มลงมองบนพื้น นี่นะเหรอลานดาว มองไปรอบๆ
ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับภาพที่เห็นในรูป แต่มันก็ยังไม่ชัด ยอมรับว่าพนักงานทำสวนที่นี่สุดยอดจริงๆ
ทุกอย่างเป็นระเบียบ เป๊ะเป็นรูปร่างและสะอาดมาก

:: เราก้าวขึ้นบันไดไปในตัวอาคารชั้นสอง
เดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างตื่นเต้น แล้วหันหลังย้อนกลับมาในทิศที่เราเดินเข้ามา
ลานดาวก็ปรากฏออกมาเห็นเห็นอย่างน่ามหัศจรรย์…

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมตวร ก่อนที่จะรีบกลับขึ้นรถ แล้วเดินทางกันต่อ
จุดหมายปลายทางต่อไป คือสถานที่ในฝันของใครอีกหลายคน
“ด อ ย แ ม่ ส ล อ ง” กำลังรอเพื่อจะกล่าวคำทักทายกับเราตอนเราไปถึง…

ดอยแม่สลอง

:: เดินทางมากว่าสองชั่วโมงเราก็มาถึงกิโลเมตรหลักศูนย์ของดอยแม่สลอง
เราจอดรถเพื่อเดินพักตูด น้องๆ ชาวดอยวิ่งเข้ามาขายของให้เรากันยกใหญ่
ด้านข้างเต็มไปด้วยร้านขายชา และของที่ระลึกเต็มไปหมด ทุกร้านจะเขียนว่า
เข้าห้องน้ำฟรี เรายังไม่มีที่พัก ก็เลยไปปรึกษาพี่ๆ ร้านค้าหลายๆ ร้าน
รวมถึงพี่สองแถวด้วย เราเน้นถูก!!! คำตอบของสามสี่คนที่ได้คือ “ซินแซ”

:: จากหลักกิโลเมตรขับตรงไปเรื่อยๆ ราวสองถึงสามร้อยเมตร ก็จะเจอที่พักของเราแล้วหล่ะครับ
ซินแซจะตั้งขวางอยู่ข้างหน้าด้วยป้ายหนาตาใหญ่ๆ เลย รูปร่างคล้ายๆ โรงเตี้ยมชาติจีน
เราเดินลงไปแล้วสอบถามราคาที่พักต่อคืนต่อคนกับพนักงาน
สรุปคร่าวๆ คือคิดหัวละ 100 บาท แต่ต้องนอนกันในห้องเดียว
เราตกลงอย่างรวดเร็ว เพราะราคานี้ ทุกคนพอใจเป็นอย่างมาก

:: เราเข้าไปเก็บสัมภาระ และสั่งอาหารรอล่วงหน้า ทางซินแซรสชาติอาหารถือว่าสุดพอสมควร
เราสั่งขาหมู ผัดฟักแม้ว ผัดไก่ดำ อาหารที่ขึ้นชื่อแทบจะทุกอย่างบนดอยแห่งนี้
ก่อนที่เราจะไปเดินเล่นชมชุมชนแห่งนี้ ก่อนพระอาทิตย์ตก…
เดินไปไม่นานก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ นอกจากเจดีย์สูงใหญ่ที่อยู่ด้านบน
เราเหนื่อย เราขี้เกียจ ก็เลยตกลงกันว่าไม่เดินขึ้นไปหละ
อีกอย่างไม่ค่อยเน้นวัดวาอารามกันด้วยอยู่แล้ว เรามันสายมืด
เพราะตอนไปบ้านดำ สายมืดมันเข้ามาอยู่ในเลือดแบบเต็มหลอด
ทันใดไหนก็เดินเข้าไปในบ้านคนคนหนึ่ง หยิบเขาควายติดมือมา
แล้วเอาเขาควายไปฟาดลงตรงกลางหน้าเจ้าของบ้านหลังนั… เมิงยังไม่จบอีก!

เราไม่ไปดูเจดีย์ครับ ก็เลยเดินเล่นวนมันอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ จนไปเจอเด็กกลุ่มหนึ่ง
เล่นบอลกันอย่างสนุกสนาน น้องครับพี่เล่นด้วยได้มั้ย…

:: ดูน้องๆ จะมีความสุข แต่เราก็ขอยอมแพ้เพราะเหนื่อยๆ มากๆครับ
เดินทางมาตลอดทั้งวัน แล้วยังจะต้องวางแผนทริปพรุ่งนี้ต่ออีก
เราบอกลาน้องๆ และก็เดินกลับไปที่ซินแซ ไปทานอาหารที่เราได้สั่งเตรียมไว้
จังหวะนั้นบอกเลยว่าไม่ถ่งไม่ถ่ายมันแล้วครับรูป หิวมากๆ ๕๕๕

:: หลังจากที่เราปล่อย Free time บางคนก็นั่งดริ๊งค์ตั้งวงกันอยู่ในห้อง
บางคนก็เดินออกจากที่พักมาชมเมืองยามค่ำคืน หนึ่งในนั้นคือผม
อุณภูมิตอนนั้น 22 องศากำลังดี เราไปเจอร้านๆ หนึ่งเข้าให้

:: ชิงซือไต้เบอเกอรี่ เป็นร้านทำขนมปังเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากที่พักเรา
เราเข้าไปนั่งในร้านสั่งนมร้อนและปังปิ้งมากิน พรางนั่งชิวและถ่ายรูปเล่นกันไป
บรรยากาศมันพาไปก็สั่งสปายมากินสองสามขวด แล้วนั่งยาวถึงสี่ทุ่ม
ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของร้าน ก็รู้สึกประทับใจในตัวของน้าแกดี
แกเป็นคนไทยเชื้อสายจีนนี่แหละ เหมือนคล้ายๆ ว่าบนดอยแม่สลอง
จะใช้ภาษาจีนสื่อสารซะส่วนใหญ่ อันนี้ผมก็ไม่มั่นใจนะ
แกเล่าว่า แต่ก่อนแกก็เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ทำได้ซักพักก็รู้สึกว่า ทำไปเพื่ออะไร
รู้สึกว่าไม่ชอบกับสิ่งที่เป็นอยู่ ก็เลยกลับมาที่บ้านเกิด
เพราะคิดว่าอยู่ที่นี่แหละ ชีวิตคงจะมีความสุขไม่น้อย
ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร ไม่ต้องใช้เงินมาก
น้าอยู่ที่นี่ น้ารัก น้าจะใช้ชีวิตที่นี้กับแฟนของน้าไปจนตายเลยหละ

เรารู้สึกอิจฉาลุงนะ ที่ลุงมีบ้านอยู่บนนี้ และก็มีอาชีพเล็กๆ ที่พอเลี้ยงชีพตัวเองได้
แกบอกว่าแกมีลูกชายด้วย หล่ออีกต่างหาก แกคงภูมิใจอะนะ
หาตังส่งให้ลูกเรียนมหาลัยในกรุงเทพได้ ทุกครั้งที่แกพูดถึงลูก
สายตาแกจะมีความภาคภูมิใจเปล่งประกายออกมาทุกครั้ง
ลุงจบบทสนทนาว่า ถ้ามีโอกาส ให้หน้าหน้าหนาวนะ…

:: เมื่อคืนนอนหลับฝันดีมากครับ เรารีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะไปจ่ายตลาด
ตักบาตรทำบุญตามประสานักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป ตลาดเช้าที่นี่มีอะไรแปลกๆ ขายเต็มเลย
เราแวะชิมนู้นชิมนี่ไปเรื่อยๆ บางทีก็คุยกับแม่ค้าไม่รู้เรื่อง เพราะบางคนพูดไทยไม่ได้
เดินอยู่ซักครู่ กินอยู่ซักแป๊ปก็เห็นจีวรเหลืองอร่ามเดินเข้ามาในตลาด
ไม่รอช้าที่จะหาของตักบาตรทำบุญกันครับ…

:: เลื่อนสายตาย้อนกลับไป มีพระสองรูปจีวรออกดูสีแดงน้ำตาล
และไม่ค่อยมีคนมาใส่บาตรให้ ก็เลยถามชุมชนที่นั้นว่า ทำไมหรอ
อ่อ… เป็นพระ 2u349@!#@$ (ผมจำไม่ได้ว่าเป็นนิกายหรืออะไรยังไง)
แต่เอาเป็นว่า พระสองรูปนั้น จะไม่รับเนื้อสัตว์ จะรับแค่ผักกับผลไม้เท่านั้น

พี่จีคือตัวแทนของกลุ่มเรา เดินเข้าไปตักบาตรด้วยผักและผลไม้
เช้าวันนั้นเป็นอีกเช้าหนึ่งที่ชิว และทำให้เราได้เข้าถึงกับบรรยากาศ
รวมถึงวิถีชีวิตของคนบนดอยแม่สลองมากขึ้น…

สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สอง

ไร่ชา101

:: น้องจะไปไร่ชากี่โมงครับ ถ้าไปสายเด่วแดดจะออก ไร่ชาจะม่สวยนะครับ
เรารีบบอกทุกคนให้กลับไปที่รถ พร้อมกับหิ้วถุงขนมและข้าวของที่กำลังกินติดมือมาด้วย
ใช่ครับ ไร่ชา101 รอเราอยู่ เราขับตรงไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้าน ผ่านไร่ชา ผ่านทิวเขาที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้และสายหมอก
ไม่ช้าไม่นาน ก็เจอป้ายไร่ชาทางฝั่งซ้าย สองแถวที่ไฟเลี้ยวขวาเข้าไปจอดข้างในไร่

:: ไม่รอช้ารีบวิ่งลงไปเก็บภาพไร่ชาประมาณร้อยกว่ารูป เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักใหญ่
ถ่ายก็ถ่าย แกล้งกันก็แกล้งไป ภาพบางภาพที่ออกมาเป็นทั้งแบบที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
แต่ทุกภาพที่ได้มา เมื่อเปิดกลับมาดูอีกครั้ง ยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย…

:: การถ่ายรูปถอดกางเกงหันหลัง กลายเป็นสัญญลักษณ์ของทริปนี้ไปซะแล้ว
คราวที่แล้วไปทำไว้ที่ดอยผาตั้ง คราวนี้ก็เลยขอมาทำที่ไร่ชา101 บ้าง จะเป็นไรไป
ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเหนี่ยว ก็บอกให้ผู้หญิงหันหลังกลับไปให้หมด
ให้เหลือแต่ผู้ชายที่จะกดถ่ายและคนที่จะคอยจัดแสงจัดฉากเท่านั้น
ระหว่างที่เตรียมตัวกดปุ่มชัตเตอร์ เรานับถอยหลัง 3 2… แต่ระหว่างนั้น ก็มีมือดี
ดึงกางเกงในผมลงมา ภาพที่ได้ก็เลยเป็นภาพที่สวยงามอย่างที่เพื่อนๆ เห็นกันนิหละครับ

(บอกตรงๆ กุดูเอง กุยังจะอ๊วกเลย ๕๕๕)

:: เสร็จจากการชมไร่และถ่ายรูป เราก็ดิ่งไปที่ shop ของไร่ชา ไปชิม ชาอู่หลง
และชาหลากหลายพันธุ์ หลายชนิดที่ทางไร่มีมาจำหน่าย เราจิบชาไป คุยกันไป
ชิมมันให้หมดทุกอย่างที่ทางร้านมีให้ชิม บางคนได้ของฝากกลับบ้าน บางคนก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่
เราเดินออกจากไร่ชา101 แบบมึนๆ งงๆ ช่วงที่เราไป ไม่มีกรุ๊ปไหนมาเที่ยวเลย มีแค่เรา และเรา

:: เรารีบเก็บของออกจากที่พัก เพื่อที่จะไปจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้
ดึงผ้าห่มออกเอาหมอนขึ้น เห้ย พวกเมิงลืมอะไรกันรึป่าว เช็คให้ดีๆ นะเว้ย
ระหว่างที่ทุกคนเก็บของกันครบ และพร้อมที่จะก้าวออกจากบ้านหลังนี้
ก็เกิดศึกดวลหมอนและผ้าห่มกันขึ้นอย่างเมามันส์อย่างในภาพนิหละครับ ๕๕

:: หลังจาก Check out เสร็จ เราก็ออกเดินทางไปยังร้านเบเกอรี่แห่งนั้นอีกครั้ง
เพื่อไปซึมซาบบรรยากาศดอยแม่สลองให้เต็มที่ก่อนที่จะลงไปข้างล่าง
เราสั่งนมร้อน ของร้อน มากินกัน รสชาตินมร้อนที่นี่มันทำให้ผมลืมนมร้อนที่อื่นๆ ไปเลย
ผมสั่งนมน้ำผึ้งร้อนมา 1 แก้ว น้ำผึ้งที่นี่เค้าจะใช้น้ำผึ้งแท้จริงๆ ครับ
บางทียังเป็นไขอยู่เลยก็มี ผมค่อยๆ บรรจงตักน้ำผึ้งใส่นมครั้งละครึ่งช้อน
คนและชิมจนรู้สึกว่ามันพอดีแล้ว และก็นั่งจิบนมร้อน ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายสมกับที่อยู่บนดอย

:: เราทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้คุณน้า และก็ผลัดกันเขียนโปสการ์ดให้กันทุกคน
รวมถึงให้คนครัวและคุณน้าเขียนให้เราด้วย เราจะส่งโปสการ์ดใบนี้ กลับไปที่บ้านของเรา
จะได้รู้ว่า ครั้งหนึ่ง เราเคยมาแม่สลองกับเพื่อนแปดเก้าคน ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆ ขอบคุณที่ทำให้ทริปนี้สดใสทุกๆ ครั้งที่ได้ทำอะไรด้วยกัน

:: ถ้าตอนนี้เรากำลังเรียนอยู่ นี่ก็คงเป็นอ๊อดเตือนว่าหมดเวลาเรียนวิชาสุดท้ายแล้ว
เวลาสำหรับดอยแม่สลองมันหมดลงแล้วครับ พวกเรากลับขึ้นรถอีกครั้ง และบอกลากับคุณน้าทั้งสอง
พี่สองแถวสตาร์ทเครื่องใส่เกียร์ถอยหลัง และถอยลงดอยตกลงไปในหุบเข…. สึส!
พี่สองแถวสตาร์ทเครื่องใส่เกียร์หนึ่ง และค่อยๆ ปล่อยให้รถลงดอยตกลงไปในหุบเข… ไอ่สึส!
พี่สองแถวสตาร์ทเครื่องใส่เกี่ยร์หนึ่ง และค่อยๆ เหยียบคันเร่ง และขับออกจากดอยแม่สลองไปอย่างช้าๆ
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนคงอยากกลับมาที่นี่อีก เราประทับใจในสถานที่แห่งนี้มาก
ระหว่างที่รถกำลังแล่นออกไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเสียงตะโกนบอกให้รถเรา “หยุด!”

“น้องๆ มีฝรั่งสี่คน จะขอลงไปข้างล่างด้วยได้มั้ย….?” หึหึ

ไร่ชาฉุยฟง

:: ฝรั่งสี่คนเดินเข้ามาที่รถของเรา เราช่วยยกสัมภาระทั้งสี่ใบขึ้นรถ อัดเข้าไปในสุดของสองแถว
พรางตรวจสอบดูว่ามีของมีค่า เอ้ย! มีของอะไรสูญหายหรือลืมไว้ก่อนออกเดินทางหรือไม่
เมื่อเราพร้อมแล้ว ก็ให้พี่สองแถวเหยียบคันเร่งให้มิด ชิ่งออกไปพร้อมกับสัมภาระสี่ใบของฝรั่งทั้งสี่คน
แล้วปล่อยให้พวกมันยืนงงอยู่ตรงนั้น… คือเมิงเลวมาก!!!

จริงๆ แล้วเรานิสัยดีกว่านั้นครับ เราอัดของเข้าไปในสุดของสองแถว ทุกคนเขยิบตูดเข้าไปข้างใน
เพื่อให้มีพื้นที่นั่งมากขึ้น แต่พี่ทิมพี่ไผ่ต้องโหนสองแถวกันไปเหมือนลิงเก็บลูกมะพร้าวที่ภาคใต้
เราเริ่มยิงบทสนทนาเพื่อทำความรู้จักกันมากขึ้น  ผมยิงคำถามแรกไป where’s your name? (ฝรั่งงง)
ผมถามเน้นๆ ไปอีกครั้ง where is your name? แน๊ะ! ทำไมหยิ่งแบบนี้หว่ะ กุถามชื่อแม่มก็ไม่ตอบกุ
เด่วแม่มถีบลงรถเลยแสสสส เมิงๆ เมิงถามเค้าว่า “ชื่อคุณอยู่ที่ไหนอะ” อ่อๆ I’m so sorry What’s your name? my name is Mike
พวกเราก็ผลัดกันถามสองสามประโยค จนจับใจความได้ว่า เค้ามา internship ที่ไทย for six months
He came from ฝรั่งเศส. He let his family  travel here cause they got long holiday he lo… เมิงจะพิมไทยสลับอังกฤษเพื่อ!

เอาเป็นว่าเรารู้จักกันแล้วหล่ะครับ ระหว่างที่คุยโม้โอ้อวดบ้านเมืองของเค้าบ้านเมืองของเรา
ไม่นานก็เห็นป้ายไร่ชาฉุยฟงข้างทาง เค้าบอกว่า แม่เค้าอยากมาที่นี่มาก ถ้าไม่มีพวกคุณ ไม่รู้จะได้มาที่นี่รึป่าว
ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจจัง ที่อย่างน้อย ก็ทำให้ครอบครัวๆ หนึ่ง มีความสุขเล็กๆ ไปอีกหนึ่งวัน

:: อากาศร้อนมาก เพราะเราไปถึงเกือบเที่ยง ผมขี้เกียจเดินไปเล่นกับไร่ชาแล้วหล่ะ
ตอนนั้นมันร้อนเหี้_ๆ เลยไปสั่งเค้ก สั่งของกินเล่นจากทางร้านนั่งชิวกินลมไปพรางๆ
เค้าบอกว่า ถ้ามาไร่ชาฉุยฟง ต้องกิน เครปเค้กชาเขียว เค้กชาเขียว และก็น้ำชาเชียว
เราสั่งทุกอย่างที่เค้าแนะนำครับ พอไปถึงหน้าเคาน์เตอร์ก็มีเมนูแนะนำอีกอย่าง นั่นก็คือ green tea toast
ไหนๆ มาที ก็เลยจัดมาให้เต็มที่ อาหารทุกอย่าง หน้าตาก็เหมือนในภาพที่เห็น เป็นไงบ้าง น่ามั้ยหล่ะคร๊าบบบบ…

:: สุดท้ายก็อดที่จะลงไปหยอกล้อล้อเล่นกับเพื่อนๆ ในไร่ชาไม่ได้
เอาว่ะ ไหนๆ มาถึงแล้ว ก็ลงไปถ่ายรูปเล่นกับไร่ชาที่เค้าว่าสวยที่สุดในประเทศไทยกันซะหน่อย

:: ก่อนกลับเราแวะตรงจุดจอดที่หนึ่ง
ที่จะมีป้ายไร่ชาและมีแบ๊คกราวน์เป็นไร่ชาสุดลูกหูลูกตาปลายเส้นขอบฟ้าเพื่อถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสทั้งสี่คน
เรากำลังจะกลับไปสู่ชีวิตจริงที่เราเคยหลบมันมา วันหยุดของเรามันหมดแล้ว มันเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง
วันนี้คือวันสุดท้ายที่เราจะเป็นอิสระ และพรุ่งนี้คือวันที่เราต้องไปตอกบัตรเข้างานเหมือนทุกเช้าที่เคยทำ…

สรุปค่าใช้จ่ายวันสุดท้าย

แล้วเจอกันใหม่

:: เรากลับถึงเชียงใหม่ด้วยร่างกายที่เหนื่อยหล้า แรงบันดาลใจมันหมดไปต่างจากขามา
มันเหมือนทุกอย่างถูกปล่อยไปสุดๆ กับทุกที่ที่เราได้ไป ก่อนกลับเราไปกราบไหว้บรรพบุรุษสำคัญของเมืองเชียงราย
แวะไปส่งพี่เบลเข้าที่พัก พี่เบลต้องไปเชียงใหม่ต่อ สำหรับพวกเราที่เหลือรวมถึงฝรั่งอีกสี่คนก็ไปสุดซอยกันอยู่ที่ บขส.
เริ่มจากตรงไหน เราก็ไปจบที่นั้นเหมือนอย่างเช่นเคย ฝรั่งสี่คนเหมือนว่าอยากจะทัวร์ต่อ
พวกเราก็เลยอนุเคราะห์ช่วยเหลือต่อราคาค่ารถให้ ชกมือ Say bye แล้วบอกว่า See you next trip
ด้วยความอ่อนหล้าเพลียแรง เราไปที่จุดจอดของสมบัติทัวร์ ไปล้างหน้าแปลงฟัน
เตรียมตัวเตรียมใจที่จะกลับไปใช้ชีวิตจริงในแบบของมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง…

:: ระหว่างที่เราใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน พวกเราก็มีนัดเจอกันบ้าง นัดเที่ยวกันบ้าง นัดกินข้าวกันบ้าง
รวมถึงไอ้เจ้าฝรั่งผมทองคนนั้นด้วย จนกระทั่งเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมกับฝรั่งคนนั้น ได้กลับมาร่วมทริปผจญภัยกันอีกครั้ง
และทริปครั้งล่าสุดทริปนั้นก็คือการล่องแก่งที่โหดที่สุดในประเทศไทยบนสายน้ำที่เรียกว่า “ว้า”

ขอบคุณครับ
16 ตุลาคม 2557
รามอินทรา
Exit mobile version