Road Trip จอร์เจีย 8 วัน 7 คืน ด้วยเงิน 25,000 บาท [รวมตั๋วเครื่องบิน]

ดีใจมาก ๆ ที่ได้มาประเทศนี้สักที เอาเข้าจริง ๆ มันคือทริปปึบปับที่สุดเท่าที่เคยเที่ยวมา เพราะทุกอย่างตัดสินใจก่อนไปเพียง 1 อาทิตย์ และตอนนั้นเป็นช่วงโควิดที่ต้องทำเอกสารเยอะแยะตาแปะไก่มาก ๆ ทั้งจองตั๋วบิน ทำเรื่องของ International License, Vaccine Passport ไหนจะพี่สาวที่ต้องทำ Passport ใหม่อีก แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ใครที่กำลังอ่านรีวิวฉบับนี้ สถานการณ์ท่องเที่ยวระหว่างไทยกับเจอร์เจียเรื่องเข้าออกประเทศทั้งไปและกลับคงปกติแล้ว เลยจะตัดเรื่องพวกทำเอกสารโควิดออก แล้วจะเล่าแค่เรื่องของการท่องเที่ยวในจอร์เจียแบบเนื้อล้วน ๆ

ก่อนเริ่มเรื่องต้องบอกงี้ ทุกที่บนโลกมันมีฤดูการท่องเที่ยวของมัน อย่างช่วงที่เราไปในรีวิว คือเดือนเมษายน ช่วงที่กำลังจะออกจากฤดูหนาวบ้านเค้าแล้ว ภาพที่ได้เลยจะมีหิมะปกคลุมมาด้วย แต่เพื่อน ๆ สามารถดูฤดูการแนะนำสำหรับการเที่ยวเจอร์เจียผ่านทางนี้ได้เลย Link: https://www.palapilii.com/archives/20545

จองตั๋วเครื่องบิน

ทริปนี้เราจองตั๋วเครื่องบินผ่าน Traveloka เป็น Travel & Lifesyle Super App ที่เต็มไปด้วยกิจกรรม รถเช่า ที่พัก บลา ๆ ที่ชอบโดยส่วนตัวคือสะอาดตา หาราคา เปรียบเทียบราคาง่าย เรากดมาได้ 17,500 บาทต่อคน เพื่อน ๆ สามารถจองผ่าน https://www.traveloka.com/th-th/flight/to/Tbilisi.TBS ได้เลย

แต่ทุกอย่างก็ต้องเผื่อไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่ามาตรการโควิดจะเคร่งครัดขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ ก่อนไปก็ควรเช็กสถานการณ์แต่เนิ่น ๆ ผ่านทาง Traveloka ได้เช่นเดียวกัน: https://www.traveloka.com/th-th/flight/safe-travel และมากไปกว่านั้น หากไม่ใช่จอร์เจีย แต่อยากไปต่างประเทศที่เป็นที่อื่น พวกยูก็สามารถที่จะบทความรีวิวผ่านเพจเราได้เลย หรือจะเข้าไปที่ Travel Global ของ Traveloka ที่รวมรวิวจาก Blogger หลายท่านอยู่ในนี้ ก็ดีไม่น้อย

จองรถเช่า

ต้องบอกว่ารถเช่าของที่นี่ ราคาดีมาก ๆ ในกรณีที่คุณสื่อสารภาษาอังกฤษได้อยู่แล้ว สามารถติดต่อผ่านทางเจ้าของรถเช่าได้ในกลุ่มเที่ยวจอร์เจียทาง facebook ได้เลย แต่ถ้าเอาไว้ เอาง่าย คุยสะดวก ทาง GoTravel เค้ามีดีลกับเจ้าของรถคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว ราคาเริ่มต้นเพียงวันละพันบาทก็มี แล้วได้รถดีอีกด้วย อย่างไรก็ตามลองติดต่อไปดูครับ

ซึ่งรถที่แนะนำสำหรับทริปจอร์เจีย ควรเป็น 4×4 หรือไม่ก็ที่มันสมบุกสมบันหน่อย เพราะถนนที่นี่ค่อนข้างแย่เลยล่ะในบางพื้นที่ ซึ่บไอ่ถนนที่แย่ ๆ นี่แหละ เราจะไปแน่นอน อย่างเช่นทางไป Mestia หรือทางไป Ushguli เป็นต้น

อันนี้ตัวอย่างรถเรานะครับ เป็น Subaru ตัวนี้ไม่ใช่ 4×4 แต่ใช้ดีพอตัว เน้นช่วงท้องรถยกสูงหน่อยเป็นพอ

จองที่พัก

สำหรับผม ที่พัก ผมใช้ Traveloka แล้วจองแบบ วันต่อวันครับ ไม่ได้จองทั้งหมดก่อนมา คือสมมติว่าจะพัดคืนพรุ่งนี้ ก็หาที่พักวันนี้อะไรแบบนั้น หรืออย่างกระชั้นสุด คือพักคืนนี้ หาบ่ายนี้เลย หรืออย่างแบบเที่ยวเพลิน ๆ ลืมจองที่พัก ก็เดินเข้าไป Walk in ถามราคา อันนี้ก้จะถูกลงมาหน่อย แต่ก็เสี่ยงห้องพักเต็ม

เรื่องที่พักเราจะไม่ขอพูดเยอะ เพราะแต่ละคนจริตไม่เหมือนกัน และแต่ละโซนมันก็ดีคนละแบบ ถ้าจะให้แนะนำมันก็ดูเหมือนว่าจะตีกรอบตัวเลือกมากไป เอาเป็นว่า เปิดใน Traveloka หรือ Booking อื่น ๆ แล้วดูด้วยตัวเอง จริตเราบอกว่าอันไหนดี ก็อันนั้นเลย แต่เด่วที่พักของเรา เราจะโชว์ให้ดูตามวันต่าง ๆ ที่เราเข้าพักนะครับ มา ไปต่อกันเลย

ข้อควรรู้ก่อนเดินทาง

ก่อนที่จะเดินทาง ผมได้ทำบทสรุปประเทศนี้คร่าว ๆ มา 40 ข้อ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน อย่างไรก็ตามสามารถตามไปอ่านกันได้ที่ลิ้งค์นี้เลย https://www.palapilii.com/archives/20556 น่าจะช่วยเพื่อน ๆ ตัดสินใจได้เยอะมาก ๆ แนะนำให้กดอ่านก่อนที่จะเลื่อนไปอ่านข้างล่างต่อ

แผนการเดินทาง

ต้องบอกว่า หลัก ๆ ทริปนี้เราทำ Road Trip มีเวลาแค่ 8 วัน 7 คืนที่ใช้ชีวิตอยู่ในจอร์เจีย อันนี้ไม่รวมช่วงเดินทางจากไทยมานะ เอาแบบจขำนวนวันที่อยู่ในจอร์เจียเน้น ๆ เลย ซึ่งก็ทำแผนการเดินทางและค่าใช้จ่ายไว้ใน Excel File สามารถเข้าไป Load หรือขอแผนท่องเที่ยวจอร์เจียผ่านทาง Line@ ได้ที่: https://lin.ee/9jxIX2f จะมีข้อความอัตโนมัติเด้งโชว์ลิ้งค์ขึ้นมาให้เพื่อน ๆ ได้กด save file กัน

ROAD TRIP GEORGIA

DAY 0 – TRANSFER TO BAHRAIN

ก่อนเริ่มเรื่อง ต้องบอกว่าเราหาตั๋วถูกมาครับ ซึ่งจองได้เพียงคนละ 17,500 บาท แต่ความโหดคือ ต้อง Stop 3 Stop ใช่!!! ฟังไม่ผิด สิงคโปร์ 1 ชั่วโมง บาร์เรน 9 ชั่วโมง อาเซอร์ไบจาน 1 ชั่วโมงกว่า ซึ่งจริง ๆ แต่พวก 1 ชั่วโมงคือ Stop Over เอาคนลงและรับคนขึ้นเฉย ๆ ไม่ได้เปลี่ยนลำอะไร

แต่ที่สำคัญมันอยู่ตรงบาร์เรน 9 ชั่วโมงครับ อันนี้คือต้องเปลี่ยนลำเลย ถ้าเกิดดู Flight ของเราแล้ว ตอนนั้น จำได้ว่าบินไปถึงนั่นราว ๆ เที่ยงคืนครับ แล้วก็ต้องรอจนถึงประมาณ 9 โมงเช้า เพื่อบินต่ออีกวัน ตอนแรกกะจะนอนสนามบิน แต่พอหาข้อมูล พบว่า…

หากบินกับ Gulf Air แล้ว Transit เกิน 7 ชั่วโมง เค้าจะ Offer ห้องพักให้ฟรี!!! ใช่ฟังไม่ผิด วิธีการง่าย ๆ โทรหา Gulf Air Thailand เบอร์หาได้จาก Google แล้วแจ้งว่าเราบินกับ Gulf Air และ Transit มากกว่า 7 ชั่วโมง ขอ Request ห้องรับรอง แค่นั้นเลย

จากนั้นทางพนักงานเค้าก็จะขอข้อมูลเรา เพื่อทำการ Book ซึ่ง จะไม่การันตีที่พักว่าได้ที่ไหน จะทราบก็ต่อเมื่อบินไปถึงบาร์เรน และหลังจากติดต่อกับเจ้าหน้าที่ Transfer Counter เมื่อไปถึงเท่านั้น แค่นี้เป็นอันจบ ฉะนั้น ถ้าเห็นว่า Transit นาน ๆ ต่อไปไม่ต้องกลัวแล้วนะ เอาล่ะ มาเริ่มทริปกันเลย!!!

DAY 1 – BKK TO TBS

เราบินมาถึงสนามบิน Tbilisi ตามกำหนดการเลย สนามบินที่นี่ค่อนเข้างเล็กครับ อารมณ์เหมือนบินมาภูเก็ตแบบนั้นเลย พอบินมาถึงสิ่งแรกที่เราต้องทำคือ แลกเงิน หารถเช่า และซื้อซิมอินเตอร์เน็ต

แลกเงิน

คำแนะนำของผมสำหรับทุกที่บนโลก ไม่ใช่เฉพาะจอร์เจีย คือการแลก USD ติดตัวมาจากไทยเลย และก็แลกเงินสกุลนั้น ๆ มาจากไทยไว้ก่อนส่วนหนึ่ง เผื่อจำเป็นต้องใช้ด่วนขณะที่บินถึงประเทศนั้น ๆ ซึ่งสำหรับจอร์เจียก็คือ GEL โดย 1 GEL = 11 THB ณ ตอนที่ผมไป

Shop แลกเงิน ควรแลกส่วนหนึ่งจากสนามบิน ดูเรทดี ๆ มีหลายเรทมาก เอาให้เราได้เปรียบที่สุด แลกพอได้ใช้จ่ายสิ่งจำเป็น จากนั้นเก็บส่วนที่เหลือไปแลกกับตู้ด้านนอก จะได้เรทดีกว่าหลายบาทเลยในส่วนต่างตรงนั้น

เช่ารถ

อย่างที่เกริ่นไปตอนแรก จะจองผ่าน GoTravel ก็ดี คุยง่าย เป็นของคนไทย แต่ถ้าเอามันก็ไปหาที่สนามบินได้เหมือนกัน ราคาไม่ต่างกันมาก และราคาถูกกว่าจองผ่าน GoTravel ด้วย แต่ก็ต้องเผื่อเวลาไว้

อันนี้เป็นตัวอย่างรถของทาง GoTravel ที่มีให้เราเลือก พร้อมราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ ถ้าไม่ติดเรื่องส่วนต่างของราคา เน้นความสนุก ก็เชียร์ตัวนี้เลย

ซิมอินเตอร์เน็ต

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจำเป็นมาก ๆ จะซื้อซิมของเครือข่ายไทยมาเลยก็ได้ หรือจะมาหาที่นี่ก็ได้ ได้หมดเลย ราคามีหลายรูปแบบให้เลือก อย่างของเราเลือก Shop สีแดง กับ Package 14 วัน (อันนี้จำไม่ได้ เดี๋ยวขอไปค้นในมือถือก่อน) นี่แหละ เวลาเราเดินทางเอง ทุกอย่างมันจะค่อนข้างใช้เวลาเยอะหน่อยเมื่อเดินทางมาถึง แต่เดี๋ยวพอเคลียทุกอย่างจบจากตรงนี้ก็จะชิลเลย

เราตัดสินใจขับต่อไปที่ Gudauri ครับ เป็นตอนเหนือของ Tbilisi ห่างจากสนามบินไปราว ๆ 2 ชั่วโมง หาข้อมูลมาส่วนใหญ๋คือบอกว่าควรเข้าไปนอน Tbilisi ก่อน เพราะช่วงนี้หิมะปกคลุมทาง แล้วทางเป็นเหวและหน้าผาด้วย อันตราย แต่ด้วยความที่เราไปมาหลายประเทศ และเดินทางกับถนนหลายแบบแล้ว เห็นทุกแบบที่อันตรายมาแล้ว เราเลยไม่กังกลอะไร ขับไปสิครับ เดี๋ยวถ้าเจอหน้างานแล้วมันไปไม่ได้จริง ๆ ค่อยหา Hotel ระหว่างทางละกัน

ระหว่างทางช่วงแรกต้องบอกว่าถนนดีมาก ๆ ไม่กี่นาทีก็เห็นภูเขาหิมะอยู่กราย ๆ เห้ย ตื่นเต้นว่ะ ยอมรับว่าไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศมาสองปี พอมาเจอแบบนี้มันตื่นเต้นจริง ๆ ทุกคน

เราจอดชมเขื่อนข้างทาง เพราะมีที่ให้ถ่ายรูปด้วย สวยมาก ๆ ซึ่งก่อนถึงเขี่อนจะมีโบสถ์สวย ๆ เต็มไปหมดเลย แต่ขอบอกไว้ก่อนตรงนี้ ว่าเราไม่ได้อินเรื่องโบสถ์ จะขอแวะแต่โบสถ์ที่แม่งจำเป็นต้องแวะเท่านั้น ถ้าให้แวะทุกที่ที่สวย กลัวจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางเอา

หลังจากนี้ทางก็จะเริ่มหน้ากลัวขึ้น เป็นทางสวนกันเลนส์เดียว และคือ…. มีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เยอะแยะเต็มไปหมด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางส่งสินค้าระหว่างจอร์เจียร์ไปรัสเซีย และรัสเซียมาจอเจีย เขาจะจอดรถสัญญาณจากกลุ่มจราจรให้เดินรถ เมื่ออีกฝั่งหนึ่งเคลื่อนรถหมดแล้ว เนื่องจากว่าช่วง Gudauri ไป Kazbdgi นั้น ทางบางช่วงจะมีอุโมงค์ลอดช่องเขาครับ สวนกันไม่ได้ แสงน้อยลง ทางมืดขึ้น และล้อรถเราก็ได้เหยียบพื้นหิมะก็ครั้งนี้ พ่อกับแม่เริ่มกลัว ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศ เป็นห่วงล้อรถลื่นหิมะบ้างล่ะ รถสวนมาบ้างล่ะ นานาจิตตัง แต่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เราก็มาถึงตัว Gudauri

อย่างที่บอก เราไม่เคยจองที่พักมาก่อนครับ เรา Walk in ซึ่งการหาที่พักของเรา เราจะลองหาใน App Traveloka ก่อน จากนั้นก็สุ่มดูราคาที่สนใจ แล้วก็ เข้าไปต่อรองราคาที่โรงแรมเลย กรณีเพื่อน ๆ ไม่สะดวกวิธีนี้ สามารถจองผ่านแอพพลิเคชั่นได้เหลยเหมือนกัน แต่ของเรามันแบบ Flexible มาก ๆ เน้นจอดไหน นอนนั้น สุดท้ายคืนแรกที่จอร์เจีย เราก็ได้ที่พักที่ชื่อ Monte Hotel เอาล่ะ สำหรับวันนี้ ขอตัวไปพักก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมารีวิวที่พักให้ดู เพราะที่นี่ ดีงามมากจริง

DAY 2 – SNOWBOARD / PARAGLIDING DAY / RUSSIA MONUMENT

จริง ๆ วันแรกควรมีสัก 48 ชั่วโมง เพราะทำหลายสิ่งมาก แต่เอาล่ะ วันนี้แพลนของเราคือการเล่น Snowboard สักครึ่งวัน แล้วเดี๋ยวไปเก็บตามจุดที่น่าสนใจอื่น ๆ ก่อนจะย้ายเมือง แต่ก่อนที่เราจะไปเล่นกิจกรรมทั้งหลายแหล่นี้ เรามาดูที่พักเมื่อคืนที่อยากนำเสนอกันก่อนเลย

ที่นี่คือ Monte Hotel เราได้มาในราคาเพียง250 GEL บาทเท่านั้น ซึ่งตัวโรงแรมมีหลายห้องมาก ทุกห้องจะเป็นวิวระเบียงเทือกเขาหิมะ แล้วคือห้องโอเคเลย ห้องน้ำใหญ่ ห้องพักรวมอาหารเช้าให้เราด้วย

ตัวโรงแรมจะมี Bar & Café ในตอนกลางวันด้วยนะ สามารถมาชิลเอ้าที่นี่ได้แบบไม่ต้องเข้าพักก็ได้ มีโดนกระจกสำหรับนั่งชิลล์ด้านนอกด้วย ที่สำคัญคือ Location ไม่ได้ไกลจาก Ski Resort เท่าไหร่ ถือว่าโอเคเลย

ที่พักก็ประมาณนี้ ถ้าลงลึกเดี๋ยวยาว ในตัว Gudauri เพื่อน ๆ สามารถเช่าอุปกรณ์ทุกอย่างได้ในราคา 300 บาท/วัน ถูกมาก ๆ และค่าลิฟท์ก็ 300 บาท/วันเช่นกัน ทุกอย่างนี้ สามารถซื้อและเช่าได้ที่ลานสกีเลย ไม่ต้องจองมาก่อนนะ

ตรงนี้สำหรับคนที่ยังไม่เล่นไม่เป็น ผมไม่มั่นใจว่ามีคอร์สเรียนหรือเปล่า ยังไงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดู และถึงแม้จะเล่นไม่เป็น ผมก็ยังอยากให้ซื้อลิฟท์ขึ้นไปชมวิวด้านบนครับ ด้านบนจะมีจุดชมวิวชื่อดังของเมืองนี้ชื่อ Kudebi Viewpoint เพื่อน ๆ จะเห็นวิวแบบ 360 องศาจากด้านบนเลย

อ่ะ.. ระหว่างนี้ ไปดูภาพบรรยากาศเล่น Snowboard กันก่อนว่าประมาณไหน รูทเล่นมีตั้งแต่กลาง ถึงยากครับ ง่าย ๆ ไม่ค่อยมีเลยลานนี้ แนะนำว่าถ้าเล่นเป็นอยู่แล้วจะสนุกมากกกกกกก

ตรงจุดพักลิฟท์ที่สอง จะมีพวกร้านอาหารกับคาเฟ่อยู่ด้านบน มีประมาณ 2-3 ร้าน เราเลือกนั่งร้าน Khada Hut ครับ เหตุผลเพราะเห็นวิวเทือกเขาชัดดี จุดนี้ราคาอาหารจะแพงกว่าด้านล่างประมาณ 2 เท่า แต่ก็กินบรรยากาศ ไม่ว่ากัน

ซึ่งด้านบนจุดชมวิว Kudebi เราจะต้องนั่งลิฟท์ชั้นที่สามขึ้นไปครับ สรุปก็คือต้องต่อลิฟท์ 3 ครั้งแหนะ ถ้าซื้อแบบไม่เหมาวันจ่าย 25 GEL ซึ่งถ้าเหมาวันคือ 30 GEL ราคาห่างกันนิดเดียวเอง คือเรียกได้ว่า ถ้ามาเล่น Snowboard / Ski อยู่แล้ว ก็จะได้มาจุดนี้แบบ included ไปเลย ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

บน Kudebi จะเป็นจุดที่ปล่อย Paragliding ด้วยครับ ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว จะพลาดได้ไง พาพ่อกับแม่และพี่สาว จัดเลยสิ เค้าบอก คนละ 350 GEL เราต่อเหลือ 250 GEL ไปเลย ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เล่น ๕๕๕ แต่ก็ได้

วิวของ Paragliding ก็จะประมาณนี้ ได้นั่งประมาณ 10-15 นาทีมั้ง น้อยไปอ่ะผมว่า อยากนั่งนานกว่านี้ วิวด้านบนคือเพลินมาก อ่อ… และไม่ใช่ว่าจะเล่นได้ทุกวันนะครับ บางรายจ่ายตังค์ไปไม่ได้เล่นก็มี เพราะว่ากิจกรรมนี้ ต้องดูลมด้วย ถ้าลมแรงไปคืออันตราย เล่นไม่ได้เลย

เอาล่ะ… เก็บของแล้วย้ายเมืองจาก Gudauri ไป Kazbegi กัน ซึ่งระหว่างทาง เราจะผ่าน Georgia & Russia Monument ด้วย

ขับออกจาก Gudauri ไป ทางสวยมากกกก เหมือนขับอยู่บนดาวอีกดวงเลย มันสวยจริง ๆ มองไปมุมไหนก็ไม่เบื่อ ไม่นานนักก็เห็น Monument ตั้งตระหง่าอยู่ทางซ้ายมือกลาย ๆ ต้องยอมรับว่าเรามาในช่วงที่มีหิมะ ฉะนั้นภาพบรรยากาศมันก็จะคูล ๆ หน่อย จะไม่เหมือนกับเพื่อน ๆ ที่ไปฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน ไม่งั้นตรงนี้จะเขียวขจีเลยล่ะ

นี่คือ Georgia & Russia Monument จริง ๆ ตรงนี้ก็มี Paragliding ด้วย แต่จะแพงกว่าที่ลานสกี เพราะพอร่อนลงไป จะต้องมีรถตามลงไปรับแล้วขับกลับขึ้นมา

ประวัติของที่นี่ หลัก ๆ ในช่วงสงคราม เค้าก็ตั้งใจจะทำให้ที่นี่เป็นสัญลักษณ์ความทรงจำที่ทั้งสองประเทศได้ช่วยเหลือเกื้อหนุนกัน อะไรประมาณนั้น ตัวสิ่งก่อสร้างจะมีรูปภาพวาดลายกระเบื้องบอกเล่าเรื่องราวที่สำคัญต่าง ๆ ไว้ ตรงนี้ผมขอไม่ลงลึกนะครับ แต่สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย https://www.palapilii.com/archives/20472

เอาล่ะ และนี่คือความสวยงามที่ไม่ต้องพยายามมาครับ เพราะอยู่ข้างทางเลย จากจุกนี้ ไป Kasbegi น่าจะไม่เกิน 1 ชั่วโมง และใช่ เรายังไม่จองที่พักเหมือนเดิม เอาเป็นว่า ทั้งทริป เราใช้วิธีเช็กที่พักจากแอพพลิเคชั่น และ Walk in แบบนี้ทุกวันเลย และในบางครั้งที่เหนื่อยจริง ๆ ก็จะจองก่อนล่วงหน้า 6 ชั่วโมง

ผ่านมา 1 ชั่วโมงเราก็มาถึงเมือง Kazbegi ครับ จริง ๆ คือเมือง Stepantminda แหละ แต่ว่าเรียกชื่อจุดหมายไปเลย เรามาเมืองนี้เพื่อที่จะไปโบสถ์แห่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าสวยงามมากเป็นอันดับต้น ๆ ของจอร์เจีย เดี๋ยว ๆ เพื่อน ๆ ค่อยดูพรุ่งนี้

คืนนี้เราทานอาหารกันง่าย ๆ ที่ร้านอาหารข้างทที่พักครับ ราคาค่อนข้างแรงอยู่ แต่ก็ยังถือว่าเท่า ๆ ไทย ที่นี่น่าจะเป็นอาหารเย็นมื้อแรกที่มาจอร์เจียครับ เพราะเมื่อคืน ไม่ได้ทานอะไรเลย อิ่มจากบนเครื่องบินแล้ว

ทั้งหมดนี้ประมาณ 1000 บาทไทย อิ่มเลยแหละ และที่พักของเราในคืนที่ 2 ชื่อ EASY HOTEL ครับ ต่อราคามาเหลือ 70GEL ต่อห้อง ก็ประมาณ 700 บาทไทย ถือว่าได้ราคาดีมาก ๆ เลย

ตัวห้องก็ไม่แย่ พอนอนได้ อยู่กลางเมือง และเห็นวิวโบสถ์กลาย ๆ อยู่หน้าบ้าน มีฉากหลังเป็นหุบเขา Shani สวยงามมาก ๆ เอาเป็นว่าถ้าไม่ได้คิดไรมากก็นอนนี้แหละ คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

DAY 3 – GERGETI TRINITY CHURCH – UPLISTSIKHE – KUTAISI

ตื่นแต่เช้า ปลุกตัวเองด้วยเพลงเพราะ ๆ สักเพลงหนึ่ง จากแผ่นที่เธอเขียนให้เราเมื่อวานก่อน จะบอกว่าตอนเช้าวิวที่นี่ดีงามมากแม่ อย่างที่เห็นในภาพเลย อ่อ… ที่พักไม่รวมอาหารเช้านะครับ

จากที่พักเราขึ้นไปโบสถ์ในหน้าหนาว เค้าบอกว่าควรจ้างรถ 4×4 ขึ้นไป ในราคา 200GEL ราคานี้ผมไม่มั่นใจเลย แต่ที่มั่นใจอ่ะ มั่นใจในรถที่เช่ามา

ใช่… เราขับรถขึ้นไปเอง ซึ่งทางก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น หลาย ๆ คนพูดโอเว่อร์เกินครับ ทางชันมีแค่สองถึงสามช่วงเอง แต่ที่ลำบากคือทางเป็นเลนส์เดียวสวนกันแค่นั้น และตอนที่ผมไป มันมีหิมะมาบังถนน

ช่วงแรกก็ขับได้ พอช่วงเส้นสุดท้าย หิมะหนาขึ้นมาสูงไป ทำให้ไปค้ำกับใต้ท้องรถครับ รถเราเลยติดหล่มหิมะ และด้วยความที่ไม่ใช่รถตัวเอง ก็เลยจอดอยู่ริมทาง แล้วเดินขึ้นไป เพราะเช็กจาก Map แล้ว เดินแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น

แต่การเดินก็ได้ฟีลอีกแบบครับ สนุกดี มันได้เห็นวิวข้างทางช้าลงและละเอียดขึ้น ไม่นานนักก็เห็นโบสถ์อยู่ไกล ๆ แต่ก็ยังเจ็บใจเอามาก ๆ เพราะเดินมาแป็บเดียวก็ถึงที่จอดรถแล้วครับ ถ้าฝืนบี้ขับมาอีกนิดหนึ่ง เผลอ ๆ อาจหลุมตมหิมะได้ แต่ก็อย่าเลย เสียงไป ยังต้องใช้อีกหลายวัน

จากมุมนี้เห็นโบสถ์ Gergety ต้องบอกว่าสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ก.ล้านตัว คือแม้จะไม่อินเรื่องพวกนี้ เค้าอยู่ในจุดที่อลลังการลจริง ๆ สำหรับรายละเอียดเรื่องโบสถ์ เพื่อน ๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย: xxxxxxxxxxxxxxx อ่ะ เดี๋ยวจะพาไปดูภาพคร่าว ๆ ที่เราถ่ายมา

เป็นไงบ้าง สวยเนอะ แต่จะบอกว่า ตัวโบสถ์จริง ๆ ไม่สวยขนาดนั้น เหมือนเป็นโบสถ์รุ่นเก่าอ่ะ รอยสลักอะไรก็ไม่ได้งามตามขนาดที่ต้องเข้าไปดู สำหรับผม ดูจากด้านนอกอ่ะโอเคแล้ววววววว

จากนี้เราจขะยิงยาวไปที่ Kutaisi ครับ ไปยาว ๆ เลย วันนี้ทั้งวันจะไม่มีกิจกรรมอะไรแล้วนะ เพราะจากKazbegi ไป Kutaisi ใช้เวลาพอสมควรเลยล่ะแต่เห้ย… ลืมไป ระหว่างทาง เราสามารถแวะจอดเที่ยวจุดหนึ่งได้ นั่นคือ Uplistsikhe ครับ

Uplistsikhe ชื่ออ่านยากมาก ๆ อีกเรืองต้องห้ามพลาดหากผ่านไปแถว Gori ครับ ที่นี่เป็นเมืองถ้ำที่เป็น Highligh ของประเทศจอร์เจียเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นโบราณสถานที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานมาก ๆ

จริง ๆ สถานที่นี่เป็นป้อมปราการณ์สำหรับขุนนางในยุคก่อน ตั้งอยู่บนหินผา ใช้การขุดเจาะให้เป็นถ้ำ เพื่อทำเป็นหลุมหลบภัยและที่อยู่อาศัย

ว่ากันว่าสร้างมาตั้งแต่ช่วงปลายของยุคสำริด ก่อน ค.ศ 1000 ปีเลย ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนจนถึงศตวรรษที่ 13 ถ้าพูดถึงสมัยก่อนก็คือมีความสำคัญมาก ๆ เลยล่ะ เพราะไม่มีสถานที่ไหน จะน่าอยู่เท่า Uplistsikhe แล้วเน้อ

เนื้อที่ของจุดนี้ครอบคลุมกว้างถึง 40,000 ตารางเมตร และสมัยก่อนมีการบันทึกว่า ที่นี่มีประชากรอาศัยอยู่ถึง 20,000 คนเลยทีเดียว ก็ใช้ทั้งทางการเมือง อาศัย ศาสนา การปกครอง และยังเป็นป้อมปราการณ์ที่ดีอีกด้วย พอเราเดินขึ้นไปก็จะเห็นวิวแม่น้ำและภูเขาสุดลูกหูลูกตาเลย

และถ้าสังเกตุดี ๆ ช่องแต่ละช่องจะเป็นแค่หินธรรมดา ไม่มีการตกแต่งอะไร แต่เชื่อว่าสมัยก่อนเป็นที่หลับภายจากเหตุการณ์รวมถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ได้อย่างดีเลย

ใด ๆ คือมีค่าเข้าชมเด้อ 15 Gel แบบไม่รวม Wine Testing และ 20 Gel สำหรับพาไป Test Wine รอบนี้เราเลือกไปเทศไวน์ด้วยเลย เพราะว่ากันว่า การผลิตไวน์ที่นี่ เค้าใช้เท้าเหยียบและหมักในหลุม ก็เลยอยากดู สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.palapilii.com/archives/20518

อ่อ… ระหว่างทางเราก็จะมีแวะตามร้านอาหารประปราย และวิวระหว่างทางก็คือดูไม่เบื่อเหมือนกันแฮะ แต่ช่วงที่เราไป เค้ากำลังสร้างทางที่เจาะทะลุภูเขาอยู่ครับ เลยทำให้รถค่อนข้างติดเลย และทำให้เราไปถึง Kutaisi ช้ากว่าปกติ

ช่วงเย็นเราก็ถึง Kutaisi แล้ว และ Kutaisi ก็เป็นเมืองที่ผมชอบมาก ๆ เลย เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่น่ารัก เดินเล่นไม่เบื่อ เอางี้ดีกว่า มี Mall กลางเมือง มีลานน้ำพุขนาดใหญ่ให้รู้ว่านี่แหละเรามาถึง Kutaisi แล้ว

เอาเข้าจริง ๆ มา Kutaisi ต้องใจจะมาโบสถ์อีกหนึ่งที่ แต่คงไม่ใช่วันนี้ เพราะวันนี้เหนื่อยแล้ว เราเข้าที่พักและทานอาหารกันปกติ ที่พักกับร้านอาหารก็เหมือนเดิม อยู่ข้าง ๆ กันเลย เน้นสะดวก และก็หมดแรงเดินเล่นแล้ว ขอนอนยาว ๆ เลยคืนนี้ ขับรถเหนื่อยมาก

DAY 4 – KUTAISI – MESTIA

ฝนตกกกกก… จริง ๆ ฝนตกตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละ เมืองนี้เลยไม่ได้ปล่อยโดรนเลย เอ้อ… เรื่องการปล่อยโดรน ที่นี่สามารถปล่อยโดรนได้แทบทุกที่เลยนะครับ แต่ถ้าเอาชัวร์ก็ถามเจ้าหน้าที่ของสถานที่นั้น ๆ ก่อน จะได้ไม่ถูกปรับหรือผิดกฏอะไรเนอะ

ที่พักไม่รวมอาหารเหมือนเดิม พูดไป ระหว่างทางเราก็แวะซื้อนั่นนี่โน้นทานกันนะ แต่ก็ไม่ได้ถ่ายเอาไว้ เพราะตอนแรกไม่ได้ตั้งใจระรีวิวเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ สำหรับคนที่อ่านบทความนี้ อาจะจไม่ค่อยได้พาไปทัวร์ร้านอาหารเท่าไหร่ ต้องขอโทษจริง ๆ

เอาล่ะ… ก่อนออกจาก Kutaisi เราจะพาไปโบสถ์หลักของเมืองนี้กัน ซึ่งต้องบอกว่า อยู่บนเขา และ Old Town Kutaisi ตอนเราไปโบถส์ไม่เปิดนะ เพราะเราไปเช้ามาก ๆ บวกกับฝนตกอีก เลยได้แค่ดูผ่าน ๆ จากถนน

แต่ก็อดใจไม่ไหว แบกกล้องตากฝนไปถ่ายรอบ ๆ โบสถ์กันเสียใจทีหลัง และพึ่งรู้ว่า จุดไม้กางเขนที่เห็นวิวเมือง Kutaisi ทั้งเมืองมันสวยงามมากกกกกกกกกกก รู้งี้มาตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว งื้ออออออออออออออออ ก็พอได้หอมปากหอมคอแหละ การเดินทางต่อจากนี้ ถ้าดูเส้นทางจาก Map แล้ว ค่อนข้างจะน่ากลัวพอสมควร เพราะเรากำลังจะขับไป Mestia กันครับ ซึ่งระยะทาง ต้องบอกว่ายาวไกล แต่… ขับไม่เบื่อเลย ไปดูวิว

วิวระหว่างทางคือดีมาก และหินก็เยอะมากเหมือนกัน ผลัดกันขับกับพ่อ และพีสาว ทะเลาะกันตลอดทั้งทาง เพราะรถเหยียบหินบ้างล่ะ ขับไม่ถูกใจคนนั่งบ้างล่ะ บลา ๆ เห้ออออออออออออ ปวดหัว แต่ก็ผ่านมาได้

ขับมาจนถึงจุดหนึ่งที่สมัยสงครามโลกเค้าทำอาหารให้ทหารพัก และเหมือนมีจุดขุดแร่ทำเหมืองด้วย น้ำสีฟ้าเชียว บวกกับระหว่างทางที่เราขับมา เส้นทางจะขับริมแม่น้ำยาว ๆ เลยครับ มีน้ำตกหลายจุดเลย และเราก็จอดรูปถ่ายหลายจุดด้วย

และพอใกล้ถึง Mestia หิมะตก เห้อออ ปวดหัวมาก ๆ หิมะตกตอนถนนอันตราย ๆ แบบนี้ไม่โอเคเลย จะบอกว่าถนนเส้นนี้อันตรายเยอะมาก ทั้งพื้นต่างระดับ พื้นงัดกับคอนกรีตที่ยกตัวขึ้นมา ทำยางแตกได้ ไหนจะถนนลื่น หรือทางลูกรัง มีหมดเลยยยยยยยยยย

เรามาถึง Mestia ช่วงเย็นอีกแล้ว ทริปนี้คือส่วนใหญ่อยู่ในรถแหละ เออดิวะ ก็ Road Trip ไง จะใครล่ะ รีบหาที่พักและร้านอาหารก่อนเลย เพราะหนาวมาก หนาวจนในรถเอาไม่อยู่ว่างั้น ครั้งนี้เราทางอาหารใกล้ ๆ กับที่พักเหมือนเดิม แต่ร้านนี้น่าจะเป็นร้านที่ดูดีหน่อย ที่สำคัญคือบรรยากาศดีมาก

เราสั่งอาหารมาทานกันเยอะมากครับ ต้องบอกตามตรงว่าที่นี่เมนูภาษาอังกฤษไม่ค่อยมี เค้าใช้ภาษาจอร์เจียเลย ซึ่งเราก็ชี้ ๆ แล้วก็ถามเค้าว่ามันคืออะไร แต่หลัก ๆ ที่เราชอบทานที่นี่คือ ซุปเนื้อครับ อร่อยมาก แล้วก็พวก บาร์บีคิวหมู ละมันจะมีแป้งคล้าย ๆ ขนมจีบ มีไส้ด้านในอันใหญ่ ๆ ที่นี่เค้าชอบสั่งมาทานร่วมกับพวกซุปนี่แหละ แล้วก็ถ้าบ้านเราคือข้าว บ้านเค้าคือขนมปังครับ ที่เป็นแหล่งพลังงานหลัก

รอบนี้ดื่มเบียร์ด้วย จ่ายไปเยอะสุดตั้งแต่ที่ไปทานมา และคืนนี้ที่พักของเราชื่อ ROOM ครับ อยู่กลางเมืองเลย และอยู่ตรงทางสามแพ่งด้วย ใครไปก็ต้องเห็นแน่นอน เพราะเป็นทางผ่านจริง ๆ ที่พักต่อได้ 100GEL อีกแล้วทุกคน คือพอมันเป็น Low Season ของเค้า ก็ทำให้เราต่อราคาได้

ห้องพักรอบนี้เราได้ 2 ห้อง แต่พอจ่ายราคาถูก พวก Heater ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นอนหนาวอยู่เหมือนกัน บรรยากาศด้านนอกก็คือหนาวมาก ๆ หิมะตกแบบคลุมทั้งเมืองจนมีสีขาวโพลน และไม่อยากไปไหนเลย ทั้ง ๆ ที่ก็อยากไปนะ แต่มันหนาวมากจริง ๆ

สุดท้าย คืนนี้ก็นอนเฉย ๆ ไม่ไปไหน และดูบวกศึกษาทางที่จะไปพรุ่งนี้ ว่ากันว่า โหดมาก และต้องเช่ารถไปถึงจะสะดวก แต่ก็เหมือนเดิมครับ เรามั่นใจในรถของเรา และเราเดินทางมาทุกที่ที่มันยาก ๆ มาแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่กลัว รอดูวันพรุ่งนี้นะครับ ฝันดีครับ

DAY 5 – USHGULI – ZUGDIDI

ตื่นเช้ามาหิมะตกหนักกว่าเดิมเพื่อน ๆ แต่ทำไงได้ ก็ต้องไปเหมือนเดิม คือปกติอาหารเช้าเราจะเป็นพวกของที่ซื้อตามร้านข้างทางครับ แบบซื้อตุนไว้แล้วทานในรถ จะเป็นพวกแป้ง หรือแซนด์วิชอะไรพวกนี้ เลยไม่ค่อยได้เห็นพวกเราทานอาหารเช้ากันจริง จังสักเท่าไหร่

เช้านี้ต้องบอกว่าขอปล่อยโดรนอีกรอบ ให้ได้เห็นตัวเมืองแบบที่ขาวโพลนปกคลุมทั้งเมือง บรรยากาศคือแทบไม่มีรถสัญจร แต่ทำไงได้ เราก็ต้องรีบเดินทางครับ เพราะวันนี้ เราต้องย้ายเมือง

Search ใน Map ดูแผนที่แล้วตกใจเลย ทางโหดมาก แล้วคือหิมะตกด้วย แต่ไม่เป็นไรใจเราได้ บอกพ่อกับแม่ว่า เชื่อมือไม ไมผ่านมาหลายสนามแล้ว

แต่พอขับไปได้สักพักเริ่มกลัวครับ ไม่มีคนคน ไม่มีรถ ไม่มีคใคร เหมือนเรามาเปิดถนนอย่างไงอย่างงั้น ซึ่งก็น่ากลัวจริง ๆ แล้วยิ่งขึ้นไปด้านบน ถนนสวยนะ แต่หิมะก็ตกหนัก และก็คลุมถนนสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ

ขับไป ล้อก็สไลด์ไป หิมะตกใหม่ ๆ มันดูดล้อครับ คือแนะนำว่าต้องขับแข็งนะครับ ถ้าขับไม่แข็ง หรือไม่มีประสบการณ์ ก็ให้หยุดขับหรอ เปล่า ขับต่อไปไง จะได้มีประสบการณ์ ๕๕๕๕ กลัวไรครับ ถ้ามีปัญหาเดี๋ยวค่อยว่ากัน ยังไงทั้งวันมันก็ต้องมีรถผ่านมาบ้างล่ะ

ไปถึงในจุดที่มันโค้งแบบหักศอกติดต่อกัน ดูแล้วว่าไม่มีใคร เลยจอดรถปล่อยโดรน โอ้โหหห… นี่คือถนนที่เรามาหรือเนี่ย มากันทำไม ๕๕๕ เอาจริง มาทำอะไร

หลังจากนั้นนึกว่าจะจบ แต่ไม่จบครับ ถนนหลังจากผ่านเขาลูกนี้ คือคำว่าแย่สัส ๆ ของจริง ด้านซ้ายเป็นภูเขาที่หินโคตรร่วน จะไลด์หรือตกกลิ้งมาโดนรถเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ส่วนฝั่งซ้ายก็เป็นแม่น้ำ แล้วคือเป็นเหวลงไป ถ้าตกคือแย่ บอกเลย

มาดูเนื้อถนนนี่สุดติ่งไปอีก เละสุด ๆ เละจากหิมะที่ละลาย เละจากหินที่กลิ้งลงมา บางจุดต้องจอดรถแล้วยกหินออก เพื่อไปหมู่บ้าน Ushguli

จริง ๆ โซนนี้ เค้าเป็นหมู่บ้าน 4 หมู่บ้านมรดกโลกครับ สมัยสงคราม หรือช่วงงก่อนเจริญ หมู่บ้านแนวนี้จะเป็นป้อมปราการรักษาศัตรูและสัตว์ร้าย ไม่เข้าข้ามเขตเข้ามา และเชื่อไหมว่า มีคนอาศัยอยู่เพียง 300 ชิวิต

ที่นี่ได้ลงบันทึกในมรดกโลกด้วย ว่าเป็นชุมชนที่สูงที่สุดในโลก ตัวเลขความสูงผมจำไม่ได้ แต่ถ้า google เชื่อว่าแป็บเดียวก็เห็น แต่เอาล่ะ… ในที่สุด เราก็มาถึงที่นี่สักที

ไปถึง ต้องบอกว่า ได้แค่มาชมครับ เราไม่ได้ตั้งใจมานอน แวะมาให้ขาได้สัมผัส เดี๋ยวก็กลับแล้ว เลยสั่งอาหาร แต่ดันสั่งไม่ได้ ต้องจองมาก่อน เพราะที่นี่ช่วงหน้าหนาว พวกอุปโภคบริโภคเข้ามายากมาก ทำให้วัตถุดิบขาดแคลน ให้ตายเถอะ

ก็เลยนั่งดื่มเบียร์คุยกันไป บังเอิญเจอพี่ที่รู้จัก (พี่ไผ่) โผล่มาพอดี ดันมาทริปเดียวกัน รูทเดียวกันเสียได้ และก็มีพี่ ๆ คนไทยที่ทำทัวร์ มาเหมาร้านสั่งอาหาร ๕๕๕ นี่ไง เราเลยไม่ได้ทานข้าวกันเลย

จริง ๆ ช่วงหน้าร้อนที่นี้ฮ็อตฮิตมากนะ เค้ามาเดินป่ากันเบา ๆ เป็นวิวหญ้าสีเขียวขจีกับฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ ลงตัวสุด ๆ ก็คือจอร์เจีย มาได้ทุกฤดูจริง ๆ

เอาล่ะ กลับกัน… ตอนกลับก็คงยังตื่นเต้นต่อเนื่อง ถนนขามามันน่าตื่นเต้นใช่ไหม ขากลับน่าตื่นเต้นกว่า เพระงงไปหมด จู่ ๆ หิมะก็ละลาย เห้ย…. ยังไม่ข้ามวัน ภูมิประเทศเปลี่ยนไปได้เร็วขนาดนี้เลยหรอ

และด้วยความที่เรารีบมาก เลยขับรถเร็ว และใช่…. ล้อมันไปป้ะเข้าให้กับหลุม ยางแตกดังปึ๊บ!!!! โชคดีมาก ๆ ที่พี่ไผ่คนหล่อคนเดิมขับตามหลังมาก เลยได้ช่วยกันเปลี่ยนยาง แต่สุดท้าย ก็นะ ต้องขับไปเปลี่ยนยางแบบซื้อใหม่อีกที่ในเมือง Mestia เสียเวลาไปอีก

พอไปถึงร้านปะยาง โทรถามคนเช่ารถ เค้าก็บอกว่า มาถึง Tbilisi ยูต้องจ่ายค่ายางใหม่ทั้ง 2 ล้อเลย โอ้ยยยยยยยยย ให้ตาย นี่มันทริปอะไรเนี่ย อ่ะ เปลี่ยนยางแป็บเดียวครับ ร้านเค้าเอายางเซนให้ จ่ายไปราว ๆ 700 บาทไทย ดีนะถูก ตอนแรกคิดว่าเส้นละ 2,500 บาทเหมือนบ้านเรา

จากตรงนี้ ขอตัดภาพไปที่ Zugdidi เลยแล้วกันนะ ก็ใช้เวลาเกือบ 6 ชั่วโมง ขับมาที่ Zugdidi ครับ ทานง่าย ๆ ที่ Mcdonal แล้วก็ Walk in ที่พักเหมือนเดิม ได้คืนละ 800 บาท ง่วงมาก ๆ รีบเอา รีบพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ เรามีแพลนจะไปเมืองอีกเมือง ที่มีสิ่งที่เป็นมรดกโลกอยู่อย่าง Bojormi

สำหรับคืนนี้ ขอนอนพักผ่อน กับสิ่งที่เกิดขึ้นครึ่งวัน ๕๕๕๕ หลับฝันดีครับ ห้องพักดีมาก ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ราตรีสวัสดิ์

DAY 6 – THE UNEXPECTED HAPPENED – PLAN CHANGE

ชื่อขอวันที่ 6 น่ากลัวมาก ตามนั้นเลยครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอบอกตั้งแต่ต้นวันเลยว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น UNPLANED และ UNEXPECTED ทั้งหมด

เรื่องแรก: ด้วยความที่โซนที่เราอยู่ มันใกล้จะถึงทะเลดำอยู่แล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วโลกส่วนใหญ่ เค้านิยมไป Batumi กัน แต่เราตรวจสอบระยะทางแล้วว่า… วันเวลาเราไม่พอแน่นอน เลยพยายามอย่างมากที่สุด เพื่อที่จะได้ไปเห็นทะเลดำด้วยตาตัวเอง

เอาล่ะ ตื่นเช้ามา ก็ขับรถไปเลย ไม่น่าเชื่อว่าตอนที่เราไปถึง เมืองจะร้างขนาดนี้ มันเป็นร่องรอยของสถานที่ที่เคยเจริญมาก่อน ที้งคาสิโน โรงแรมหรู และสวนน้ำ ต่างร้างหมดเลย แต่ไม่เป็นไร พื้นที่อาจจะไม่ค่อยมีสีสัน แต่เรามาครั้งนี้ ต้องการมาแค่ได้เห็นทะเลดำก็พอใจแล้ว

กางแผนที่จากที่พัก เห้ย… มีเมือง ๆ หนึ่งอยู่ไม่ไกล และเราสามารถขับไปที่นั่นได้ เห็นทะเลดำอีกด้วย นั่นก็คอ Anaklia ห่างจากจุดที่เราอยู่ไม่ถึง 1 ชั่วโมง หรือถ้าเอาจริง ๆ คือ 30-45 นาทีเท่านั้น

จะว่าไป ตอนที่เราไปเป็นช่วงอากาศหนาว การเอาตัวหรือเท้าและร่างกายไปสัมผัสกับน้ำทะเล คงจะไม่ดีแน่ โชคดีที่ Anaklia มีสะพานแขวน และ Tower ให้พอได้ดูต่างตา คลายความผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่อย่างน้อย ก็ได้เห็นเมืองที่คนไทยไม่ค่อยได้รีวิว และนี่คือ Anaklia Beach ครับ

ต่อจากนั้น เราได้ยินว่า Zugdidi มีพระราชวังเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง เราเลยรีบขับรถกลับมา คนที่นี่เค้าไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวโซนเอเชียอย่างเราเท่าไหร่ เค้ามักจะตื่นเต้น และขอเข้ามาร่วมเฟรมกับเราครับ น่ารักมาก ๆ

และที่นี่ก็คือ Dadaini Palace Museum โชคดีมาก ๆ ที่เค้าอนุญาติให้เราถ่ายรูปด้วย ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของ Dadiani Palaces เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของจอร์เจีย ตั้งอยู่ใน Zugdidi ภูมิภาค Samegrelo-Zemo Svaneti ประเทศจอร์เจีย

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของ Dadiani Palaces ถือเป็นหนึ่งในพระราชวังที่โดดเด่นที่สุดในคอเคซัส เป็นอาคารแบบนีโอโกธิก นิทรรศการครั้งแรกของการขุดค้นทางโบราณคดีของเมืองโบราณ Nakalakevi จัดทำโดยเจ้าชาย Megrelian David Dadiani และเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2383 พระราชวังสามแห่งก่อตัวเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ซึ่งบางส่วน ได้แก่ Blachernae Virgin Church และ Zugdidi Botanical Garden

ปกติก็มีพานักเรียนมาทัศนศึกษา ตอนเราไปก็เจอ ซึ่งภายในมีการจัดแสดงมรดกทางวัฒนธรรมทางธรรมชาติของจอร์เจีย – วัสดุสมบัติ Tagiloni, เครื่องแต่งกายศักดิ์สิทธิ์ของพระมารดา, ไอคอนของราชินี Bordokhan – มารดาของราชินีทามาร์แห่งจอร์เจีย, ต้นฉบับจากศตวรรษที่ 13-14, เพชรประดับ, อนุสรณ์สถาน พระธาตุของราชวงศ์ Dadiani

และวัตถุที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสนโปเลียนโบนาปาร์ต – นำมายังพระราชวังโดยสามีของลูกสาวของ David Dadiani เจ้าชายชาร์ลส์หลุยส์นโปเลียนอคิลเลมูรัต (2390-2438) หลานชายของน้องสาวของนโปเลียน Caroline Bonaparte อีกด้วย แต่พอก่อน ลึกไป เดินทางกันต่อดีกว่า

หลังจากนั้นเราก็หาอะไรทานระหว่างทางครับ และช่วงที่เราขับกลับนี่แหละ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ล้อหลังเรามีเสียงแปลก ๆ แต่เราก็ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสอะไร จนกระทั้งเริ่มถึงจุดที่เป็นโซนเขา เรียบแม่น้ำ ล้อดังแรงมาก เหมือนมันจะหลุดออกจากเพลา

มีบ้างช่วงที่มันสั่นจนรถสั่น ใจเราเสีย พ่อบอกว่ากลัวเพลาหัก เราเลยหยุดรถข้างทาง แล้วเช็กล้อดู เห้ยยย… ดุมน็อตหายไปสองตัว บ้าน้า แต่มันไม่ใช่จากฝีมือเราแน่นอน คิดว่าตอนส่งรถมา น่าจะมาแบบนี้อยู่แล้ว

ติดต่อหาคนเช่ารถ นางบอกว่าให้ค่อย ๆ ขับมาเจอกันอีกเมือง เดี๋ยวนางจะให้ช่างแถวนั้นที่เป็นเพื่อนางดูให้ เราก็ขับไป แต่แม่งไม่ได้จริง ๆ ตอนนั้นราว ๆ 6 โมงเย็นของที่นั่น แต่ยังสว่างอยู่ คิดถึงใครไม่ออก ก็นึกถึงพี่ไผ่ เลยโทรถามแก ว่าแกอยู่ไหน แกบอกอยู่ถนนช่วงเดียวกัน

คุยกันยังไม่วางสายเลย แกก็มาจอดอยู่หน้ารถเราเสียแล้ว บ้ามาก ๆ บังเอิญสุด ๆ ไม่รู้จะต้องแก้อย่างไรก็เลยนั่งรถพี่ไผ่ขับเข้าไปเมืองก่อนหน้า ไปหา Bolt ที่สามารถขันล้อเพิ่มได้ ทิ้งพ่อแม่และพี่สาวไว้ราว ๆ 1 ชั่วโมง กลับมาขัน ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

เลยบอกพี่ไผ่ว่า เกรงใจ ไปก่อนเลย เดี๋ยวจะค่อย ๆ ขับไปเรื่อย ๆ 10-20 km/hr ถึงไหนก็ถึงนั้นอ่ะ ลองคำนวนดูแล้ว เราจะใช้เวลาช้ากว่าเดิม 6 เท่าเลย ก็ต้องยอม เพราะเดี๋ยวไม่มีเวลาไปเคลียเรื่องราวพวกนี้

Bojormi ก็ Say บาย เราคงไม่ได้แวะไปหานายแล้ว เราขับแบบนี้จะไปถึงเมืองระหว่างทางที่ชื่อ Surami ให้ตายเถอะ เป็นความทรมานใจเอามาก ๆ ขับช้า ถนนไม่ดี รถขันหลังก็ทั้งบีบแตตีไฟใส่ มันสุด ๆ ไปเลย

เจ้าของรถขับมาจาก Tbilisi แล้วก็มาเจอกันครึ่งทางที่ Surami เค้าก็ดูแลดีนะ เอารถมาเปลี่ยนให้เราเลย ไม่ถามอะไรทั้งนั้น หลังจากเปลี่ยนรถ ตอนแรกก็วนหาที่นอนใน Surami ปรากฏว่าไม่ Work เลยยอมอดนอนขับต่อไปถึง Gori ประมาณ ตี 1 วันนี้ขอนอนก่อน เหนื่อย มาก ๆ คืนนี้เราพักที่ Hotel Georgia Gold ครับ แพงที่สุดตั้งแต่พักมา คืนละ 120GEL

DAY 7 – STARLIN MUSEUM – GORI FORTRESS – SULFURE BATH – HOLY TRINITY CATHEDRAL OF TBILISI – CHRONICLE OF GEORGIA – FREEDOM SQUARE

ต้องบอกว่าเมื่อวานคือที่สุดจริง ๆ ลุ้นจนเยียวเหนียว ง่วงก็ง่วง เหนื่อย ๆ ก็เหนื่อย แต่ถือว่าดีมาก ๆ ที่ย้ายตัวเองมาอยู่ที่เมือง Gori ได้ แล้ววันนี้ เราจะต้องไปหลายที่ รีบทำเวลากันเลย เก็บให้หมด เพราะพรุ่งนี้ต้องว่างแบบสุด ๆ เตรียมเก็บปลาเก๋ากลับบ้าน

และนี่คือรถที่เราเปลี่ยนเมื่อวานครับ ตื่นแต่เช้าเก็บกระเป๋าแล้วยกขึ้นรถ เตรียมเที่ยวต่อเลย ซึ่งที่แรกที่เราจะพาไปก็คือ Starlin Museum นั่นเอง ที่นี่คืออีกที่ที่ไม่ควรพลาด ประวัติศาสตร์เยอะมาก

จะบอกว่าเนื้อหาเชิงลึกเกี่ยวกับ Starlin เพื่อน ๆ หาเอาเองนะครับ เพราะถ้าเอามาเล่าจะใช้เวลาค่อนข้างเยอะเลย เนื่องจากว่านางคือคนที่ทรงอำนาจมาก ๆ ในยุคนั้น เรียกได้ว่าพอ ๆ กับ ฮิตเลอร์เลย เดี๋ยวจะเอาภาพบรรยากาศภายในให้ดูคร่าว ๆ พอได้เห็นตามนี้เลย

ซึ่งที่ผมชอบก็คือบ้านที่แกอยู่ เป็นบ้านสำหรับลี้ภัยด้วย ทางรัฐบาลเค้าได้ยกเอาบ้านหลังนั้นแบบเป็นบ้านจริง ๆ มาไว้ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เลย สุดยอดมาก ๆ

หลังจากนั้นถ้าตามแพลนเราเช็กเวลาแล้วว่าไม่ทันครับ เลยอาศัยโดรนในการบินเก็บภาพที่ต่าง ๆ แทน ซึ่งต้องบอกว่าที่นี่เค้าอนุญาตให้บินโดรนได้ปกติครับ อันนี้เก็บมาพอสังเขปในจุดสำคัญนะครับ

เราเดินทางกันต่อ รีบไป Sulfer Baht อันเลื่องชื่อของที่นี่กัน ได้ข่าวว่าฟินมาก ดีมาก ไม่ไปไม่ได้ ที่นี่ห่างจากตัว Gori ราว ๆ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ ๆๆๆ Google Map พาเราขับมาผิดทางครับ โดนตำรวจจับเลย

หลังจากลงรถก็เข้าไปถามราคา และขอดูห้องแช่ซัลเฟอร์ ต้องบอกงี้ว่า ที่นี่มีทั้งบ่อแบบรวมและ Private ถ้า Private ก็ราคาตั้งแต่ 70-150 GEL ส่วนแบบรวม ราว ๆ 10GEL ถ้าจำไม่ผิด

พอเข้าไปต้องบอกว่าเขิลครับ ยิ่งกว่าจี่ปุ่น เค้าแก้ผ้ากันจริงจังมาก มองหน้ากันกับพ่อเลยขอผ่านก่อน เขิลกันเอง แล้วอีกอย่าง อารมณ์ตอนนั้นมันไม่ได้อยากแช่อ่างร้อน ๆ ครับ มันอยากนอนพัก เตรียมกลับบ้านพรุ่งนี้แล้ว แต่ก็เก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ อยู่นะ ซึ่งหลัก ๆ แล้ว เค้าเชื่อว่า การแช่ซัลเฟอร์สัก 15-20 นาทีในอุณภูมิที่พอเหมาะ จะทำให้ผิวสดชื่น มากไปกว่านั้น สามารถจ้างพนกังานขัดขี้ไคลให้เราได้อีกด้วย

น้ำที่ใช้เค้าก็เอามาจากเขาด้านหลังเลยครับ ที่นี่เลยมีบ่อซัลเฟอร์สำหรับอาบน้ำกันเยอะมาก และไม่ใช่เฉพาะคนพื้นที่ที่มานะ นักท่องเที่ยวก็มากันเยอะเลย

ขอไป Check in รร. สักพัก คืนพักที่นี่เราพักใกล้กับ Holy Trinity Church เลย พอเก็บของเสร็จ เราก็เดินไปเพียง 3 นาที ก็ถึงโบสถ์ เรียกได้ว่า เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ขอจอร์เจียสำหรับทำพิธีกรรมต่าง ๆ เลยก็ว่าได้

ภายในสวยงามาก ยังงงว่าสร้างกันได้ไงสวยขนาดนี้ ของจริงคือใหญ่เหมือนเมืองยักษ์เลย ไปตอนไหนก็ได้สวยหมด และที่นี่เปิดดึกครับ ยังไงลองเช็กเวลากันอีกทีเผื่อไม่อยากไปตอนช่วงแดดแรง ๆ อย่างตอนเราไปช่วงบ่ายนี่หน้าหนาวก็หน้าหนาวเถอะ แดดเลียซะหน้าชาเลย

และแน่นอนว่าประวัติหรือเรืองเชิงลึก ทางเราจะไม่เล่านะครับ เก็บภาพมาให้ดูพอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอีกที่ที่ห้ามพลาด ควรลิสต์ไว้ในทริปเลย ห้ามเอาออก สวยจริง ๆ

ตอนนี้เริ่มพูดไม่รู้เรื่องละ อยากกลับบ้าน อ่ะ.. ไปต่อ ที่สุดท้ายของค่ำคืนนี้ที่เก็บภาพมาได้ และตั้งใจไปมาก ๆ และไม่อยากให้พลาดเลยคือ The Chronicle of Georgia ครับ โคตรดีบอกเลย

ที่นี่ยังสร้างไม่เสร็จดี เป็นเสาเหล็กขนาดใหญ่ สูงกว่า 30 ฟุต

xxxx

xxx

จบจากสิ่งมหัศจรรย์ตรงนี้ ผมขับต่อไปดูเมืองตอนกลางคืน กะจะไป Freedom Square แต่ไม่มีที่จอดเลย ขับวนรอบเดียวกลับ อีกอย่า ทุกคนเหนื่อยไม่ไหว ขับรถและเที่ยวมาทั้งวัน ระหว่างที่กลับที่พัก ผมกับแม่ก็เดินออกมาดูตลาดเค้าหน่อย ว่าทรงเป็นไง เห้ย ดี!!!

เมืองเค้าก็จะวุ่น ๆ เหมือนตลาดบ้านเรา แต่เพราะดูหนาว เลยทำให้ได้ภาพที่มู้ดไปอีกโทน ใด ๆ คืออยากให้ลองเดินเล่นตามตลาดดูสักวันครับ ได้ของกินกลับบ้านเพียบเลย ผลไม้อร่อย โดยเฉพาะองุ่น รวมถึงไวน์ที่ราคาแสนถูก

DAY 8 – HALF DAY TBILISI – GOOD BYE GEORGIA

เอาเข้าจริง ๆ ทริปเราจบตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ใจอยากกลับบ้าน แต่จริง ๆ เราสามารถเที่ยวต่อได้ถึงครึ่งวัน และมีเวลามากพอด้วย เราขับรถไปกะไป Sulfer Bath อีกรอบ แต่ใจไม่อยู่แล้ว เลยได้แค่นั่งดื่มกาแฟคุยกันตรงคาเฟ่ข้างหน้า

ในเมืองมีที่เที่ยวเยอะครับ ทั้งสะพาน โอเปร่าฮอล์ หรือ Mother of Goergia Statue คล้าย ๆ ที่ NYC ก็มี เพื่อน ๆ จัดสรรเวลาและปรับเปลี่ยนได้เลย เพราะแผนการเดินทางที่โหลดไว้ที่ให้ไปตอนแรก ค่อนข้างจะเก็บครบทั้งหมดเลย อย่างไรก็ตาม สำหรับทริปครั้งนี้ ต้องขอบคุณพ่อแม่พี่สาว ที่ผลัดกันขับรถ ช่วยกันดูทาง และสร้างความสุขระหว่างทางตลอดทั้งทริปเลย ทริปหน้าเราจะไปที่ไหน ไว้เจอกันระหว่างทางครับ