Site icon PALAPILII-THAILAND

Road Trip อุดร – หนองคาย – บึงกาฬ 3 วัน 2 คืน ด้วยเงินคนละ 2,000 บาท (ไม่รวมตั๋วบินจาก กทม.)

ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับภาพวิวหรือสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยมานานมากแล้ว จนกระทั่งทริปนี้แหละ ทริปที่เป็นจังหวัดที่ทำให้ข้อสอบสมัยประถมผมเปลี่ยนจากที่จะต้องกาข้อ ก. เป็น ข. เพราะจากคำถามที่ว่าประเทศไทยมีกี่จังหวัด คำตอบของคำถามมันเปลี่ยนไป จากที่จะตอบ 76 ตอนนี้ต้องเปลี่ยนไปเป็น 77 เสียแล้ว

ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงทริปบึงกาฬเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาของผม ทริปนี้สุด ๆ เลย เพราะเป็นทริปที่ค่ำไหนนอนนั่น แต่ก็จะสดแบบ 100% ไม่ได้ ก็ต้องมีการจองล่วงหน้าก่อนบ้าง แต่ก็จองแต่ของสำคัญ อย่างเช่น Flight บิน รถเช่า

แผนการเดินทางทริปนี้ของเราวางไว้ลวก ๆ ครับ

DAY 1

DAY 2

DAY 3

นี่คือแผนที่วางไว้ง่าย ๆ ถ้ำฟีลได้ ก็อยู่ต่ออีกสักคืน แต่หากแรงเหลือ ก็บินกลับคืนที่ 3 ได้เลย เช็คเวลาแล้ว ยังไงก็ทัน เพราะช่วงหินสามวาฬ เราตั้งใจจะตื่นตีห้าไปดูทะเลหมอกตอนเช้า

สำหรับตั๋วเครื่องบิน ทริปนี้ต้องบอกว่า VietJet เค้าจัดหนักจริง มีโปรหลักสิบหลักร้อยบาทเอามาล่อจนเกิดทริปนี้จนได้ บวกลบค่าภาษีน้ำมันและสนามบิน ก็อยู่ในราคาหลักพันต้น ๆ ถือว่าดีเลยทีเดียว

จาก กทม. ไปบึงกาฬ ใช้เวลาไม่นานครับ ราว ๆ 1 ชม. พี่ ๆ พนักงาน VietJet บริการดีมาก ทั้งกราวน์ ทั้งบนเครื่องเลย รวมไปถึงที่นั่งของ VietJet ก็นั่งสบาย ภายในห้องโดยสารสะอาด ไม่มีกลิ่นรบกวนครับ

จริง ๆ VietJet ก็มีหลายรูทแล้วนะที่เปิดหลังเหตุการณ์โควิด ที่สำคัญจัดราคาโปรยาว ๆ เลยช่วงนี้ เพื่อน ๆ สามารถเข้าไปสอบถามรายละเอียดได้ที่ https://www.vietjetair.com/Sites/Web/th-TH/Home เอาล่ะ จองตั๋วบินได้แล้ว ต่อไปก็ต้องเป็นรถเช่าสินะ

รถเช่าหลายคนน่าจะรู้ ว่าผมเดินทางกับ AVIS แทบจะทุกที่ทั่วโลกครับ จริง ๆ เป็นคนชอบสีเขียว แต่พอเป็นรถเช่า ฟีลมันบอกว่าสีแดงเหอะ อาจจะเพราะว่า หาง่ายด้วย เวลาลงเครื่องแล้วต้องหาที่สนามบิน

AVIS เป็นอีกแบรนด์ที่มาตรฐานสูง แต่ราคาย่อมเยา ที่สำคัญ มีรถหลากหลายประเภทให้บริการ และแทบจะมีรถเช่าให้ทุกพื้นที่ครับ อย่างทริปนี้ มากันสี่คน ราคาเริ่มต้นของ AVIS ต่อวันอยู่แคหลักร้อยไม่เกินพันบาท ใครจะอดใจไหว

ที่สำคัญ พนักงานดูแลดีครับ หลักการง่าย ๆ ที่ห้ามพลาดสำหรับจองรถเช่า คือห้ามลืมบัตรเครดิทเพื่อวางมัดจำรถนะครับ อันนี้สำคัญ ส่วนบัตรใบขับขี่อันนี้ก็ควรจะรู้กันดีนะครับว่าต้องนำติดตัวไปด้วย เอาล่ะ แค่ 2 อย่างที่ต้องจองสำหรับทริปนี้ ผมว่าโอเคแล้ว ที่เหลือ เราไปตายเอาอาบหน้ากัน

DAY 1: BKK – UDON

นี่คือครั้งแรกที่ผมบินมาลงอุดรครับ ผิดคาด เพราะผมคิดว่าอัดรธานี จะเป็นเมืองที่ใหญ่กว่านี้ พอบินลงมาปึ้บ ก็ไปรับรถ และขับเข้าเมืองไปทานข้าวเที่ยงเลย เพราะหิวมาก และพอทานข้าวเสร็จ ก็รีบขับรถต่อไปถ้ำดินเพียงทันที

ถ้ำดินเพียง

ถ้ำเดินเพียงคือถ้ำหินทรายใต้ดินครับ เป็นถ้ำที่มีเรื่องเล่าขานกันมาสองเรื่อง เรื่องแรกเล่าว่า เป็นช่องทางที่พระภิกษุผู้ฝึกตนจากเมืองเวียงจันทร์ ใช้ข้ามผ่านแดนใต้น้ำโขงมาฝั่งไทย และเรื่องที่สองเล่ากันว่า เป็นเส้นทางระหว่างโลกมนุษย์และโลกบาดาลของพญานาค (อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล)

หน้าถ้ำจะมีศาลให้กราบไหว้และบนบาน ซึ่งในส่วนนี้จะต้องจุดธูปตามดอกที่กำหนด และกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอเข้าถ้ำก่อน และถ้ำดินเพียงแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัดถ้ำศรีมงคลครับ

ค่าบริการที่นี่คือการช่วยชุมชนครับ เราจะไปกี่คนก็ได้ เสียค่าบริการนำทางให้ชุมชนผู้อาสาเพียงกรุ๊ปละ 100 บาทเท่านั้น ซึ่งการนำทางของชุมชนลงถ้ำ จะใช้เวลาราว ๆ 30 นาที และภาพต่อจากนี้ คือถ้ำดินเพียง หวังว่าภาพที่ผมถ่ายจะอธิบายทุกอย่างให้ทุกคนได้เห็นภาพนะครับ

วัดป่าภูก้อน

วัดป่าภูก้อน เป็นอีกวัดหนึ่งที่ผมอยากจะไปมาก เห็นหลายคนไปได้รูปสวย ๆ มาเต็มเลย แต่อย่างว่าครับ GPS google map พาเราไปทางลัด ลัดจนหลงทาง จนต้องวนรถกลับแล้วกลับเล่าสองสามรอบ ผลที่ได้คือ ไปไม่ทัน วัดปิด

แต่เอาน่า… มารู้จักวัดป่าภูก้อนคร่าว ๆ กัน วัดป่าภูก้อนเนี่ย สร้างบนรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย เกิดขึ้นจากพุทธบริษัท ที่ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของธรรมชาติและป่าต้นน้ำลำธาร ซึ่งกำลังถูกทำลาย และเพื่อตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการรักษาความสมบูรณ์ของป่าไม้ต้นน้ำลำธาร สัตว์ป่า และพรรณไม้นานาพันธุ์ ให้เป็นมรดกของลูกหลานไทยคู่กับแผ่นดินไทยนั่นเอง

เราขับลงมาจากวัดป่าภูก้อนด้วยกำลังที่อิดโรยครับ แตะระหว่างทางดันหันไปเจอคาเฟ่เก๋ ๆ ริมทางกลางทุ่งหน้า เลยแวะเข้าไปถ่ายภาพสวย ๆ และสั่งอาหารทานกันที่นี่เลย

ที่นี่คือ ” สถานนีปลายนา ” นะครับ นอกจากบรรยากาศจะสวยแล้ว รสชาติอาหารยังโอเคด้วยนะครับ เสียดายที่เรามีเวลาน้อย ไม่งั้นคงได้นั่งนอนยาวกว่านี้ เราบิลเสร็จก็ใช้ Booking.com ในการหาที่พักเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งก็ได้ที่พักใน อ.สังคมในราคานอนรวมกันห้องเดียว 650 บาท เก๋ ๆ ไป เอาล่ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวต้อนตื่นตีห้าไปชมทะเลหมอกกัน คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

DAY 2: หนองคาย สู่บึงกาฬ

เช้านี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นเต้นมาก ๆ เพราะลุ้นว่าจะได้เจอทะเลหมอกไหม และด้วยความที่เคยไปเดินสะพานกระจกที่จางเจี่ยเจี้ย ประเทศจีน ก็อยากจะรู้ว่าที่ไทยเนี่ย มันสวยงามเท่าบ้านเค้าหรือเปล่า ว่าแล้วก็ปลุกเพื่อนก่อนเลย

มึงก็โม้ไป เพื่อนปลุกมึงเว้ยยยย ก็แหงล่ะ เมื่อคืนไปดื่มกันริมโขง ร้านหมูกระทะ แล้วต่อกันที่หม่าล่า กลับมาดึกเลย อ่ะ เอ่าเป็นว่า ตื่นปึบล้างหน้าหน่อย พอให้ตื่น ๆ แล้วขับออกจากที่พักเลย

โหหหห… นี่มันคล้ายเชียงคานเลยนะเนี่ยที่นี่ ระหว่างทางมีหมอกตลอดทางเลย ใช้เวลาราว ๆ 15-20 นาที ก็ถึงวัดผาตากเสื้อแล้วครับ ซึ่งวัดผาตากเสื้อจะมีจุด Highlight อยู่ 2 จุดด้วยกัน

จุดแรกจะเป็นลาดหินธรรมชาติข้างกุฏิ เป็นลานหินที่ยื่นออกไปตรงหน้าผา มองเห็นวิวทิวทัศน์ทั้งฝั่งไทย และฝั่งลาว เห็นแม่น้ำโขงที่ถูกไหลรวมกันจากแม่น้ำสองแห่งซึ่งไม่ทราบชื่อ หมอกลอยเบาขึ้นมากระทบหน้า ฟินสุด ๆ

ในจุดที่สองจะเป็นสะพานกระจกรูปตัวยูที่ใครหลายคนเคยเห็นผ่านมาแล้ว แม้ว่าของจริงจะดูเล็ก ๆ แต่พอได้สัมผัส ก็ทำเอาเสียวเหมือนกันนะ โดยรวมแล้วดูดีครับ ได้วิวสวย คุ้มค่าแก่การไปแวะเวียน

ในส่วนวัดผาตากเสื้อเนี่ย ก็จะเป็นวัดประจำ อ.สังคม จ.หนองคาย ที่เหล่าชาวพุทธล้วนเข้ามาทำบุญไหว้พระทุกวัน รวมถึงทุกวันสำคัญด้วย บนวัดสะอาดสะอ้าน สบายตา เหมาะสำหรับทำจิตใจให้ร่วมเย็น ใครอยากทำบุญรักษาศีล หรือจำวัดเจริญภาวนา แนะนำที่นี่อีกที่เลย

เช้านี้ต้องบอกว่าอิ่มมาก อิ่มบุญ? เปล่า นี่ยังไม่ได้เข้าวัดไปกราบไหว้เลย เมื่อแต่ถ่ายรูปหมอก พอดูเวลาอีกที เดี๋ยวจะเดินทางไม่ทันแล้ว เราต้องรีบเดินทางจาก หนองคาย ไปภูทอกครับ ซึ่งใช้เวลายาวนานถึง 4 ชั่วโมงเศษเลย กลับที่พัก เก็บของ ร่ำลาเจ้าของห้องพัก แล้วล้อหมุนทันที

ระหว่างทางก็มีหิวบ้าง ใช้ Google Map Search ร้านอาหารที่ใกล้ฉันที่สุด ไปเจออยู่ร้านหนึ่งชื่อแปลกครับ “ ลาบเป็น Off Road “ บ้าบอกมากแม่ จอดอย่างเร็ว และรสชาติอาหารก็ไม่ทำให้เราผิดหวังครับ โคตรอร่ยอ กล้าใช้คำนี้เลย ไป 4 คน สั่งอาหารกินกัน 10 กว่าจาน ราคาเบ็ดเสร็จอยู่ที่พันต้น ๆ ตกจานละ 100 บาท อิ่มยาวไปมื้อนี้

คาดว่าคงถึงครึ่งทางแล้วล่ะ ตอนที่จอดแวะทานอาหาร และไม่นานนัก เราก็ได้เห็นเทือกเขาทรายที่ทอดยาวระหว่างทาง จนถึงจุด ๆ หนึ่งที่เขานั้นหายไป แต่โผลเขาอีกลูกก้อนใหญ่ที่ยืนอยู่โดดเดี่ยวขึ้นแทน

ใช่ละครับ เราเดินทางมาถึงภูทอก ในเวลาที่ทันเวลาพอดี นั่นก็คือ 4 โมงเย็น เอาล่ะ ในรีวิวที่อ่านมา จะต้องใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการชมทุกจุดบนภูทอก แต่วัยรุ่นอย่างเรา ขอ 2 พอ แล้วก็ไม่รอช้าครับ ไปดูวิวแต่ละชั้นกันเลย

เบื้องต้นต้องแจ้งก่อนว่า ภูทอกเป็นวัดครับ และเป็นสถานี่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ ในจุดนี้เองที่ขึ้นชื่อว่าภูทอก เป็นเพราะว่า ทอก แปลว่า Alone ครับ แล้ว Alone แต่ว่าลำพังครับ นั่นหมายความว่า เป็นภูที่เสร่อขึ้นมาตัวคนเดียว โดยที่ไม่มีใครอยู่รอบข้างเลย

ทั้งภูมีอยู่ 7 ชั้น แตจ่ละชั้นก็จะแตกต่างกันไปในเรื่องของวิวครับ โดยจุดที่สวยเริ่มมีสะพานไม้ที่ขนาบไปกับหน้าผาจะเริ่มที่ชั้นสาม ไปดูภาพกัน

ชั้นสี่ก็จะมีฤาษี มีทางเดินริมผาและจุดชมวิวให้ได้หวาดเสียวกันครับ ซึ่งในจุดบางจุด ต้องบอกก่อนว่าค่อนข้างอันตราย ด้วยความว่าโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นไม้ มีบางจุดกระดก และไม่ถูกขันแน่นนะครับ จากชั้น 3 มาชั้น 4 มีสองทางขึ้น

พอชั้น 5 ก็จะเป็นจุดที่สวยงามอีกจุดที่ผมชอบเลย ซึ่งชั้น 5 จะมีกุฏิของพระสงฆ์อยู่ข้างบน และมีทางเดินริมผาที่สวยมาก ๆ ชั้น 5 เป็นชั้นเดียว ที่มี สะพานเดินริมผารอบภูครับ

ขึ้นมาชั้น 6 ชั้นนี้คือวิวสวยครับ เพราะจะเห็นภูน้อย ๆ ที่ยื่นออกไป มีโครงสร้างประมาณว่าเป็นที่ปฏิบัติธรรมด้วย สวยครับ เอาจริง ขึ้นมาชั้น 6 ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไปดูชั้น 7 กัน

ชั้น 7 จะเป็นจุดชมวิวที่ดูพระอาทิตย์ตกครับ ใครใคร่อยากขึ้น ขึ้น ใครไม่ไหว แนะนำให้รีบลงไปครับ เพราะพออาทิตย์ตกดิน ข้างบนจะมืดและอันตรายมาก จริง ๆ ภูทอก ก็เปิดให้เข้าชนได้ถึง 18:00 น. เท่านั้นครับ

ผมนี่อิ่มกับวิวที่นี่จริง ๆ เพราะที่นี่ เป็นอีกจุดที่ทำให้ผม พาตัวเองมาที่บึงกาฬแห่งนี้ ว่าแล้วก็ไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานในเมือ… เห้ย!!! ยังไม่ได้หาที่พักเลย เอาเป็นว่า ขออนุญาตไปหาที่พัก ทานข้าว แล้วรีบเข้านอนก่อนนะครับ เพราะพรุ่งนี้ เป็นอีกหนึ่ง Highlight ที่ไม่ควรพลาด แต่ต้องตื่นเช้าหน่อย นั่นก็คือ ตี 5 ครับ ๕๕๕๕๕

DAY 3 บึงกาฬคือโคตรพีค!!!

ตื่นตี 5 วุ่นวายไปหมด เพราะต้องรีบเก็บของออกไปพร้อม Check out เลย วันนี้ทั้งวันเรามีคิวเยอะมากครับ ซึ่งที่แรกที่จะไป ทุกคนจะต้องชอบแน่นอน จากที่พักเราเดินทางถึงอุทยานแห่งชาติภูสิงห์ ราว ๆ 30 นาทีเท่านั้น

พอถึงเขตที่ทำการ ก็ต้องเข้าไปลงทะเบียน ซึ่งกฏกติกามีอยู่ว่า ต้องนำรถ 4 Wheels ขึ้นเท่านั้น หากไม่มีรถ ก็ต้องเหมารถของชุมชนขั้นไปครับ 500 บาทต่อคัน นั่งได้ 10 คน เรามากัน 4 คน ก็เหมาคันเดียวขึ้นกันสบาย ๆ แบบบอย ๆ และที่สำคัญ เราเป็นคิวแรกของวันนี้ครับ

ภูสิงห์ผมพึ่งรู้ว่าข้างบนมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แค่หินสามวาฬครับ ข้างบนมีจุดแวะอีก 3 จุดด้วยกัน แต่เราไปเริ่มกันที่จุดแรก หินสามวาฬก่อนเลย

จากจุดเริ่มต้นมาถึงหินสามวาฬ ใช้เวลาราว ๆ 15 นาที จอดรถ แล้วเดินเข้าไปอีก 50 เมตร ก็จะถึงหินสามวาฬเลยครับ ซึ่งหินสามวาฬเนี่ย เห็นหินทรายนะครับ รูปร่างคล้ายวาฬ เลยได้ชื่อขนานนามมาแบบนั้น แต่บางคนก็นึกถึงมันเผาอย่างบอกไม่ถูก

จุดเด่นคือจะเป็นวาฬลูก วาฬพ่อ วาฬแม่ แหวกว่ายอยู่ในทะเลครับ แต่เป็นทะเลหมอก ได้ฟีลสุด ๆ เราโชคดีที่ขึ้นไปเป็นกรุ๊ปแรก เลยได้ภาพคูล ๆ มาสวยเชียว ไปดูกันครับ

สำหรับจุดท่องเที่ยวที่นี่ ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็เพียงพอสำหรับทุกจุดครับ ซึ่งจบจากหินสามวาฬ เราก็พอใจแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่อยากให้เพื่อน ๆ แวะลงไปถ่ายรูปเล่นหน่อย เดี๋ยวจุดอื่น ๆ จะน้อยใจครับ ซึ่งนอกจากหินสามวาฬ ก็จะมีมีลานฤาษีครับ หินรูปช้าง ช่องลม และลานร้อยโบก ตามลำดับ

หลังจากนี้เตรียมตัวเปียกกันยาว ๆ เลย เพราะเราจะตะลุยน้ำตกกันครับ ภูสิงห์ ไปน้ำตกแรก ใช้เวลาราว ๆ 30 นาที เราแวะทานข้าวเช้าระหว่างทางราว ๆ 45 นาที ไม่นานก็ไปถึงน้ำตกเจ็ดสีครับ

น้ำตกเจ็ดสีเป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่ได้ยินมานานแล้ว ตั้งแต่เปิดจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งตัวน้ำตกดูใหญ่ กว้าง ยาว สูง คูณ ½ นั่นคือสูตรสี่เหลี่ยมคางหมูสำหรับหาพื้นที่ครับ แต่ก็ไม่เกี่ยวกัน เอาเป็นว่า จ่ายค่าบัตรผ่านทางของอุทยาน แล้วลงเดินกันเลย

น้ำตกมีระยะทางราว ๆ 2 กิโลแม้วไปกลับครับ ระหว่างทางจะเป็นทางขึ้นทางลง ลุยน้ำ เดินป่า ปีนเขา ขึ้นบันได จับเชือก บลา ๆ เรียกได้ว่า ไม่ได้เตรียมใจมาทำอะไรแบบนี้จริง ๆ และพอไปถึง โห… มีเรากลุ่มเดียวอีกแล้วครับ ๕๕๕๕๕๕

ซึ่งระห่วางทางก็ต้องทิ้งเพื่อนไว้ข้างทางสองคนครับ เพื่อนไม่สู้ มันค่อนข้างที่จะเปียกหน่อย ๆ ใครไม่ได้เตรียมรองเท้าสำหรับเปียกมา ก็ขอบอกไว้ตอนนี้เลยว่า มึงเปียกแน่นอน และนี่คือน้ำตกเจ็ดสี ที่ทำให้เราตระหนักได้ว่า เราเป็นเพียงแค่สิ่งเล็ก ๆ บนโลกนี้จริง ๆ

น้ำตกถ้ำพระ ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมชอบที่นี่สุด ๆ ปกติเรามักจะชอบสถานที่ธรรมชาติที่คนน้อย ๆ ใช่ ไหมครับ แต่สำหรับที่นี่ เปล่าเลย ลืมกฏทุกอย่างที่เคยมีทิ้งไปเลย สำหรับที่นี่ การมีคนเยอะ ๆ คือสนุกสุด ให้ดูภาพเปิดก่อนเลย อ่ะ…

อ่า มาเข้าเรื่องกันดีกว่า นี่ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าการไปน้ำตกถ้ำพระจะต้องนั่งเรือเข้าไป คือตัวน้ำตกมันอยู่ในป่าแก ค่านั่งเรือเข้าไปคนละ 20 บาท ใช้เวลาราว ๆ 5 – 10 นาที จากนั้นเดินเข้าไปต่อราว ๆ 300 เมตร ก็จะเจอสวนสยามกลางป่า

และที่พีคสุดคงจะปฏิเสธการสไลเดอร์ที่น้ำตกแห่งนี้ไม่ได้ครับ คือมันมาก เล่นจนกางเกงเป้าขาดไปเลย แนะนำให้เตรียมที่แค้มปิ้งมานะ เอาเสื่อแล้วซื้ออาหารมาด้วย คือจะดีมาก พวกไก่ย่าง ส้มตำอะไรแบบนี้ ถ้ามากันเยอะ ๆ อ่ะ คือดีสุดแม่

จริง ๆ เราว่าจะกลับกันแล้วล่ะ แต่ ๆๆๆๆ ระหว่างทาง ดันไปเห็นเพื่อนโพสต์น้ำตกที่อยู่บึงกาฬ เป็นภาพใช้โดรนบินเก๋ ๆ แล้วมีน้ำไหลหล่นมาเหมือนที่โบลาเว้น ผมนี่ขับต่อไปนครพนมเลย คือเค้าอยู่ตรงเหนือสุดของนครพนม ชื่อน้ำตกตาดเนินสวรรค์ ไปดูภาพกัน

ตัวน้ำตกตาดเนินสวรรค์จะเป็นน้ำตกที่แทรกตัวอยู่กลางป่า แล้วหล่นมาจากหน้าผาสูงชันราว 70 เมตร ครับ ทางขึ้นขอบอกว่าหินพอตัว แต่ขึ้นไปแล้วคงจะได้เห็นวิวสวย ๆ 180 องศาแน่นอน สำหรับที่นี่ เราขอเก็บภาพจาก Bird Eye View ก็พอ เพราะเหนื่อยมากพอแล้วจกน้ำตกถ้ำพระ

ก่อนเข้าตัวอุดรธานี เราปักหมุดไปเก็บโบถส์ลอยน้ำกันครับ เป็นอีกจุดที่ถือว่าถ้ามีเวลาก็ห้ามพลาดนะ ที่สำคัญ ถือเป็นจุดจบทริปที่ได้ทำบุญก่อนกลับบ้านอีกด้วย ยังไงเพื่อน ๆ ห้ามพลาดนะครับ

และนี่คือสถานที่ท่องเที่ยวคร่าว ๆ และเรื่องราวทั้งหมดในทริป หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี ของพวกเรา หวังว่าเพื่อน ๆ จะสามารถนำทริปตัวอย่างของเราไปตามรอยได้ ทริปเราเอามาเล่าแบบหลวม ๆ ครับ เพื่อน ๆ สามารถแทรกบางส่วน ตัดบางตอน เพิ่มบางอย่างได้ตามไสตล์เลย แล้วเจอกันระหว่างทางครับผม : )

-ไม

สรุปค่าใช้จ่าย

ค่าที่พัก 2 คืน 1300 บาท

ค่าเช่ารถ 2500 บาท (3 วัน)

น้ำมัน 2000 บาท

ค่าเข้าถ้ำ 100

ค่าเข้าอุทยาน 170 บาท

ค่าเรือเข้าน้ำตกถ้าพระ 120 บาท

ค่ากิน 2,000 บาท

รวม 8,190 บาท

หาร 4 ตกคนละ 2,050 บาท

Exit mobile version