กินเที่ยว ไทเป 3 วัน 2 คืน ด้วยเงิน 6,000 บาท [ ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน ]
[et_pb_section][et_pb_row][et_pb_column type=”4_4″][et_pb_text]จริงๆ ไต้หวันเป็นเมืองผิวเผินที่เที่ยวง่าย ดูเหมือนว่าจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็ยังไม่ได้ไปสักที ที่ว่าเที่ยวง่าย เพราะมันใกล้บ้านเรา บิน 3 ชั่วโมงก็ถึง ค่าเงินก็ไม่ต้องคิดเยอะ 1 ดอลลาร์ไต้หวัน = 1 บาทไทย ไหนจะอุณหภูมิที่คล้ายบ้านเราอีก แต่ที่ดีงามและแปลกตาคือเรื่องวัฒนธรรม ที่เหมือนรวมทั้งจีนและญี่ปุ่นมาไว้เมืองเดียว และที่พลาดไม่ได้ คืออาหาร ที่ถูกปากคนไทยแบบมากๆ หากถามว่าอยากกลับไปเที่ยวอีกครั้งที่ประเทศไหน คงทำให้ใครหลายคน List ไต้หวันไว้เป็นอันดับต้นๆ
จริงๆ ทริปนี้เป็นทริป 3 วันก็จริง แต่เราเที่ยวกันจริงๆ แค่ 2 วันเต็มครับ นอกนั้นคือเวลาเดินทาง ก็ถูกแล้วล่ะ กะมาเที่ยวแค่เสาร์อาทิตย์ เนื่องจากเราทำงานประจำ ไม่มีวันหยุดบ่อยๆ เหมือนคนอื่นเค้า การมาทริปไต้หวัน จึงเป็นอะไรที่เป็นไปได้ที่สุดสำหรับ Weekend แบบนี้
ข้างบนคือแผนการเดินทางที่เพื่อนๆ สามารถ copy ตามรอยได้อย่างง่ายดาย ผมทำวันเวลาที่จะไปแต่ละสถานที่ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ๋จะเป็นจุด Landmark ต่างๆ ถ้าร่างกายไหว ก็คงไปได้หมด แต่เดี๋ยวพอถึงหน้างานค่อยว่ากัน อาจเที่ยวได้น้อยกว่าแพลน หรือเที่ยวเยอะกว่าแพลน ไม่มีใครรู้ได้ คิดว่าเพื่อนๆ น่าจะอยากเห็นของจริงที่ไม่ใช่ตารางเที่ยวแล้ว เอาเป็นว่าเราไปกันเลยดีกว่า มา!!
เนื่องจากเราไปกัน 4 คน 3 วัน และบินกันเช้าตรู่มากๆ หากจะขับรถไปก็เกรงจะอันตราย เอารถไปจอด ก็คงจะเสียค่าจอดราวๆ 1,000 บาท พอมาคิดแบบนี้ การมีคนมารับส่งไปกลับสนามบินคงจะง่ายกว่า และสะดวกอีกด้วย ด้วยความที่ใช้ Traveloka บ่อยมาก เลยเหลือไปเห็นช่อง “บริการรับส่งสนามบิน” นี่ก็เลยลองกดใช้ดูเลย
เราก็ทำการจองให้มารับทั้งขาไปและขากลับเลย ราคามีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน ขึ้นอยู่กับรถที่เราเลือกครับ พี่เค้าบริการดีมากๆ ยกกระเป๋าให้ และขับปลอดภัย ที่สำคัญคือมารับเวลาไหนก็ได้ อย่างเรานัดมารับเที่ยงคืน ก็มีรถมารับที่พีคคือ ขับมาหน้าลิฟท์ที่พักเลย ๕๕๕๕ ส่วนขากลับ ก็จะมีป้ายชื่อมารอรับที่สนามบินเลย ก็ดูแลกันไปจนถึงบ้าน เรียกได้ว่าตอนนี้ Traveloka เค้าใกล้คำว่า Travel One Stop Service มากขึ้นเรื่อยๆ
ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบิน Nokscoot เป็นสายการบินมาตรฐาน ราคาดี คุณภาพสูง ที่หลายคนมักสับสนว่าคือนกแอร์ แต่เปล่าเลย Nokscoot ก็คือ Nokscoot ไม่ใช่นกแอร์ โดย Nokscoot เองเป็นเครื่องบินราคาประหยัดอีกสายการบินหนึ่งที่เวลาบินดีมากๆ สำหรับขาไป คือบินเช้ามืดแล้วตื่นมาเช้าที่ไทเปเลย ที่สำคัญ ราคาต่อเที่ยวอยู่ในเรทที่จับต้องได้ 2,000 – 5,000 บาท เรียกได้ว่าหว่านหาได้ทั่วไปเลยล่ะ ทริปนี้เราบิน Flight XW182 จะถึงไปเปราวๆ 8 โมงเช้าพอดี
ในห้องผู้โดยสารของ Nokscoot จะแบ่งออกเป็นสองส่วนนะครับ คือชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัด ซึ่งต้องขอบอกข้อดีอย่างหนึ่งของ Nokscoot ไว้ตรงนี้เลยว่า มีช่องวางขาที่มีพื้นที่เยอะมาก นั่งสบาย สะดวก เข่าไม่ติดเก้าอี้ และในชั้นประหยัดเองก็มีอยู่สองโซนด้วยกัน จะมีโซน General กับโซน Silent ครั้งนี้เราก็เดินทางกันโดยนั่ง Silent Zone ครับ จะเป็น Zone ที่มีม่านปิดแบ่งโซนอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน และไม่ให้เด็กน้อยนั่งบริเวณโซนนี้ครับ
พอถึงสนามบินเถาหยวนก็รับกระเป๋าแล้วออกไปโซน Arrival ทันที ฝั่งซ้ายจะมี Sim Card ขายครับ ซึ่งราคา 3 วัน จะเป็นเน็ตไม่จำกัดบวกค่าโทรให้อีก 100 TWD ราคาประมาณ 250 บาท เอกสารที่ใช้ ก็จะมี passport แค่นั้น สามารถใส่ซิมได้เลย โดยไม่ต้องตั้งค่าอะไร
เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าเมืองไต้หวันกันแล้ว จริงๆ มากัน 4 คน แต่ตอนนี้เราบินมา 3 เพราะอีกหนึ่งคนตดธุระ จะบินตามมาในวันพรุ่งนี้ จากตัวสนามบินใช้เวลา 45 นาที สำหรับ Taxi และเวลาราวๆ 1 ชั่วโมง สำหรับการนั่งรถไฟเข้าเมือง
ที่พักของเราในค่ำคืนนี้คือ New Stay Inn 2 ครับ จองผ่าน Traveloka ได้ราคาดีมากๆ นอนได้ 4 คน ที่พัก 2 คืน อยู่ที่ราคา 5,500 บาท อยู่ใจกลางเมืองเก่าของไทเปเลย ซึ่งถือว่าโอเคมากๆ เพราะเดินทางง่าย และอย่างที่บอกว่า ห่างจากสนามบินเพียง 45 นาทีเท่านั้น
ที่พักสำหรับผม ถ้าที่ไหนดี นั่นหมายถึงว่า ต้องมีชุดแปรงฟัน ให้เราครับ และที่นี่ ก็ตอบโจทย์ได้อย่างดีที่เดียว หาไม่ยากครับ อยู่ใน Location ที่ดีจริงๆ แต่หากเพื่อนๆ ยังไม่โอเคกับสถานที่นี้อย่างผม ก็สามารถหาที่พักราคาถูก และดูแผนที่ประกอบตามย่านต่างๆ ที่เราต้องการพักได้ผ่านทาง Traveloka ได้เลย เพราะสะดวก จองง่าย และมีช่องทางชำระเงินเยอะมากกกกก
จากสนามบินเข้ามาใน Downtown Taipei จนมาถึงที่พักของเราในทริปนี้ ราคาประมาณ 700-900 บาท แต่ถ้านั่งรถไฟฟ้าจะอยู่ที่ 150-200 บาท ซึ่งก็ต้องเดินต่อมาอีกราวๆ 1 กิโลเมตร อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนเลยนะครับ อย่างเรามากันหลายคน มา Taxi น่าจะสะดวกและประหยัดเวลากว่า ไม่นานก็มาถึงที่พัก ซึ่งก็ยังเข้าพักไม่ได้ ได้แค่ฝากกระเป๋าไว้ เราไปถึงตั้งแต่ก่อน 9 โมงเช้า แน่นอนว่าต้องหิว มีร้าน Local หน้าที่พัก อ่ะไหนขอดูหน่อย
เป็นร้านข้าวต้มครับ เค้าก็จะทำกับไว้ แล้วก็ต้มข้าวต้นไว้หม้อหนึ่ง ข้าวต้มที่นี่กลิ่นหอมแปลกมาก แล้วตัวเนื้อข้าวก็แปลกกว่าไทยเยอะ ออกไปทางแป้งๆ หน่อย แต่รวมๆ แล้ว อร่อย หมอ กินง่าย ค่าเสียหาย 200 บาท ( ขอใช้หน่วย “บาท” เลยแล้วกันนะครับ เนื่องจาก 1 ดอลลาร์ไต้หวัน เท่ากับ 1 บาทไทย)
เอาล่ะ… หลังจากที่หนังท้องอิ่มกันแล้ว คิดว่าคงมีแรงเหลือๆ วันนี้ทั้งวัน เราขอเปลี่ยนตารางทริปโดยหยิบเอาทริปของวันที่สองมาไว้ในวันที่หนึ่ง นั่นก็คือจะเดินทางรอบตัวเมืองตามแพลน เท่าที่จะทำได้ ลำดับอาจสลับกัน แต่ก็ประมาณนี้ โดยทริปนี้ เราขออนุญาตนั่ง Taxi ตลอดทั้งทริป เพราะไม่อยากเสียเวลานั่งรถไฟ อีกอย่าง เรามากัน 3 คน ในวันแรก หารค่า Taxi กัน ก็คงไม่แพงกว่านั่งรถไฟเท่าไหร่ และขอสรุปไว้ก่อนเที่ยวเลยว่า ค่า Taxi รอบเมืองวันแรก หมดไปประมาณ 1,000 บาทเท่านั้น
แต่ถ้าหากใครที่ไม่ได้มาเยอะ มาคนสองคนแล้วอยากประหยัดค่าใช้จ่าย ก็สามารถ Save แผนที่รถไฟตัวนี้ไปได้เลยครับ รับรองว่าได้ใช้แน่ ผมว่าเรื่องที่ห่วงคงยังไม่หมดแค่นี้หรอก เดี๋ยวงคงมีแทรกๆ ไปตามการเดินทางเรื่อยๆ อ่อ… อีกเรื่องคือปลั๊กที่นี่ เป็นรูปเรียบสองรูนะครับ เหมือนบ้านเราเลย แต่หากใครเครื่องใช้ของใครเป็นรูกลม ก็นำ Adapter มาด้วยแล้วกัน
เรียกได้ว่าเดินชมเมืองเก่าไปครับ และไทเปคือไม่ว่าจะเป็นถนน ตรอก ซอกซอยไหน จะมีร้านอาหาร ร้านขายของทุกร้าน ไม่จำเป็นต้องไปย่านดัง หรือมีชื่อก็ได้ ยิ่งเข้าไปในจุด Local จริงเจอของ Local และวัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบ Real Life ของคนที่นี่ ทริปนี้ต้องปรบมือให้พ่อกับแม่ครับ อายุเยอะแล้ว แต่ก็เดินไหว เพราะตื่นเต้นกับการมาต่างเมือง
ด้วยความเซี้ยน อดไม่ได้จริงๆ ที่จะซื้อชาไข่มุก ต้องบอกแบบนี้ครับว่า ชานมไข่มุกที่ไต้หวันเยอะมากกกกกกก Mission อีกอย่างในทริปนี้คือ กินชานมไข่มัุกของไต้หวัน ที่ไม่มีในไทยครับ คือจะพยายามกินทุกร้านเท่าที่กินได้ อย่างเห็นความต่าง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ก็ไม่ต่างมาก แค่ได้ฟีลลิ้งว่า มากินที่เมืองต้นกำเนิดเฉยๆ ว่าแต่… ร้านนี้อร่อยนะ ไข่มุกหวานหอมกำลังดี และนมที่ใช้คุณภาพดีมากกกก
เดินตรงขึ้นมาทางเหนือของถนนอีกนิด จะเห็นตลาดครับ เป็นจุดที่เน้นขายของสด และเอาของสดมาทำกินกันสดๆ เลย มีหลายอย่างมาก เรียกได้ว่า ไม่มาไม่ได้แล้ว และจุดที่คนสนใจต่อคิว นั่งกันเต็ม Bar ก็คือจุดนี้ครับ
เป็นร้านขายปลาสด และอาหารทะเลสด นี่ไม่รู้จะสั่งอะไร เลยเอาข้าวหน้าปลาแซลมอนมาลองเชิง ราคาชามละ 240 บาท ก็เอาเนื้อมาแร่กันสดๆ น่าทานสุดๆ
ต้องบอกว่าตัวเนื้องแซลมอนนุ่มลิ้น หอม และละมุนละลายในปากมาก แต่ข้าวที่เค้าใช้เนี่ย ต่างจากข้าวญี่ปุ่นที่เราทานกันครับ คือมันจะเป็นข้าวที่มี Texture เป็นแบบไทย แต่มี Taste เป็นแบบญี่ปุ่น คำแรกที่เอาเข้าปากคือแปลกมาก แต่พอเคี้ยวไปนานๆ แล้ว หวาน หอม สรุปคือ มาแดก!!!
อย่างตอนเราไปก็มีคู่แต่งงานมาถ่ายรูปกันครับ แล้วก็มีนิทรรศกาลต่างๆ เต็มไปหมด อารมณ์มันจะเหมือนโกดังที่มีหลายโกดัง ซึ่งแต่ละโกดัง ก็จะถูกเช่าเพื่อจัดนิทรรศกาลครับ แต่ละนิทรรศกาลไม่ได้อยู่ตลอดไป ขึ้นอยู่กับว่า จะเช่าถึงช่วงเวลาไหนเท่านั้น โดยจุดเด่นที่สังเกตุได้ง่ายคือ โกดังที่มีต้นไม้เรื้อยคลุมอย่างในภาพนี้เอง
แต่ละนิทรรศกาลก็มีทั้งชมฟรี และเสียเงินครับ แล้วแต่เวลา และความตั้งใจของเราเลยว่าอยากมาชมอะไร แต่อย่างผม มาด้วยความเพราะอยากรู้ว่าที่นี่คืออะไร และพอเข้าใจ Concept บ้างแล้ว ก็ไม่ได้อินอะไรเบอร์นั้น แต่ไหนๆ มาแล้ว ก็ขอเข้าไปชมผลงานของใครคนใดคนหนึ่งหน่อยเถอะ และก็เดินมาถึงตรงนี้ครับ จุดที่เข้าฟรี ไม่ต้องเสียเงิน
ภายในนิทรรศกาลนี้เป็นการ Design อย่างมีเอกลักษณ์ที่เอามาประยุกต์ใช้กับสิ่งของประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น เคสโทรศพท์ หม้อหุงข้าว ไม้กวาด เตารีด เฮียแกเอามา recap ใหม่หมด และยังใช้ได้อยู่จริงๆ คือมันพูดยากนะ เรื่องจินตนาการ หลากความคิดครับ แต่โดยรวมถือว่าผลงานของคนคนนี้ดังพอตัว น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตัว Top ของ Taipei อยู่เหมือนกัน
นอกจากมีนิทรรศกาลแล้ว ก็ยังมีโรงหนังที่ฉายหนังแนวใต้ดินเหมือนบ้านเราด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสั้น หนังโดยผู้กำกับสมัครเล่น ที่นี่มีเวทีให้ทุกคนแสดงผลงานหมดเลย แต่เราไม่ได้เข้าไปดูนะ เวลาไม่พอ
เดินต่อมาเรื่อยๆ จะเจอ Shop Coffee และของกินอยู่ด้านหลังครับ แต่คืออ่ิมมากแล้วจากย่านตะกี้ ไม่สามารถซื้ออะไรยัดเข้าไปได้แล้ว จนมาถึงจุดหนึ่งเป็นโซนของเล่นที่เจ๋งสุดๆ แม่ผมชอบโซนนี้มากเลย เป็นการเอา Design เก๋ๆ ทำเป็นของเล่นควบกับ วิทยาศาสตร์ มีอไรให้ลองทำเยอะมาก อย่าพลาดโซนนี้เลย คิดว่าใครหลายคนคงหลงรัก
ขอบอกว่าไม่ใช่เฉพาะเด็กที่ชอบโซนนี้ ผู้ใหญ่อย่างแม่ผมนี่พูดแล้วพูดอีก ถึงขนาดขอให้ถ่ายรูปกับบรรยากาศในร้านเลยล่ะ ในร้านมีของขายด้วยนะ หากใครสนใจซื้อเป็นของฝาก ผมว่าดีเลยทีเดียว พอออกมาจากโซนของเล่น ก็นั่งพักเลยครับ เมื่อยขามาก Creative Park ดูเหมือนไม่ใหญ่มาก แต่เดินไปเดินมา ถึงขั้นเมื่อยเลยล่ะ
นั่งพักได้สักพัก ก็ถึงเวลาเดินทางไปจุดอื่นต่อแล้วครับ ซึ่งจุดที่เราจะไปต่อไปนี้ เรียกได้ว่าเป็น The Must ของ Taipei เลย เป็นจุดที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองๆ นี้อย่างแท้จริง
ภายในจะมีรูปปั้นทำจากทองสัมฤทธิ์ของท่านในท่านั่งขนาดใหญ่ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากรูปปั้นของท่านในที่อื่นๆ ซึ่งจะมีทหารยืนเฝ้าไว้ 2 นายตลอดเวลา มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทหารเค้าจะกระแทกปืนดังๆ เพื่อให้ผู้คุมมาตรวจสอบหรออะไรสักอย่าง คือรู้สึกสงสารทหารสองนายมาก แบบ ต้องยื่นนิ่งเหมือนหุ่นเลยอ่ะ
ถ้าสังเกตุที่กำแพงด้านในหลังจะมีข้อความปรัชญาทางการเมืองการปกครองของท่านอยู่ 3 คำ คือ จริยธรรม ประชาธิปไตย และวิทยาศาสตร์ ซึ่งไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวชมอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก คือพิธีเปลี่ยนเวรทหาร ซึ่งจะมีทุกๆต้นชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 10:00-16:00 ของทุกวัน นอกจากนี้ก็จะมีพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาในตอนเช้าตรู่และในตอนเย็นด้วย คือเวลา 06:00 และ 18:10 ในช่วงเดือนเมษายน-เดือนกันยายน อีกช่วงคือเวลา 06:30 และ 17:10 ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งทหารที่ทำหน้าที่นี้จะผลัดเปลี่ยนกันมาจาก 3 เหล่าทัพซึ่งจะมีสีของชุดยูนิฟอร์มไม่เหมือนกัน โดยจะทำหน้าที่กันครั้งละ 4 เดือน
ที่ชั้นล่างของอนุสรณ์สถานจะเป็นห้องจัดแสดงประวัติของอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชก ซึ่งจะมีภาพถ่ายต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ไปจนถึงรถยนตร์ส่วนตัว และฉากจำลองการทำงานของท่าน ไปจนถึงเรื่องราวของการพัฒนาไต้หวันในด้านต่างๆให้ชมกันด้วย ที่สำคัญ คือมีภาพคู่ในหลวง ร.๙ ของพวกเราด้วยนะ
บอกเลยครับว่าเที่ยวในเมืองไทเปเหนื่อยมาก พ่อผมเดินจนปวดขาเลย ไม่ไหวถึงขนาดต้องนั่งพัก แต่คือมาจุดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องเดินต่อครับ ขอเตือนว่าหากใครมาได้หวัน สิ่งจำเป็นและสำคัญที่ควรเอามาก็จะมี ร่มกันแดด แว่นกันแดด ครีมกันแดด และเสื้อกันฝน ที่ไม่รู้ว่าฝนจะตกลงมาเมื่อไหร่ เอาล่ะ หิวแล้ว ไปมื้อเที่ยงที่เราจองกันไว้ดีกว่า
เดินทางไม่ยากครับ นั่ง Taxi จาก Creative Park มาราวๆ 200 บาท โดยการ Search คำว่า ” 106台北市大安區延吉街131巷7號 ” หรือยื่นคำนี้ ให้ Taxi ดูเลย เพราะคนขับ Taxi ไต้หวันส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัย และมักพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
มื้อนี้เราเลือกเซตคอมโบพรีเมียม + น้ำอัดลม (สาขา Yanji) ราคาหัวละ 720 บาท (ยังไม่รวม VAT) จะมีน้ำซุปให้เลือก ชุดผัก ชุดเครื่องต้ม และเนื้อหลัก ที่จะเป็นหมูและวัว เรียกได้ว่า เด็ดมากๆ ผมชอบน้ำซุกหม่าล่าสุดๆ
ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 ร้านนี้ผมให้ 8 เลย คือดีมาก ร้านเล็ก แต่คุณภาพไม่เล็กเลยนะ ถึงแม้ว่าพื้นที่จะน้อย แต่ก็ดูแลเราดีมาก เป็นร้านไม่ดังเท่าไหร่ แต่เอาใจผมไปเลย น้ำจิ้มนี่คือสุด ที่สำคัญ อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ที่เรากำลังจะไปด้วย เอาล่ะ ทานกันอิ่มแล้ว ก็เดินออกจากร้านกัน แต่…. ด้านหน้ามีร้านชานมไข่มุกขายอยู่
ร้านนี้ตกแต่งเก๋ เจ้าของร้านหน้ารัก แต่รสชาติพอกินได้ ถ้าเทียบกับร้านเมื่อเช้าแล้ว เมื่อเช้าชนะขาดแบบใสๆ เอาล่ะ ใกล้ๆ นี้ มี Creative Park อีกที่ ที่คนนักท่องเที่ยวไม่นิยมเท่าไหร่ ส่วนใหญ๋จะเป็น Local People เป็น Creative Park ที่มีสวนสาธารณะเก๋ๆ ห่างจากจุดที่เรายืนอยู่ 1 กิโลเมตร ก็ถือว่าเดินย่อยไปแล้วกัน
ณ จุดนี้ พ่อกับแม่ขอนั่งรถเลยครับ เพราะ Creative Park ใหญ่มากๆ และเพื่อไม่ให้พ่อแม่รอนาน ขอเข้า นิทรรศกาลสักหนึ่งจุดแล้วกัน ซึ่งจุดที่ผมเข้าไป จะเป็นจุดที่ Effect เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนครับ
ภายในงานมีหลายบูธมากๆ และก็มี Video Presentation ของแต่ละกรุ๊ปมานำเสนอ โดยแต่ละเรื่องน่าสนใจมากๆ บางอย่างเข้าไม่ถึง และบางอย่างก็เข้าถึงง่าย และคิดว่าสามารถนำไปใช้ได้ด้วย อย่างเช่น โซนพับกระดาษเป็นรูปตะเกียบหรือช้อนแบบนี้
ปัจจุบันหากเพื่อนสังเกตุ ทั้งช้อนทั้งตะเกียบ จะถูกผลิตจากพลาสติกชนิดแข็งซึ่งย่อยสลายยากมากๆ และมากไปกว่านั้นบางที่ยังนำไม้ไผ่มาทำตะเกียบด้วย ซึ่งหากไม่ได้ปลูกไผ่เพื่ออุตสาหกรรแล้ว เพื่อนๆ คิดว่า เค้าไปเอาต้นไผ่มาจากไหนล่ะ ฉะนั้น หากได้กระดาษแข็งสักแผ่น และโครงรอยประสำหรับพับเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้บางอย่างได้ มันก็ดีไม่ใช่หรอ จุดนี้เป็นจุดที่เข้า[/et_pb_text][/et_pb_column][/et_pb_row][/et_pb_section]