Site icon PALAPILII-THAILAND

รีวิว Shizuoka [ชิซูโอกะ] 2 วัน 1 คืน | a scenic location representing paradise city

อุ้ยตายว้ายกรี๊ดดดดดดด คือในหัวสมัยก่อน ถ้าจะมาดูภูเขาไฟฟูจิก็ต้องไป Kawaguchigo เลย ไปเช่าจักรยานปั่นรอบทะเลสาบเก๋ๆ งี้ หาที่พักคูลๆ ตื่นมาดูวิวฟูจิริมระเบียงงี้ หรือไปเล่นสวนสนุกวิวฟูจิที่ Fuji Q งี้ เอาจริงคือดีหมด แต่การมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ก็ทำให้ตระหนักได้ว่า Kawaguchigo ยังไม่ใช่ที่ที่ดีที่สุด สำหรับอะไรก็ตามแต่ที่มี Background Mt.Fuji อยู่ข้างหลังในภาพ

มาๆๆๆ โมๆๆๆ โอไฮ้โย โกซาอีมาสสสสสสสสสสสสสสส ทริปนี้จะพาเพื่อนๆ ไปตะลุยเมืองทางผ่านอย่าง Shizuoka อ่านผ่านๆ มึงจะพูดว่า “ชิซุกะ” เหมือนกูแน่นอน ใช่! นั่นมันตัวการ์ตูนในเรื่อง Doraemon แต่ถ้าอ่านอีกที ตั้งใจอ่านดีๆ นะ จะอ่านว่า “ชิ ซึ โอ กะ” นั่นเอง

เมืองชิซูโอกะ อยู่ในจังหวัดชิซูโอกะ (ญี่ปุ่น: 静岡県 โรมาจิ: Shizuoka-ken) ไม่งงใช่ไหม คือเมืองกับจังหวัดมีชื่อเดียวกันอ่ะ ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุ บนเกาะฮนชู เป็นที่ตั้งของภูเขาฟูจิและมีชื่อเสียงของการปลูกชาเขียวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่หากไปเมืองนี้แล้ว แม้แต่ในเมืองที่มีรถติดบางพื้นที่ยังปลูกชาอยู่เลย

การเดินทางง่ายแสนง่าย ไปบัสก็ได้ ไปรถไฟก็ดี แต่ถ้าจะเอาให้ครบสีสันคัลเลอร์ฟูลเรื่องประสบการณ์ นั่งชินกันเซ็นสิ 1 ชั่วโมงจากโตเกียวถึงแบบลืมไปเลยว่าเดินทางอยู่ ขาไปไม่ว่าจะนั่งบัส JR หรือชินคันเซ็น แนะนำให้นั่งติดกระจกฝั่งขวาเลย เพราะว่าจะได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบสมใจอยากกกกก

ซึ่งผมก็ขอแนะนำก่อนเลยว่า การมาเที่ยวเมืองนี้นั่น ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นเมืองที่มีระบบขนส่งสาธารณะดีแค่ไหน แต่สถานที่ท่องเที่ยวบางจุดที่เราจะไป มันก็ไม่ได้เอื้อ และเผื่อแผ่เรื่องเวลาให้พอเพียงสำหรับการถ่ายรูปเล่นของเราขนาดนั้น ฉะนั้นแล้ว ถ้าเป็นไปได้ ก็แนะนำให้เช่ารถขับเองไปเลย เมืองนี้ค่าเช่ารถถูกกว่าโตเกียวแบบ 3 เท่าอ่ะ เอาดิ

ทริปนี้เรามาเช่ารถกันที่บริษัท Orikkusurentaka Shizuokaekimaeten (オリックスレンタカー 静岡駅前店 ) เป็นบริษัท Local ราคาจะถูกกว่าชาวบ้านเค้าหน่อย ถ้ากลัวคุยไม่รู้เรื่อง ก็มี TOYOTA RENT A CAR ใกล้ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ หาไม่ยาก เดินออกจากสถานนี Shizuoka ไปทางออกทิศเหนือ เลี้ยวขวา แล้วจะเห็นเลย

จริงๆ อยากนั่ง N BOX นะ (รถที่ญี่ปุ่นเก๋ๆ มีรูปร่างเหมือนลังหรือกล่องกระดาษของ HONDA) แต่ก็กลัวจะขับขึ้นเขาไม่ไหว เลยขยับมาหน่อยมาเป็น HONDA FIT (ก็คือ Honda Jazz) บ้านเรานี่เอง เช่ารถ 2 วันราคา 10,000 YEN เอาเป็นตกวัน 1,500 บาทเท่านั้น บ้าไปแล้ว นึกว่าอยู่ประเทศไทย

อันนี้เป็นทริคที่อยากแชร์ให้ทุกคนฟังนะ ถ้าไม่ฟังเลื่อนผ่านไปเลย…. แหนะ ยังไม่เลื่อนอีก รู้นะ อ่ะงั้นก็มาฟังพร้อมกัน คือนี่ไปเที่ยวมาหลายประเทศ และส่วนใหญ่จะเช่ารถขับใช่ป้ะ เท่าที่ขับรถมา ประเทศไทยนี่แหละ ขับยากที่สุดในโลก ๕๕๕๕ ฉะนั้น ถ้าพวกมึงขับรถในประเทศไทยได้แล้ว ญี่ปุ่นนี่ง่ายไปเลย เพราะพวกนี้ระเบียบสุดๆ ทำตามกฏ จบละ ขับไปเรื่อยๆ เจอไฟแดงก็จอด ไฟเขียวก็ไป ไม่ต้องรีบ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากเปลี่ยนจากสาย Backpack มาเป็น Road trip แล้วไม่ล่ะ ก็ไม่แปลก และมันก็ไม่ได้ยาก ไปเที่ยวแบบนี้ เช่ารถขับ ถ้าไปหลายคน หารกันส่วนใหญ่แล้วถูกกว่านั่งรถสาธารณะเสียด้วยซ้ำ เอกสารในการทำใบขับขี่สากลง่ายนิดเดียว

  1. ใบขับขี่ไทย ที่มีอายุ 5 ปี
  2. Passport ฉบับจริง (เอาไปเผื่อเรียก)
  3. เงิน 550 บาท

สองสิ่งนี้ ไปที่กรมขนส่งบ้านเราทั่วประเทศ ใช้เวลา 10 นาทีเท่านั้นล่ะ ก็ได้ใบขับขี่สากลมาอย่างง่ายดาย มาร์คไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่า ให้เช็คประเทศที่สามารถใช้ใบขับขี่ด้วยนะ ว่าประเทศไหนสามารถใช้ใบนี้ได้บ้าง เพราะอย่างบางประเทศที่ไม่มีในลิสต์ใบขับขี่สากล เขาจะให้เรายื่นใบขับขี่ของบ้านเราแนบไปด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยคือประเทศเกาหลีใต้ แต่ญี่ปุ่นนะหรอ เอาแค่ International license ใบเดียว จบเลย

สิ่งสำคัญในการท่องเที่ยวอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคนนะครับ คือบัตรเครดิต คือต้องพกติดตัวไว้เลยนะ เพราะทุกวันนี้เวลาจะมัดจำอะไรหรือจ่ายอะไร บางอย่างไม่สามารถจ่ายเป็นเงินสดได้ ต้องจ่ายผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น อย่างการเช่ารถยนต์ทั่วโลก ทุกที่ครับ

นี่ผมนอกเรื่องเกินไปเยอะเลย แต่เอาเป็นว่าแชร์ให้กันฟังก็แล้วกันนะ และหลังจากที่เราเช่ารถกันเรียบร้อยแล้ว เรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า ซึ่งทริปนี้ จะใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2 วัน 1 คืนเท่านั้น เรามาดูกันว่า แพลนของทริปนี้ หน้าตาจะเป็นประมาณไหน

DAY 1

DAY 2

ทั้งหมดนี้คือจุด Landmark ของ shizuoka ที่ผมสนใจนะครับ อิงความชอบจากตัวเองล้วนๆ พร้อมบวกกิจกรรมผาดโผนให้ด้วยอ่ะ ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น หน้างานเลย เจออะไร ก็เอาอันนั้นแหละ เพราะสำหรับผมแล้ว ของกินที่ญี่ปุ่น อร่อยทุกที่ และอร่อยทุกอย่าง ถ้าพร้อมแล้ว คาดเข็มขัด แล้วไปกันเลย!!!

DAY 1 –  Chilling Road Trip

Sumatakyo ถือเป็นที่แรกที่เราต้องไปให้ได้ครับ และน่าจะเป็นสถานที่ที่เดินทางลำบากที่สุดในทริปนี้ เพราะว่าเราจะต้องขับขึ้นเขาไปทางตอนเหนือ ซึ่งระหว่างทางเราก็จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของญี่ปุ่นในแบบชนบท คือขับรถไปแล้วแบบรักเมืองนี้ไปโดยไม่รู้ตัว

ช่วงที่เราไป เป็นช่วงที่ซากูระกำลังบานครับ คือระหว่างทางเห็นใบไม้เปลี่ยนสีและซากูระจนเบื่อ แต่ก็ไม่น้อยหน้าน่า ก็ขอไปชักภาพสักใบสองใบให้ได้รู้ว่าไม่ได้โม้ กูมาญี่ปุ่นจริง ไม่ใช่ไปถ่ายรูปกับชมพูพันธุ์ทิพย์ที่กำแพงแสนอะไรแบบนี้ ๕๕๕๕

อีกอย่างที่ผมชอบคงจะเป็นหมาสายพันธุ์ญี่ปุ่นตัวนี้ ซึ่งผมไม่มั่นใจเรื่องสายพันธุ์ แต่มันน่ารักมากกก มากถึงมากที่สุด เป็นหมาที่แบบ เจอทุกที่ผมต้องเข้าไปเล่นด้วย คือมันสวย และดูแพง อยากได้ไปเลี้ยงสักตัว

ทางขึ้นไป Sumatakyo ต้องขอบอกว่า สำหรับมือใหม่หัดขับ ขอให้ตั้งใจขับดีๆ นะครับ เพราะหลังจากที่จบช่วงชนบทไปแล้ว จะเป็นเส้นทางขึ้นเขาทั้งดุ้น ที่สำคัญคือบางช่วงเป็นเลนเดียว และต้องขับสวนกัน จังหวะนี้หรรษามากบอกเลย คือตกลงไปก็คือเหวดีๆ นี่เอง แต่ทุกโค้งจะมีกระจกนูนให้เราได้สังเกตุเห็นรถตรงข้ามครับ แต่ยังไงแล้ว ก็ต้องระวังดีๆ

บางช่วงสวย เราก็หยิบกล้องมาถ่ายรูปกันนะ มีไร่ชา มีสะพานข้ามแม่น้ำ ตรงนี้มีหลายจุดเลย จากตัวเมืองไปถึงนี้ ผมตีให้ไปเลยราวๆ 3 ชั่วโมงรวมถ่ายรูปทำนู่นนี่นั่น กว่าจะไปถึงก็เที่ยงพอดี มีร้านอาหารอยู่บริเวณทางเข้า sumatakyo เยอะครับ และบริเวณนั้นมีออนเซ็นชื่อดังด้วย หากใครมีเวลาเหลือเยอะๆ ถ้าแพลนมานอนที่นี่เลยสักหนึ่งคืน ผมว่าเป็นความคิดที่โคตรดี

ค่าจอดรถ 500 YEN จอดทิ้งไว้แล้วเดินไปครับ ที่นี่ไม่ต้องเสียค่าบัตรเข้า แต่จะเป็นแบบค่าปรับปรุงค่าดูแลของชาวบ้านที่นี่ ใช้เวลาเดินไม่นานนะ บางฤดูมีลิงด้วย มีสัตว์ ป่าไม้ น้ำ และดูเหมือนว่าจะเคยเป็นเหมืองด้วยหรือเปล่าตรงนี้ไม่แน่ใจเลย หลังจากเราเดินลอดอุโมงค์ไปแล้ว ก็จะเจอกับวิวประมาณนี้

ใช่ครับ ไม่รอช้าที่จะเดินลงไปแน่นอน จริงๆ แล้วถ้าเรามาถูกฤดู คือแนะนำให้มาช่วงหน้าร้อนครับ ที่นี่จะสวยมาก และน้ำที่อยู่ที่นี่จะสูงและดูเต็มแอ่งกว่านี้ แต่นี่แค่หน้าหนาว ยังสวยขนาดนี้เหมือนในรูป ผมคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่า ถ้าผมกลับมาอีกทีตอนหน้าร้อน มันคงจะสวยสมบูรณ์แบบสุดๆ

และที่พลาดไม่ได้สำหรับ highlight ของที่นี่ คือการเดินข้ามแม่น้ำด้วยสะพานแห่งความฝันนี่แหละ ซึ่งสะพานแห่งนี้มีความยาว 90 เมตร และมีทางเดินที่กว้างเพียง 30 เซนติเมตรเท่านั้น ถ้ามาหน้าน้ำ บริเวณที่เพื่อนๆ เห็นตรงนี้จะเป็นสีฟ้าหมดเลย (คือน้ำจะขึ้นมาสูงกว่าในภาพ) แล้วหากเดินไปที่กลางสะพานแห่งนี้ เชื่อกันว่า หากขอพรใดก็ตามแล้ว สิ่งนั้นจะเป็นจริงอย่างความฝัน ดั่งชื่อของสะพานนั่นเอง คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงขับรถมาที่นี่ เพื่อขอพรกันเยอะมากกกก > <

ต้องขอบอกว่าแย่หน่อยที่ตอนช่วงที่ผมไปอ่ะ ฝนมันตก แล้วก็แสงไม่ค่อยดี แต่ก็ได้ความชื่นช่ำไปอีกแบบหนึ่ง และด้วยความที่เวลาเราไม่พอ บอกตรงๆ เพราะจริงๆ แล้ว ผมแอบไปโตเกียวมาก่อนครึ่งวัน ๕๕๕๕๕ ฉะนั้นเลยต้องตัดที่ที่หนึ่งไป ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว แต่มันต้องใช้เวลาสักหน่อย นั่นก็คือการนั่งรถไฟสาย มินามิแอลป์ อะปูโตะ 

แต่ถึงผมจะไม่ได้ไปมา ก็ขอเอารูปจาก internet มาอวดหน่อยแล้วกัน ว่าถ้าเกิดพวกเรามีโอกาสได้ไป ภาพมันจะได้ประมาณไหน ซึงมินามิแอลป์ อะปูโตะ ไลน์เนี่ยนะ ซึ่งภาพนี้เอามาจาก องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น JNTO ที่ทางเพจเคยมีโอกาสร่วมงานแล้วในทริปอื่นๆ นั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วราคาต่อคนผู้ใหญ่อยู่ที่ 150 เยน เด็ก 80 เยน เปิดทำการตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ครับผม

นั่นแหละครับ ถ้าเพื่อนๆ มีโอกาสได้ไป ผมก้แนะนำเลย จริงๆ วันแรก ไปแค่นี้ถ้าเก็บให้ครบนี่ถือว่าเก่งมากเลย เพราะถนนแบบโค้งเยอะสุดอ่ะ พยายามกลับลงมาก่อนเย็นเพื่อความปลอดภัยของตัวเองนะครับ ลงมาถึงตัวเมือง ต้องบอกเลยว่าหิวสุดๆ ซึ่งร้านอาหารที่อยากพาไปกินเนี่ย ต้องบอกก่อนเลยว่า เป็นร้านตามซอกตรอกซอย ร้านดังๆ เราจะยังไม่ไปกิน เพราะเราอยากกินร้านที่มัน Local

สุดท้ายแล้วไปเจอร้านหนึ่ง และขอแนะนำเลยแล้วกัน ชื่อร้านอ่านไม่ออก แต่เดี๋ยวปักหมุดบอกจะได้ไหม ๕๕๕๕ (นี่เลย 35.003388, 138.443708) หน้าร้านเป็นเหมือนร้านเหล้า ใช่ เพราะกูอยากแดกเหล้าด้วย ก็มันเป็นเชิงอารมณ์แบบ บาร์ๆ แล้วมีอาหารให้สั่ง เป็นเหมือนปิ้งย่าง กินชิลๆ เค้าเรียกว่าอะไรวะ ที่ปิ้งๆ ย่างๆ เสียบไม้อ่ะ ตอนนี้คิดคำไม่ออก เออ นั่นแหละ

บรรยากาศภายในร้านคือคูลสุด นี่พอเข้าไปถึงในร้าน นั่งลงปึ้บแล้วตะโกนอย่างดังเลยว่า กูเป็นคนไทย ใครอยากเลี้ยงข้าวกูบ้าง เชี่ยยยยย ไม่น่าเชื่อครับ ว่าทุกโต๊ะนี่หยิบแก้วเบียร์พร้อมเดินมาแนะนำตัวเองแล้วอยากจะเลี้ยงมื้อเย็นนี้ให้เรา พระเจ้า ให้ตายเถอะ คนญี่ปุ่นทำไมใจดีขนาดนี้ นี่ยังไม่ทำได้สั่งอาหารอะไรเลย สั่งเบียร์เอามาชนกันทั้งร้าน อ่าว คัมปายยยยยยยยยย สุดจริง ใช่ สุดมาก มึงอ่ะไม สุดมาก โคตรมั่วเลยอิเหี้ย!!!

ใช่ครับ ถ้ากูทำแบบนั้นก็บ้าละอีเหี้ย พอกูเดินเข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่กูทำคือทำตัวเจี๋ยมๆ หน้าเนียนๆ แบบไม่รู้จักใคร มองหั่นไปรอบๆ ก็ประหม่า มีแต่คนแต่งตัวดีๆ มากินกัน มองดูเมนู ตายแน่เลยอิเหี้ย ภาษาญี่ปุ่นทั้งดุ้น กูจะสั่งยังงายยยยยย ดีนะ ที่เพื่อนที่มาด้วยพอพูดภาษาญี่ปุ่นได้ แต่ก็ไม่ทันใจอ่ะ ลุกขึ้น แล้วเอานิ้วจิ้มๆๆๆๆๆ แม่งเลย

เมนูแต่ละเมนูบอกเลยว่าดูธรรมดา แต่รสชาติเลอค่ามากกกก เบียร์ดำ ก็ดำหวาน ดำแบบหวานนน อร่อย ขวดเดียวไม่พอแน่นอน คือดื่มกะไม่เมาอ่ะ แต่เอาบรรยากาศ กินกันจนเสร็จอิ่มแบบแดกต่อไม่ไหว เช็คบิลมา ให้ตายเถอะ 6,900 YEN อิสัส นี่ถ้ากูสั่งอีกนิดนี่ได้ค่ารถทั้งทริปกูเลยนะเนี่ย ๕๕๕ ขำๆ นะครับ ก็กินๆ ไปเถอะ ไปเที่ยวทั้งที ก็กินให้มันดีๆ หน่อย

สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะชะล่าใจคือเรื่องการจองที่พักครับ ถ้าทริปไหนดูยากๆ จะจองไว้ก่อนนะ แต่ถ้าทริปสบายๆ อย่างทริปนี้ ผมหน้างานอย่างเดียว เน้นแบบว่า กูค่ำตรงไหน ก็นอนตรงนั้น และไม่ห่วงเพราะว่ามีแอพพลิเคชั่นดีอย่าง Traveloka ครับ ที่สามารถจองแบบดูใน Map ได้เรียลไทม์

อธิบายเพิ่มหน่อย คือเหมือนเราดู Google Map ปกตินี่แหละ แต่ในแอพพลิเคชั่นหรือในเว็บไซต์ของ Traveloka เค้าจะมีราคาและตำแหน่งที่พักบอกใน Map นั่นเลย ซึ่งถ้าเราอยู่บริเวณใกล้จุดที่เราพอใจกับที่พักราคานั้นๆ ก็แค่กด แล้วจองไปเพียงไม่กี่นาทีนั้นเลย

ซึ่งเจ้าตัว Traveloka เองเนี่ย นอกจากใช้งานง่ายแล้ว จองที่พักได้แล้ว ยังจองตั๋วเครื่องบินและบริการอื่นๆ ได้อีกด้วย แถมยังมีช่องทางการจ่ายเงินที่หลากหลาย เรียกได้ว่าเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่อยากแชร์ให้ได้ลองกัน

เพราะฉะนั้น ที่พักสำหรับผมในคืนนี้ก็ด้วยวิธีนี้แหละครับ พักง่ายๆ สไตล์ถูกๆ ที่ Sun Palace Hotel เป็นที่พักที่ราคากำลังดี เหมาะสำหรับมานอนแล้วก็ไปครับ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ เรามีนัดกันตั้งแต่เช้าเลยล่ะ

DAY 2 – Shizuoka Sightseeing

หลายคนมาญี่ปุ่นคงจะมาแบบสลายๆ ชิลๆ แนว Urban ชมเมือง วัฒนธรรม ผู้คน หรือแม้กระทั่งอาหารการกิน จะบอกว่าใช่ครับ ผมก็เป็นคนปกติที่เที่ยวแบบนั้น แต่ก็ยังชอบความลุยและความเสี่ยงอยู่ดีๆ หลังจากตื่นเช้าวันทีสอง นัดเจอกับเฟิร์นที่ลานจอดรถ เพื่อที่จะไปทำบางสิ่งบางอย่างที่ควรทำในเมืองนี้ครับ

วันนี้ตั้งใจจะขับออกไปทางตอนเหนือที่เมือง Fuji จะไปดินแดนที่สูงที่เรียกว่า Asagiri Highland ซึ่งระหว่างทางที่ไป เพื่อนๆ ก็จะได้เจอกับวิวฟูจิตลอดทางเลย แต่ๆ น่าเสียดายมากๆ ครับ

ลมแรง เค้าไม่ให้ขึ้น คือเสียดายมากกกก แม้แต่คนที่จองก็อดครับ คืนเงิน และกลับบ้านไป แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจ ไมมีข้อมูลเกี่ยวกับ Paragliding วิวฟูจิมาให้คร่าวๆ ครับ ซึ่งบริษัทที่ดังที่สุดในเรื่องนี้คือของ Sky Asagiri เปิดทุกวัน วันละ 4 รอบ ตั้งแต่ 11.00, 12.00, 13.00 และรอบสุดท้ายคือ 14.00 น. ของทุกวันครับ ฉะนั้นถ้าสนใจก็ควรรีบ booking ไปก่อนนะ และราคาไม่ได้แพงอย่างที่คิด ค่าเสียหาย 10,000 YEN เท่านั้น

วันนี้มันอาจไม่ใช่วันของเราครับ แต่ถ้าคิดในแง่ดี ท้องฟ้าก็เปิดทั้งวันให้ได้เห็นวิวฟูจิกันตลอดเลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปสถานที่ที่สองกันเลยดีกว่า นั่นก็คืออออออ Makaio Farm Resort

ที่นี่ถือเป็นอีกที่จุดแวะข้างทางที่ดีมากๆ ไม่ใช่แค่เด็กที่ชอบแน่นอน แมนๆ อย่างกูก็ชอบ ค่าเข้าคนละ 500 YEN เช่าแกะมาหนึ่งตัวแล้วเดินจูงเหมือนเราเป็นเจ้าของแกะ ภายในฟาร์มอารมณ์เหมือนฟาร์มโชคชัยอ่ะ แต่บรรยากาศและสภาพภูมิประเทศดีกว่ามากกกกกก มีน้องแพะ แกะ วัว และธรรมชาติที่ค่าด้วยวิวฟูจิอยู่ด้านหลัง

เดินไปเรื่อยๆ รอบฟาร์มจะเห็นโซนตั้งแคมป์ คือดีมากๆๆๆ ถึงมากที่สุด อากาศดี มีเต้นท์ให้เช่าพักแบบรายชั่วโมงหรือรายคืนก็ได้ ถ้าอย่างรายชั่วโมงช่วงเช้ามาปิคนิคแบบเบาๆ พร้อมอาหารก็ตกชั่วโมลละ 5,000 YEN เท่านั้น คือหารกันแล้วจ่าย ง่ายดายสุดๆ

แต่ถ้าไม่มีตังค์ก็นอนเปลในป่าสนที่ผูกไว้ให้นักท่องเที่ยวนอนพักผ่อนเหมือนพวกเราก็ได้ ๕๕๕๕ ไม่เสียเงิน แถมยังได้ภาพบรรยากาศสวยๆ อีกด้วย เผลอๆ ถ้ามีเวลาเยอะๆ นี่หลับได้เลยอ่ะ

สิ่งสุดท้ายอีกสิ่งที่สำคัญสำหรับฟาร์มนี้ คงหนีไม่พ้นไอศครีมนมวัวสดที่คั้นมาจากเต้าของโคนมในฟาร์มแห่งนี้แหละ คือกลิ่นเหมือนพึ่งออกมาจากนมวัวจริงๆ ละมุนและรสชาติดีมากกกกกกก > <

เอาล่ะ ถนนเส้นนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวรายทางเยอะมากๆ และอีกที่ที่จะพลาดไม่ได้นั่นก็คือน้ำตกมรดกโลกที่ชื่อ Shiraito ที่เกิดจากการละลายตัวของหิมะบนภูเขาไฟฟูจินั่นเอง

ถ้าไมจำไม่ผิดคือไม่ได้เก็บค่าเข้านะ แต่เก็บค่าที่จอดรถ และเดินไม่ไกลมากด้วย ตัวน้ำตกมีอยู่สองตำแหน่งใหญ่ๆ ช่วงที่เราไปต้นไม้ยังเหี่ยวๆ อยู่ คาดว่าถ้าช่วงหน้าร้อน หรือใบไม้เปลี่ยนสีผลิใบจะสวยงามมากกว่านี้

น้ำของน้ำตกเป็นแบบ Crystal Clear คือฟ้ามรกตเลย แล้วถ้าเพื่อนๆ ได้ไปสถานที่จริง คือหน้ากว้างของน้ำตกมีมีความกว้างราวๆ 100 เมตรเลยล่ะ เรียกได้ว่าใหญ่มาก และที่สำคัญคือ หากเดินวนไปแล้วขึ้นไปทางชั้นสอง เพื่อนๆ สามารถจะเห็นวิวน้ำตกกับภูเขาไฟฟูจิพร้อมกันอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นอีก The Must ของ Shizuoka เลยก็ว่าได้

เอาล่ะ ช่วงสายๆ เดี๋ยวจนะวนเข้าไปในตัวเมืองแล้ว จะไปเก็บ Landmark ที่คนส่วนใหญ่เค้าเก็บกัน เพราะเดินทางง่าย แต่ระหว่างทางเจ้าเฟิร์นดันไปตั้งเป็นแฟนที่เดินทางแบบ No Toll Way ก็เลยได้โอกาสไปเก็บภาพสวยๆ ริมทางตามชนบทของเมืองนั้นอย่างโชคดี

ซึ่ง ณ จุดนี้ ไม่มีสถานที่ ไม่มีชื่ออะไรที่ตายตัว แต่พิกัดเราไม่ลืมที่จะปักให้ทุกคนมาตามรอยกันครับ นั่นก็คือพิกัดนี้เลย 35.191434, 138.548341 นั่นเอง ซึ่งอย่างที่เห็น ซากูระสวยเว่อร์!!!

สถานที่ต่อไปนี้ ต้องบอกว่าเป็นอีกที่ที่นักท่องเที่ยวหลายคนโดนทางมาถ่ายรูปเปลี่ยนโปรไฟล์กันที่นี่เยอะมากๆ ครับ เพราะว่าบริเวณนี้ นอกจากจะมี Port ที่เหมือน Pier39 ที่ San Francisco แล้ว ยังมีชายหาดเห็นวิวฟูจิอยู่ด้านหลังด้วย แต่น่าเสียดายที่ต้องอยู่ที่ Port ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู คือสวยมากๆ

ไปทั้งที ก็ขอ Act สักหนึ่งรูปแล้วกัน แล้วว่ากันว่า ที่นี่ยังมีร้านเนื้อย่างอร่อยๆ ด้วยนะ แต่นั่นแหละครับ พอกูไป แม่งปิดเลย ยังไงใครมีโอกาสลองแวะร้านนี้ดูนะ

ก็นอกจากนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ จะมาชายหาดมิโฮะเพื่อมาชมความสวยงามแล้ว คน Local ที่นี่เอง เค้าก็มักจะมาตากอากาศที่นี่ครับ มาปั่นจักกระยาน มาเล่น Sketboard และทำกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายเลยล่ะ

ขอสาระภาพก่อนว่า หลังจากทานข้าวเสร็จ เวลาเราหายไปเยอะมากๆ เพราะจอดถ่ายรูปข้างทางครับ คือแต่ละจุดมันสวยมากๆ จนทำให้เรา Error เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวไปเลย มีอยู่สองสถานที่ให้เลือกด้วยกัน นั่นก็คือ ไร่ชานิโอนไดระ ที่ปิดบ่ายสามโมงเป๊ะ กับศาลเจ้าคุโนะซัง โทจูกุที่ปิด Rope Car ให้ลงไปตอน 16.00 น. ให้ทายสิ ว่าตอนนี้กี่โมง

ไม่ต้องรู้ที่กี่โมงหรอกครับ ตัดภาพมาตอนที่เราอยู่บน Rope Car กันเลยแล้วกัน ๕๕๕๕๕๕ ตลกตัวเอง มัวแต่จอดถ่ายรูปข้างทางจนลืม Destination ใน Plan ที่วางไว้ แต่ก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเก็บตกข้อมูลให้นะ เอาเป็นว่า ตามเรามาสถานที่สุดท้ายนี้กันก่อน

ศาลเจ้าคุโนะซัง โทชูกุ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ท่านโชกุนโทคุกาวะ อิเอะยะสุ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของชาติ ถ้าสังเกตุดีๆ สถานที่แห่งนี้จะเหมือนของ Nikko ครับ ด้วยความโดดเด่นของสีแดงสดใส และสีทองอร่าม ประกอบกับผลงานแกะสลักอันสวยงาม รวมถึงภาพวาดบนประตูโรมอนด้วย ซึ่งเมื่อเข้ามาภายในศาลเจ้า เพื่อนๆจะพบกับหอกลอง และโคมไฟทองแดง ที่นำไปสู่ห้องโถงหลัก

และเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างหลังจะเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพท่านโชกุนอิเอะยะสุ ที่นี่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. สามารถเข้าชมได้ครั้งละไม่เกิน 2 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 200 เยน ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก 300 เยน เท่านั้นเอง

เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามมากๆ เลยนะ และจริงๆ แล้วข้างล่างของศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีสวนสตรอเบอร์รี่ริมทะเลให้สำหรับคนที่มีเวลาเหลือเข้าไปเด็ดทานกันสดๆ อีกด้วย เอาจริงๆ แล้ว เมืองนี้ เที่ยว 2 วัน 1 คืนไม่พอจริงๆ ว่ะ แต่ก็นั่นแหละเนอะ ไมมีเวลาเท่านั้น ก็แชร์ประสบการณ์เต็มเวลาสุดๆ ได้ประมาณนี้แลลลลลล เอาล่ะ ไม่ลืมที่บอกแน่นอน เรื่องไร่ชาฯ

ผมไม่มั่นใจว่ารูปที่ผมหามาข้างบนจากเว็บ.  จะเป็นภาพของไร่ชานิโฮนโดระหรือเปล่า แต่มันประมาณนี้แหละ เพราะเพื่อนๆ จะได้เห็นวิวไร่ชาพร้อมกับฟูจิด้านหลัง ซึ่งมีข้อมูลคร่าวๆ คือเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. มีค่าเรียนและรู้การเก็บใบชา ราคา 500 เยน หรือถ้าจ่ายอีก 1,300 เยน ก็จะได้รับกระป๋องบรรจุชาอบแห้งที่เราจะตักใส่เท่าไหร่ก็ได้เป็นที่ระลึกด้วยนะ ๕๕๕๕๕ ยังไงต้องขอบคุณภาพจาก http://premejourney.com ด้วยนะครับ เพื่อนๆ ลองเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บนี้ได้นะ แหล่งท่องเที่ยวญี่ปุ่นเด็ดๆ ต่างเมืองเยอะเลย สำหรับทริปนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้แล้วกันเนอะ แล้วเจอกันระหว่างทางครับผม : )

Exit mobile version