ช่วงนี้จะไปไหนไม่ได้ คงหนีไม่พ้นขึ้นเหนือไปรับหมอกลมหนาวคูลๆ ไม่จังหวัดใดก็จังหวัดหนึ่ง มีอยู่ที่หนึ่งที่ผมอยากไปมาก และยังไม่เคยไป ที่นั่นก็คือ “ ภู ชี้ ด า ว “ ทริปนี้จึงเกิดขึ้นแบบโคตรตั้งใจ ๕๕๕
เราเที่ยวไทยจนเซียนครับ บอกเลยว่าเซียนแบบไม่อายปาก เราจะรู้ค่อนข้าง 100% ว่าการไปแต่ละที่ควรเดินทางอย่างไร สบายแบบไหน แล้วราคาประมาณเท่าไหร่ ทริปนี้จะเอาให้สบายๆ เลยก็คงไม่เหมาะ เราจึงย้อนกลับไปในวัยใสนั่งรถบัสจาก กทม.ไปเชียงรายกัน และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่หลายๆ คนควรเลียนแบบแพลนเราทริปนี้ เพราะมันถูก!!!
จริงๆ เชียงรายเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ผมรักมากๆ เป็นจังหวัดที่ทำให้ได้เห็นอะไรที่เป็นการปั่นผสมรวมกันของเชื้อชาติที่บาลานซ์เข้ากันได้อย่างดี คงเหมือนชานมไข่มุกที่ใส่น้ำตาลในปริมาณที่พอเหมาะ ปั่นวิปบางๆ ให้พอได้ลิ้มรสความนัวล่ะมั้ง… หลายคนคงไม่รู้ ว่าโซนภูเขาตามชายแดนไทยอย่างดอยแม่สลอง บรรพบุรุษของพวกเขา คือชาวจีนไหหลำที่อพยพถิ่นฐายเข้ามาทำมาหากินในเขตบ้านเรา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มการเดินทางของเรากันเลย
DAY 1 – ย้ อ น ร อ ย
เราเดินทางจาก กทม. เข้าเชียงรายด้วยรถ สมบัติทัวร์ จริงๆ ก็มีอยู่หลายเจ้าครับที่น่าสนใจ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการความสบายแบบไหน แต่สำหรับผม สมบัติทัวร์ก็โอเค ราคาไปกลับตีเป็นเลขกลมๆ ที่ 700 บาท มีหลายรอบให้เลือก มีอาหารว่าง ที่พักนอนสบาย มี LCD Entertianment ให้ เหมือน Inflight Entertianment บนเครื่องบิน มีจุดจอดทานข้าวระหว่างทาง เพื่อนๆ สามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์ของสมบัติทัวร์ หรือเจ้าอื่นๆ ได้จาก google เดี๋ยวนี้เที่ยวง่ายครับ เทคโนโลยี ไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้แล้ว
เดินทางรอบดึก ตื่นมาอีกทีก็ 7 โมงเช้าที่ บขส.เชียงรายแล้วครับ ทริปนี้ เราจะไม่เหมารถฟ้า (ถ้าเป็นเชียงใหม่จะเป็นรถแดง) เพราะเมื่อเปรียบเทียบราคาแล้ว อาจจะแพงกว่าเช่ารถขับเองเสียด้วย นี่ก็เลยแนะนำ ให้เช่ารถขับกันเอง สะดวก สบาย และง่ายกว่า ยิ่งไปกันเยอะๆ หารกันเหลือคนละไม่กี่ร้อย อ่าลืมไปเลย ทริปนี้เรามากัน 5 คนครับ
อย่างทริปนี้ เราเช่ารถจากเว็บๆ หนึ่ง ได้ TOYOTA CH-R มาขับ คิดวันละ 1,500 บาท สองวันก็ 3,000 บาท จริงๆ มีรถที่ถูกกว่านี้ อย่าง VIOS วันละ 900 บาท แต่ด้วยความอยากขับแล้วดูคูลๆ ก็ต้องเลื่อน Grade รถขึ้นมาหน่อย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของหลายๆ คนเลย เรียกง่ายๆ ว่า แล้วแต่รสนิยม มีตั้งแต่รถญี่ปุ่นถึงรถยุโรปเลยล่ะ
แต่ทริปนี้เราไม่ได้มาซีเรียสเรื่องรถขนาดนั้น เที่ยวไทย ไม่ต้องกังวลเรื่องการสื่อสาร ถ้าไม่รู้ก็แค่ถาม ง่ายนิดเดียว ง่ายกว่าไปต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษามือพูดประกอบแล้วบางทีสนทนาเสร็จก็ไม่รู้ว่าความเข้าใจของเรามันถูกกับที่เค้าจะสื่อหรือเปล่า แต่ถ้าอยู่บ้านเราแล้ว ถามว่าดอยแม่สลองไปทางไหน ไปทางนี้…
การนัดรับรถก็ง่ายนิดเดียว ตรวจเช็คว่ามีรอยหรือเปล่า ดูเกน้ำมัน ดูเลขกิโล ฟังเงื่อนไข จ่ายมัดจำ ซึ่งเจ้านี้ให้มัดจำเป็นเงินสด 5,000 บาท แต่ถ้าเป็นแบรนด์พวก Global จะต้องใช้บัตรเครดิทในการมัดจำ อย่างต่ำก็ 10,000 บาท การเช่ารถกับ Local จึงสะดวกกว่า เพราะเงื่อนไขน้อยกว่านั้นเอง อ่าาา เราช่ากับ Agency ที่ชื่อ Drive Hub ครับผม พอได้รถ ทุกคนพร้อม เราก็ไปที่แรกกันก่อนเลย นั่นคือร้านอาหารครับ เช้ามาแบบนี้ต้องเพิ่มพลังกันหน่อย ร้านนี้เป็นร้าน Local ที่นักท่องเที่ยวน้อยคนนักจะรู้จัก เพราะถ้าไม่ใช่คนพื้นที่จริงๆ จะไม่รู้เลยว่ามีร้านอาหารอร่อยแบบนี้ขายอยู่ ร้านนี้ชื่อร้าน “ยายสวย” อยู่ไม่ไกลจากวัดร่องขุ่นเลย
จาก บขส. ขับรถไม่นานครับ ราวๆ 7 นาทีก็ถึงร้านยายสวย ร้านยายสวยเป็นร้านบ้านๆ มีอาหารตามสั่ง และบางวันก็จะมีเมนูอาหารตามใจที่จะทำไว้แล้วรอให้ขาประจำเข้ามาสั่งทานกัน ช่วงที่เราไปได้เมนู ไก่ทอดสมุนไพร ต้มเปื่อยเนื้อวัว แล้วก็สั่งไข่เจียวหมูสับมาทานกับข้าวเหนียวอุ่นๆ ฟินมาก อยากบอก!!!
หลังจากท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ถ้าง่วงก็สามารถนอนที่ร้านยายสวยได้เลย เพราะร้านยายสวยเค้าทำที่พักในบ้านด้วย ห้องพักสะอาด นี้เลยเข้าไปชมห้องตัวอย่างดูแล้ว เพราะเผื่อไว้ครั้งหน้า ไม่มีที่พัก อาจเข้ามาพักที่นี่ก็ได้ ไม่ไกลจาก บขส.ด้วย google คำว่า “บ้านชื่นจิตร” ได้เลย หรือ “ร้านลาบยายสวย” ก็ได้ เจอแน่นอน
อย่างที่บอกว่าร้านยายสวยอยู่ใกล้กับวัดร่องขุ่น ถ้าใครไม่เคยมา แนะนำให้แวะ แต่เราขอไม่แวะนะ ๕๕๕๕ เราไม่อินเท่าไหร่ แต่ถามว่าสวยไหม สวยสิ ของอาจารย์ฯ เลยน้า แต่ช่วงขากลับลองแวะไปซื้อของฝาก ก็เห็นว่า วัดถูกพัฒนาขึ้นเยอะ มีตึกเพิ่มขึ้นมา และดูแบ่งสัดส่วนดีขึ้น
ก่อนจะสายไปมากกว่านี้ ที่แรกที่เราจะพาเพื่อนๆ ไปคือ ไร่ชาฉุยฟง ขับไม่ยาก ตาม Google Maps ไป แป็บเดียวก็ถึง ซึ่งพอไปถึง ก็ต้องบอกเลยว่า คนเยอะกว่าเก่ามาก อาจเป็นเพราะพวก Travel Blogger และเทคโนโลยีสื่อสารที่มันสะดวกต่อการโปรโมท ทำให้คนเห็นเยอะ และอยากมาเยอะแปรผันตามกันไป
สิ่งแรกที่ตกใจคือ… มันเปลี่ยนไปมากในเรื่องของอาคาร มีตึกหรืออาคารร้านอาหารเพิ่มขึ้นมาก ผมไม่แน่ใจว่า 1 หรือ 2 ที่ แต่เอาเป็นว่า มันเพิ่มขึ้นมา แล้วคนก็เยอะ ที่จอดรถก็ทำใหม่ สัดส่วนของไร่ชาบริเวณร้านอาหาณพื้นที่เก่าก็เปลี่ยนแบบ แปลกไปกว่าเดิม และใหญ่ขึ้น
เอาจริงถ้าพูดจากใจตรงๆ คือ มันดูเป็นการค้าไปแล้ว มันไม่เหมือนการพักผ่อนอย่างสมัยก่อน ที่มาเชียงราย ก็ขอมาทานข้าว กินเค้กชาเขียว ดื่มชาเขียวนม พร้อมกับถ่ายรูปไร่ชาที่มีคนแค่ไม่กี่คนนั่งไขว่ห้างชมวิวทิวทัศน์กันไป แต่นี่อะไร นี่คือมันตลาดนัดรัชดาหรือเปล่า คือคนเยอะมากๆ
ถ้าพูดถึงตัวไร่ชาที่ปลูกชาจริงๆ ก็คงไม่เถียงว่าปลูกได้สวย เป็นแนว มีการเก็บชาให้นักท่องเที่ยวได้เห็นจริงๆ มีโรงผลิตให้นักท่องเที่ยวได้ไปศึกษา ก็ตามภาพ สวยงามมาก อันนี้ไม่ติเลย แต่…
รสชาติอาหาร อันนี้ไม่ได้สั่งทาน แต่รสชาติของหวาน ขอบอกตามตรงว่า… แดกไม่ได้ ถ้าสั่งเค้ก ตัวแป้งก็เหมือนเค้กที่ซื้อตามตลาดสามชิ้นร้อยใส่กล่องโฟมกลับบ้านอ่ะ ราคาแพง แต่แดกไม่ได้ มากไปกว่านั้นคือ เมนูน้ำตั่งๆ อันนี้ก็ไม่ไหว แพงเพราะน้ำตาลหรือยังไง ไม่เข้าใจ แต่ก็ดีกว่าเค้ก ภายในตัวอาคารสะอาด อันนี้ดีย์ พนักงานบริการดีพอใช้ การแบ่งสัดส่วนก็โอเคครับ มันน่าเสียดายตรงรสชาติของหวานนี่แหละ
ขอโทษที่เสียมารยาท จริงๆ ทางไร่ชาควรมีการปรับรสชาติของหวานหน่อย ส่วนของคาวขอไม่พูดถึง เพราะไม่ได้สั่งทาน อ่ะจบกันที่ไร่ชาฉุยฟง คนไม่เคยมาก็มาซะนะ จะได้รู้ ว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เราพูดหรือเปล่า ส่วนคนที่มาแล้ว ถ้าเราพูดถูกรบกวนแชร์หรือกดไลค์คอนเท้นท์นี้ด้วย แต่ถ้าเราพูดผิด inbox มาบอกเราเลย เผื่อจะมีเหตุผลที่ทำให้เราเข้าใจได้
จากไร่ชาฉุยฟง เราอยู่โซนตะวันตกของจังหวัดแล้วล่ะ เดี๋ยวจะพาขึ้นเหนือไปอีกนิด ไปดูดอยแม่สลองกัน ซึ่งของบอกตามตรงว่าดอยแม่สลอง เป็นดอยที่ผมรักเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้
แต่ครั้งนี้ที่มา ไม่ได้ผ่านไปตรงที่เดิม ไปอีกที่หนึ่ง ระหว่างทางทีขับไป ได้เห็นไร่ชา 101 ยังคงคิดถึงวันวาน และยังคงสวยงามเหมือยนเดิม แนะนำเพื่อนๆ เลย ใครที่ไปเชียงราย แนะนำดอยแม่สลอง แล้วเข้าไปชิมชาในโรงน้ำชาของไร่ 101 คือดีมาก แต่ทริปนี้ไม่ได้แวะไป เพราะเอียนกลิ่นชาจากไร่ฉุยฟงแล้ว
ดอยแม่สลองครั้งนี้ เราไปหยุดกันอยู่ที่ “แม่สลอง เมาท์เทนโฮม” จะบอกว่าทุกที่ที่ไป ตอนเช้ามักจะสวยที่สุดครับ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ตอนเช้าในทุกที่ เพราะฉะนั้นอย่าสงสัยว่าทำไมบางที่ที่เราไป หรือคุณไป มันไม่สวยเหมือนในรูป แนะนำให้ลองไปถ่ายรูปทุกสถานที่ในช่วง 6-8 โมงเช้า หรือสัก 4-6 โมงเย็นดูสิ แสงช่วงนี้ คือแสงที่ถ่ายรูปแล้วสวยทีสุดเลย อย่างครั้งนี้ ถ้าเอาภาพ “แม่สลอง เมาท์เทนโฮม” ของเราที่ถ่ายกันตอนบ่ายหนึ่งแบบแดดจัดๆ ไปเปรียบกับคนที่ถ่ายตอน 7 โมงเช้ามีหมอกลอยออกจากตีนภูเขา ฟีลมันก็คงต่างกัน ภาพของเค้าคงเย็น ร่มรื่น น่าไป แต่ภาพของเราน่ะหรอ อ่ะ ไปดูกัน…
มันก็พอได้ใช่ไหมล่ะ ก็ไม่เสียหาย ที่นี่เจ้าของใจดีมาก ถ้ามีโอกาสก็จะมาแวะ ใจดีไม่พอนะ แถมยังยิ้มเก่ง ยิ้มตลอดเวลา คือยิ้มเยอะมาก พูดเพราะทั้งผู้หญิงผู้ชาย อาหารอร่อย ซึ่งมาเชียงรายก็ทานอยู่ไม่กี่อย่างครับ คากิ ขาหมู เห็ดผัด ซาโยเต้ แล้วต้องกินคู่กับหมั่นโถวร้อนๆ ด้วยนะ
แต่ก็ทานข้าว ก็สั่งไวน์ Smooth Red ของทางร้านมากิน คือดีย์ D ใน D คือนุ่ม หอม พร้อมหลับ ๕๕๕๕ คุณลุงบอกว่า ปีหนึ่งจะมีดอกบ๊วยออกดอกอยู่แค่ 7 วัน ซึ่งมันบังเอญอะไรขนาดนั้น ใช่… แม่งบังเอิญมาออกดอกตอนที่เราไปพอดี คือเป็นป่าบ๊วยเลยนะ แล้วคือเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าต้นบ๊วยเป็นแบบนี้ และดอกของมันคือแบบนี้
ที่ลืมไม่ได้เลย คือเจ้าหมาสามตัว ที่ป้วนเปี้ยนอยู่รอบเรา คือน่ารักมาก ตัวใหญ่ขนปุย ก่อนกลับก็เลยขอชักภาพรวมทั้งเจ้าของแล้วก็หมาด้วยเลย วุ่นวายมาก คิดภาพออกป้ะ ๕๕๕
จริงๆ อาจจะเคยเห็นต้นบ๊วยแต่ไม่ได้จำ แต่ดอกบ๊วยนี่สิ ครั้งแรกจริงๆ เอาล่ะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าตอนนี้เราอยู่ตะวันตกสุดของจังหวัดเชียงราย และเรา กำลังจะขับรถไปตะวันออกสุดหลังจากนี้
ตัดมาที่ฝั่งตะวันออกของเชียงราย เราถึงที่พักราวๆ 2 ทุ่ม บรรยากาศคือไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี หรือแต่ว่าขึ้นเขามา และระหว่างทางค่อนข้างสวย เราเจอดวงอาทิตย์ระเบิดเบาๆ ถามว่าเจ็บไหม ไอ่บ้า!!! มันคนละระเบิดเว้ย !!!
ตัวที่พักหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าควรหาแบบไหน เอางี้ เราแนะนำ Traveloka เพราะเป็นการหาที่พักที่สามารถเลือกตามพื้นที่ที่เราอยู่ได้ คือไม่ต้องเติมข้อมูลอะไรมากมาย แค่ไปที่ Map Mode แล้วเลือกหาที่พักที่โชว์ใกล้ๆ เรามากที่สุดแค่นั้นเลย แต่ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ด้วยนะ ไม่ใช่ว่าอยู่บนยอดเขา ลงมาเหนื่อย ขี้เกียจขับรถ เลยจะหาที่พัก พอใช้ Application ที่กูบอกไป เสือกไม่ดี แล้วมาด่ากูทีหลัง ไอ่ควาย มันคงจะมีให้มึงหรอก บนเขาน่ะ แต่เอ้ะ… มันก็พจะมีบ้างงงง
คืนนี้เราพักกันที่ “ภูชี้ดาว อีเดน วัลเล่ย์” เป็นที่พักแบบเฉพาะหน้า //อันนี้กูคิดเองนะ เพราะการเอาเต้นท์มากางริมทาง แล้วทำระเบียงยื่นออกไปข้างทางให้ออกไปตรงเนินเขาหน่อย วิวบรรยากาศอะไรได้ โอเคเลย ที่สำคัญคือราคาถูก เต้นเล็กสำหรับสองคน 500 บาท เต้นท์ใหญ่สำหรับ 4 คน 700 บาท ยังไงลองหาข้อมูลดูครับ ไม่ยาก
ตัวเต้นท์แต่ละเต้นท์เจ้าของจะต่อไฟให้เราสามารถเสียบปลั๊กชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวก แต่มีแค่ 2 รูตัวเมียเท่านั้นนะ แนะนำให้การไปเที่ยวทุกทริปของทุกคน เอาปลั๊กสามตาติดตัวให้เป็นนิสัยครับ แล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น หรือเอา Adapter ไปด้วยก็ดี สำหรับไปเที่ยวในต่างประเทศ
ที่นอน เครื่องนุ่งห่ม เต้นท์ ทุกอย่างโอเคกับราคาครับ แล้วสามารถสั่งหมูกระทะไปทานได้แบบอิ่มๆ เลย ทานหมูทะ กับเพื่อนๆ ท่ามกลางอุณสิบองศาในประเทศ คือดีกว่าไปแดกเนื้อย่างเกาหลีที่กรุงโซลท่ามกลางอุณหภูมิติดลบสิบองศาแน่นอน กูพิสูจน์มาแล้ว ๕๕๕๕
อยู่กับเพื่อน ก็ต้องมีวุ่นๆ กันหน่อย เราลองซื้อเบียร์แบรนด์หนึ่งมาผสมกับน้ำหวานชนิดหนี่ง ผสมกันให้กลายเป็น Hoegaarden ครับ ซึ่งก็ทำคลิปไว้ด้วย ยังไงลองไปดู How To กันได้ที่ xxxx วิธีทำ Hoegaarden แบบบ้านๆ xxxx ส่วนคืนนี้ ก็คงจะขอพัก่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ไปที่ที่ทำให้ย้ายตัวเราเข้ามาอยู่ที่นี่
DAY 2 – แ บ บ นั้ น
ตื่นตั้งแต่ตีห้า นาฬิกาปลุกหรือ? ใช่ โหหหห… ดีอ่ะ มีวัยนัย เปล่าของกู ของเต้นข้างๆ ตึ่งโป๊ะ!!!! คือแม่งเต้นท์ข้างๆ ตั้งปลุกแต่เสือกไม่ตื่น กูเนี่ยตื่น แต่ก็ดี มันเลยทำให้เราได้เห็นภูชี้ดาวแบบ 100% ทั้งรูปธรรม นามปธรรม และสัมผัสระหว่างทาง
ทีมของเรามีคนงอแงไม่ตื่นไปดูด้วยนะ แต่ก็นั่นแหละ ไม่รอนะ ไปต่อเลย จ่ายคนละ 100 บาท จะมีรถ 4 wheel มารับและส่งเราถึงที่พักครับ คือจะบอกว่า ทางขึ้นภูชี้ดาว กลุ่มของชุมชนที่นี่ไม่อนุญาตให้รถนอกขึ้นไปได้นะครับ ต้องใช้รถของคนพื้นที่เท่านั้น อาจมีหลายเหตุผลที่ทำแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน หรือป้องกันรถมึงพังข้างบน ก็ฟังได้เช่นกัน และต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้เก็บบรรยากาศตอนนั่งรถ และช่วงเดินขึ้นมาให้ได้ชมกัน
พอขึ้นไปถึงจุดจอด ต้องเดินขึ้นเขาไปอีกราวๆ กิโลกว่าๆ ครับ หรือบางทีอาจจะไม่ถึงกิโลก้ได้ แต่ทางมันชัน ก็เลยหวั่นๆ กันไปเอง ขึ้นไปถึงนั้นเกือบหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย แต่เราพอเห็นหมอกแล้ว ถึงตอนนี้จะให้เล่าอะไรไปมากกว่านี้ก็คงไม่ได้ เพราะคนที่จะเล่าได้ดีที่สุดในโมเม้นท์นี้ คือภาพที่ถ่ายออกมานี่แหละ
ขอบอกก่อนเลยว่าภาพทุกใบที่เพื่อนๆ เห็นในรีวิวนี้ เป็นภาพหลังกล้องทุกใบนะครับ ไม่มีการแต่งห่าอะไรทั้งนั้น โดยส่วนตัวแล้วหลายปีที่ผ่านมา เราเห็นภาพที่ถูก Process เยอะมากๆ เพื่อให้ได้รูปที่สวย รูปที่เจ๋ง เพื่อให้มีคนติดตาม แต่สำหรับเราแล้ว มันเว่อร์เกินจริงครับ เราอยากให้ภาพที่เราเล่าเรื่องไปท่องเที่ยว เป็นภาพเพียว อย่างที่เราเห็นกับตามมากกว่า ก็ต้องขอโทษด้วยที่คิดแบบนี้ และก็ต้องขอโทษด้วยที่หากใครมาเสพย์แล้วภาพเพจนี้ไม่สวยเหมือนอย่างคนอื่นเขา
เอาล่ะ ลงไปสมน้ำหน้าคนข้างล่างดีกว่า ไม่ยอมตื่นขึ้นมาพร้อมเรา ใครมันจะไปคิดว่าจะขึ้นมาเจอทะเลหมอกวะ นี่ถ้ารอจนถึง 8 โมงเช้า รับรองว่าหมอกขึ้นมาสูงกว่านี้อีก แต่ไม่ได้หรอก กรุ๊ปอื่นรอเราเต็มเลย นี่ลงกรุ๊ปสุดท้ายเลย อ่า… ระหว่างทางมีไร่สตรอเบอร์รี่ด้วยนะ สามารถจอด แล้วเด็ดกันสดๆ ได้เอง หรือถ้าไม่ชอบ ก็ซื้อจากที่เค้า Packing ไว้เลยก็ได้ มีตั้งแต่หลัก 100 บาทขึ้นไป
เช็คเอ้าท์แล้วไปต่อ… จริงๆ กะว่าจะกลับเลย กลับไปหาคาเฟ่เก๋ๆ ในตัวเมือง แต่เอ้… ณ จุดนี้ สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่เคยมา ต้องบอกเลยว่า เราสามารถไปเที่ยวต่อได้อีกสามที่ใหญ่ๆ นั่นก็คือ ภูชี้เดือน ภูชี้ฟ้า แล้วก็ดอยผาตั้ง ซึ่งแต่ละพี่คือที่พีคๆ ทั้งนั้น เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินมาก่อน แต่รู้ไหม เราไปที่ไหนกัน
ดอยผาตั้งครับ…. ครั้งนี้มาดอยผาตั้งแบบคูลๆ หน่อย เพราะเดี๋ยวนี้ ดอยผาตั้งจะมีม้าตัวเล็กๆ ให้บริการครับ คือไม่ต้องเดินขึ้นลงเองแล้ว สามารถให้ม้าพาไปได้เลย คนละ 150 บาทเท่านั้น แต่ราคานี้ได้แค่ที่เนิน 101 เท่านั้นนะ เดินที่มีระฆังอันแรกอ่ะ ถ้าจะไปเนิน 103 ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ไม่เอาอ่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว
ก่อนที่จะไปถึงเนิน 101 จะมีป่าหิน และช่องเขาขาด ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นอีก Highlight หนึ่งของดอยผาตั้งเลย ถ้ามาช่วงเช้า โอกาสที่จะเจอทะเลหมอกมีเยอะมาก เพราะข้างล่างดอยผาตั้ง มีเส้นแบ่งระหว่างแดนไทยลาวเป็นแม่น้ำโขง พอมีน้ำ มีแดด และอยู่ในสภาวะที่มีความอิ่มตัวของอากาศที่พอเหมาะ มหาหมอกจึงบังเกิด
การมาถึงเนิน 101 ถ้ามาถึงแล้วไม่ตีระฆังถือว่ามาไม่ถึง ข้างบนวิวสวยดีครับ ไปตอน 11 โมงเช้า หมอกยังตีหน้าเราอยู่เลย แสดงว่าเมื่อเช้าต้องมีทะเลหมอกแน่ๆ นี่ก็เป็นอีกที่ที่ควรแวะมาเหมือนกัน แล้วเห็นว่าช่วงต้นกุมภาพันธุ์ของทุกมี จะมีพญาเสือโคร่งบานเต็มพื้นที่ให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ ก่อนกลับบ้านกันด้วย
เห็นไหม เล่าเลย ลืมพูดถึงร้านอาหารร้านหนึ่งที่วิวสวย อาหารอร่อย แม่ค้าน่ารัก และ wifi แรง ร้านนี้ชื่อร้านผาสุข อยู่ทางไปดอยผาตั้งนั่นแหละ เมนูแนะนำก็เหมือนเดิมครับ คากิ ขาหมู ซาโยเต้ และหมั่นโถว แต่ร้านนี้ upgrade ขึ้นมานิดหน่อย เป็นหมั่นโถวทอดนะ อร่อยมากกกกกก
แล้วก็ระหว่างทางช่วงที่เราไป จะเจอชาวบ้านแต่งตัวเป็นชาวเขากันเต็มไปหมดเลย ผมไม่มั่นใจว่าที่นั่นเป็นชาวม้ง หรือชาวกระเหรี่ยง หรือชาวอะไร แต่ว่า น่ารักทุกคนจนต้องหยุดรถถ่ายรูป จากการสอบถาม ช่วงนั้น เป็นช่วงปีใหม่ของหมู่บ้านเค้าพอดีครับ ทุกคนเลยแต่งตัวตามประเพณี
ระหว่างทางกลับ จริงๆ ก็ตลอดทางตั้งแต่มาละ จะเจอร้านขายส้มเต็มไปหมด ส้มสายน้ำผึ้งที่นี่เด้ดดวงมาก อร่อย หวาน หอม แล้วก็เปรี้ยวจี้ดเบาๆ พอได้เข็ดฟัน คือมันดี ลองแวะซื้อดู เป็นการอุดหนุนชาวบ้านด้วย เหลือเวลาตั้งครึ่งวัน มาเที่ยวเชียงาย แป็บเดียวก็เที่ยวหมดแล้ว ถ้าใครมีเวลาเหลืออย่างเราแล้วไม่มีที่ไปต่อ เรานะนำให้ไปบ้านำ สวนดอกไม้ หรือไร่บุญรอดก็ได้ เป็นอีกหนึ่งที่ที่สามารถเอาเวลาไปแลกความสุข จินตนาการ และเรื่องราวต่างๆ ได้ดีพอสมควร สำหรับเราทริปนี้ ขอไปหาคาเฟ่นั่งพักคุยกัน แล้วรอเวลาคืนรถ นั่งบัสกลับบ้านเลย ขี้เกียจแล้ว
สรุปทริปนี้ ก็เที่ยวแบบมาเที่ยวอ่ะ มาพักผ่อน ไม่ได้มาแบบทำภารกิจต้องเก็บทุกที่ให้ได้เยอะที่สุด หรือต้องถ่ายรูปสวยๆ ตาม Instagram อะไ